Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: AkE ที่ ตุลาคม 10, 2016, 08:34:48
-
เคยเห็นในคลิปพวกทดสอบรถทางยุโรปมาหลายครั้ง เวลาถ่ายมาไฟ drl มันจะกระพริบครับ ตอนแรกก้ยังไม่ได้สงสัยอะไรมากแต่เมื่อวันก่อนผม
ขับรถแล้วกดเปิดกล้องมองข้างไว้ตลอด พอดีรถติดตอนลงทางด่วนไม่มีอะไรทำเลยสังเกตุที่จอ ผลที่เห็นคือ bmw mb tesla ferrari
รถพวกนี้ดูจากกล้องรถผมไฟ drl กระพริบหมด (ทางด่วนลงเพลินจิตวันเสาร์อะนะครับมีรถแปลกๆให้ดูเยอะ เจอ tesla สีขาว 1 คัน) ผมก้เลย
สังเกตุต่อปรากฎว่า รถทางญี่ปุ่นไม่เป็นครับ ตอนนั้นผมเห็น มี Accord g9, fortuner, revo, x trail, mu x ครับทุกคันผมเห็นไฟมันปกติ
ผมเลยสงสัยว่ามันน่าจะมีอะไรต่างกันและ อีกอย่างทำไมพอดูจากกล้องพอเป็นไฟหน้าที่เปิดมันไม่มีผลอะไรครับ ผมไม่ค่อยรู้เรื่อง ไฟและ
กล้องครับ ใครทราบรบกวนด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
-
ในสื่อภาพเคลื่อนไหวทุกชนิด จะมี frame rate ซึ่งหมายถึง จำนวนเฟรม (จำนวนภาพนิ่ง) โดยมีหน่วยเป็น per second (กี่ภาพต่อวินาที) เรียกกันย่อๆ ว่า FPS (frame per second) เช่น 30 FPS คือ ใน 1 วินาทีจะมีภาพนิ่งต่อเนื่องกัน 30 ภาพ ถ้า 60 FPS เท่ากับ 1 วินาทีจะมีภาพนิ่งต่อเนื่องกัน 60 ภาพ ภาพจะดูเนียนไม่ดูกระพริบ นะครับ
โอ้ ความรู้ใหม่เลยครับ ขอบคุณครับ 8)
-
fps ก็เรื่องนึงครับแต่ความเป็นจริงไฟไม่ได้ติดตลอดเวลามีช่วยกระพริบด้วยแต่ด้วยความที่ตาเราไม่สามารถมองเห็นได้ทันในช่วงเวลาที่กระพริบในชีวิตจริง แต่ภาพ vdo เหมือนเป็นการ capture ภาพเอามาเรียงต่อกันซึ่งอาจจะไป capture ภาพในช่วงเวลาที่ไฟไม่ติดพอดีจึงทำให้เราเห็นไฟกระพริบใน vdo
-
ไฟ DRL ชนิดหลอด LED ในรถส่วนใหญหรือไฟท้ายในบางรุ่น จะใช้การจ่ายกระแสแบบไม่คงที่ หรือการจ่ายไฟผ่านวงจร PWM ซึ่งหลอดจะไม่ติดค้าง แต่จะเป็นการติดแบบกระพริบ แต่ความถี่ในการกระพริบ สูงกว่าความสามารถในการมองเห็นของตา ทำให้เรามองเห็นว่ามันติดค้าง และแต่ละหลอดที่เราเห็นจะเป็นการติด-ดับ สลับ เรียงกันไปครับ
ที่ทำอย่างนี้ มีประโยชน์ในด้านที่หลอดไม่ต้องรับกระแสสูงตลอดเวลา สามารถลดสเปคหลอดลงมาได้ ความร้อนหลอดไม่สูงมาก และมีประโยชน์ด้านประหยัดพลังงานครับ
ส่วนบางรุ่นที่เห็นติดค้าง เนื่องจากเป็นการจ่ายกระแสคงที่เข้าไปครับ
-
ไฟมันติดไม่ตลอดเวลาครับ มันกระพริบ แต่ตาเราไม่เห็น
-
ตามนี้เลย :D
ไฟ DRL ชนิดหลอด LED ในรถส่วนใหญหรือไฟท้ายในบางรุ่น จะใช้การจ่ายกระแสแบบไม่คงที่ หรือการจ่ายไฟผ่านวงจร PWM ซึ่งหลอดจะไม่ติดค้าง แต่จะเป็นการติดแบบกระพริบ แต่ความถี่ในการกระพริบ สูงกว่าความสามารถในการมองเห็นของตา ทำให้เรามองเห็นว่ามันติดค้าง และแต่ละหลอดที่เราเห็นจะเป็นการติด-ดับ สลับ เรียงกันไปครับ
ที่ทำอย่างนี้ มีประโยชน์ในด้านที่หลอดไม่ต้องรับกระแสสูงตลอดเวลา สามารถลดสเปคหลอดลงมาได้ ความร้อนหลอดไม่สูงมาก และมีประโยชน์ด้านประหยัดพลังงานครับ
ส่วนบางรุ่นที่เห็นติดค้าง เนื่องจากเป็นการจ่ายกระแสคงที่เข้าไปครับ
-
ขอบคุณทุกความเห็นครับ
-
ผมก็ว่า ตามท่านที่บอก PWM :-*
-
ไฟ DRL ชนิดหลอด LED ในรถส่วนใหญหรือไฟท้ายในบางรุ่น จะใช้การจ่ายกระแสแบบไม่คงที่ หรือการจ่ายไฟผ่านวงจร PWM ซึ่งหลอดจะไม่ติดค้าง แต่จะเป็นการติดแบบกระพริบ แต่ความถี่ในการกระพริบ สูงกว่าความสามารถในการมองเห็นของตา ทำให้เรามองเห็นว่ามันติดค้าง และแต่ละหลอดที่เราเห็นจะเป็นการติด-ดับ สลับ เรียงกันไปครับ
ที่ทำอย่างนี้ มีประโยชน์ในด้านที่หลอดไม่ต้องรับกระแสสูงตลอดเวลา สามารถลดสเปคหลอดลงมาได้ ความร้อนหลอดไม่สูงมาก และมีประโยชน์ด้านประหยัดพลังงานครับ
ส่วนบางรุ่นที่เห็นติดค้าง เนื่องจากเป็นการจ่ายกระแสคงที่เข้าไปครับ
ยืนยันตามข้างบนครับ
ปัจจุบันมีรถยนต์รุ่นใหม่ๆหลายรุ่นได้นำเทคโนโลยี่นี้มาใช้(PWM - Pulse Width Modulation)
ดูรูปพื้นฐานการทำงานเบื้องต้น ที่ทำให้กล้องจับเป็นไฟกระพริบ
http://tutorial.cytron.com.my/2012/01/14/basic-pulse-width-modulation-pwm/
-
ได้ความรู้เยอะเลยครับ กระทู้สาระประจำวัน 8)
-
เหมือนหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่บ้าน ใช้กระแสสลับ ทำให้ไฟติดดับที่ความถี่ 50 ครั้งต่อวินาที ตาคนเราจะมองเห็นว่ามันนิ่งเพราะตาคนเรามองเห็นแสงได้มากสุดที่ความถี่ 29 ครั้งต่อวินาที ส่วนใหญไฟก็จะเป็นกระแสสลับกันหมดครับ ยกเว้นไฟที่ใช้ถ่ายรูปจะแปลงเป็นกระแสตรง ทำให้หลอดไฟติดอยู่ตลอดถ่ายออกมาแล้วไฟจะไม่กระพริบแว่บๆ
-
เซฟเลยยยย กระทู้นี้
ผมก็เข้าใจแค่ผิวเผินว่าเป็นเรื่องของความถี่แสง
แต่ไม่รู้หลักการอะไรเลย เข้าใจเลยครับ
-
ไฟ DRL ชนิดหลอด LED ในรถส่วนใหญหรือไฟท้ายในบางรุ่น จะใช้การจ่ายกระแสแบบไม่คงที่ หรือการจ่ายไฟผ่านวงจร PWM ซึ่งหลอดจะไม่ติดค้าง แต่จะเป็นการติดแบบกระพริบ แต่ความถี่ในการกระพริบ สูงกว่าความสามารถในการมองเห็นของตา ทำให้เรามองเห็นว่ามันติดค้าง และแต่ละหลอดที่เราเห็นจะเป็นการติด-ดับ สลับ เรียงกันไปครับ
ที่ทำอย่างนี้ มีประโยชน์ในด้านที่หลอดไม่ต้องรับกระแสสูงตลอดเวลา สามารถลดสเปคหลอดลงมาได้ ความร้อนหลอดไม่สูงมาก และมีประโยชน์ด้านประหยัดพลังงานครับ
ส่วนบางรุ่นที่เห็นติดค้าง เนื่องจากเป็นการจ่ายกระแสคงที่เข้าไปครับ
แล้วแบบไหนดีกว่ากันครับ แบบกระพิบหรือไม่กระพิบ ถ้าผมตีความไม่ผิด สามารถลดสเปคหลอดลงมาได้ แปลว่า พวกกระพิบสเปคต่ำกว่าติดค้างใช่ไหม
-
PWM ที่เหมือนหลอดกะพริบดีกว่าครับ รายละเอียดตามที่เขียนไว้เลย
ไฟ DRL ชนิดหลอด LED ในรถส่วนใหญหรือไฟท้ายในบางรุ่น จะใช้การจ่ายกระแสแบบไม่คงที่ หรือการจ่ายไฟผ่านวงจร PWM ซึ่งหลอดจะไม่ติดค้าง แต่จะเป็นการติดแบบกระพริบ แต่ความถี่ในการกระพริบ สูงกว่าความสามารถในการมองเห็นของตา ทำให้เรามองเห็นว่ามันติดค้าง และแต่ละหลอดที่เราเห็นจะเป็นการติด-ดับ สลับ เรียงกันไปครับ
ที่ทำอย่างนี้ มีประโยชน์ในด้านที่หลอดไม่ต้องรับกระแสสูงตลอดเวลา สามารถลดสเปคหลอดลงมาได้ ความร้อนหลอดไม่สูงมาก และมีประโยชน์ด้านประหยัดพลังงานครับ
ส่วนบางรุ่นที่เห็นติดค้าง เนื่องจากเป็นการจ่ายกระแสคงที่เข้าไปครับ
แล้วแบบไหนดีกว่ากันครับ แบบกระพิบหรือไม่กระพิบ ถ้าผมตีความไม่ผิด สามารถลดสเปคหลอดลงมาได้ แปลว่า พวกกระพิบสเปคต่ำกว่าติดค้างใช่ไหม
-
เหมือนหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่บ้าน ใช้กระแสสลับ ทำให้ไฟติดดับที่ความถี่ 50 ครั้งต่อวินาที ตาคนเราจะมองเห็นว่ามันนิ่งเพราะตาคนเรามองเห็นแสงได้มากสุดที่ความถี่ 29 ครั้งต่อวินาที ส่วนใหญไฟก็จะเป็นกระแสสลับกันหมดครับ ยกเว้นไฟที่ใช้ถ่ายรูปจะแปลงเป็นกระแสตรง ทำให้หลอดไฟติดอยู่ตลอดถ่ายออกมาแล้วไฟจะไม่กระพริบแว่บๆ
50ครั้งต่อวินาที ถึงว่าเอากล้องไอโฟนถ่ายโหมด slow motion 120-240 fps ไฟนีออนถึงกระพริบรัวๆ
-
ตอนแรกผมคิดว่าเพราะกล้องอย่างเดียว ที่ไหนได้มีมากกว่านั้น ความรู้ล้วนๆ
-
ไฟกระพริบไวมากๆครับ ตาเราไม่ได้ดีขนาดจะจับภาพได้
-
ขอบคุณความรุ้มากๆครับ ....มันกระพริบรัวขนาดนั้น มันจะมีวันหลอดขาดมั้ยครับเนี่ย ? ต้องเปลี่ยนทั้งไฟหน้า หรือ เปลี่ยนแค่หลอดครับ
-
หลอด LED มันมีอาการกระพริบครับ เรียกว่า Flicker เป็นผลจากแหล่งจ่ายพลังงาน
https://www.youtube.com/watch?v=kyXd0iMHQKc
-
หากเอากล้อง vdo ไปถ่ายทีวีสี ที่ไม่ใช่จอแบนชนิด lcd, led
แต่เป็นหลอดชนิด CRT จะพบว่ามันสั่น และยังเป็นคลื่นๆ ไหลๆ ด้วย
-
ไฟ DRL ชนิดหลอด LED ในรถส่วนใหญหรือไฟท้ายในบางรุ่น จะใช้การจ่ายกระแสแบบไม่คงที่ หรือการจ่ายไฟผ่านวงจร PWM ซึ่งหลอดจะไม่ติดค้าง แต่จะเป็นการติดแบบกระพริบ แต่ความถี่ในการกระพริบ สูงกว่าความสามารถในการมองเห็นของตา ทำให้เรามองเห็นว่ามันติดค้าง และแต่ละหลอดที่เราเห็นจะเป็นการติด-ดับ สลับ เรียงกันไปครับ
ที่ทำอย่างนี้ มีประโยชน์ในด้านที่หลอดไม่ต้องรับกระแสสูงตลอดเวลา สามารถลดสเปคหลอดลงมาได้ ความร้อนหลอดไม่สูงมาก และมีประโยชน์ด้านประหยัดพลังงานครับ
ส่วนบางรุ่นที่เห็นติดค้าง เนื่องจากเป็นการจ่ายกระแสคงที่เข้าไปครับ
ยืนยันตามข้างบนครับ
ปัจจุบันมีรถยนต์รุ่นใหม่ๆหลายรุ่นได้นำเทคโนโลยี่นี้มาใช้(PWM - Pulse Width Modulation)
ดูรูปพื้นฐานการทำงานเบื้องต้น ที่ทำให้กล้องจับเป็นไฟกระพริบ
http://tutorial.cytron.com.my/2012/01/14/basic-pulse-width-modulation-pwm/
ตัวอย่างไม่ค่อยตรงครับ
เขาเอา PWM ไปคุมการหมุนมอเตอร์เร็ว-ช้า โดยใช้ PIC ไมโครคอนโทรลเลอร์
-
ไฟ DRL ชนิดหลอด LED ในรถส่วนใหญหรือไฟท้ายในบางรุ่น จะใช้การจ่ายกระแสแบบไม่คงที่ หรือการจ่ายไฟผ่านวงจร PWM ซึ่งหลอดจะไม่ติดค้าง แต่จะเป็นการติดแบบกระพริบ แต่ความถี่ในการกระพริบ สูงกว่าความสามารถในการมองเห็นของตา ทำให้เรามองเห็นว่ามันติดค้าง และแต่ละหลอดที่เราเห็นจะเป็นการติด-ดับ สลับ เรียงกันไปครับ
ที่ทำอย่างนี้ มีประโยชน์ในด้านที่หลอดไม่ต้องรับกระแสสูงตลอดเวลา สามารถลดสเปคหลอดลงมาได้ ความร้อนหลอดไม่สูงมาก และมีประโยชน์ด้านประหยัดพลังงานครับ
ส่วนบางรุ่นที่เห็นติดค้าง เนื่องจากเป็นการจ่ายกระแสคงที่เข้าไปครับ
แล้วแบบไหนดีกว่ากันครับ แบบกระพิบหรือไม่กระพิบ ถ้าผมตีความไม่ผิด สามารถลดสเปคหลอดลงมาได้ แปลว่า พวกกระพิบสเปคต่ำกว่าติดค้างใช่ไหม
นอกประโยชน์ที่บอกไว้ด้านบนแล้ว การที่จะบอกว่าแบบกระพริบสเปคหลอดต่ำกว่าแบบไม่กระพริบก็คงไม่ได้
การที่ผมบอกว่าสามารถลดสเปคหลอดได้ คือว่า หลอด LED จะมีค่าความสว่างที่ค่ากระแสต่างๆ กัน ที่สว่างมากๆ เพื่อให้เพียงพอต่อการนำมาทำ DRL นั้นส่วนใหญ่จะต้องใช้ค่ากระแสสูง
ทีนี้ ถ้ามาดูที่ตัวหลอด LED ส่วนใหญ่จะดูที่ค่ากระแสที่หลอดรับได้สองค่า คือ ค่ากระแสต่อเนื่อง หมายถึง เราต้องจ่ายไฟเข้าไปตลอดเวลาเพื่อให้ได้ความสว่างที่ค่าๆ หนึ่ง ส่วนอีกตัวคือ ค่ากระแสสูงสุดที่หลอดรับได้เพียงช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งค่ากระแสที่จุดนี้ มักจะมีค่ามากกว่าค่าแรกและหลอดจะให้ความสว่างสูงกว่าค่าแรก แต่หลอดจะรับค่ากระแสสูงได้แค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
ทีนี้ย้อนมาดูเรื่องการเลือกสเปคหลอด ผมแยกเป็นสองตัวอย่างในการการออกแบบ DRL โดยใช้ ตัวแปรในการออกแบบอย่างเดียวกันคือ ต้องการความสว่างของ LED แต่ละหลอดอยู่ที่ประมาณ 115 ลูเมนส์
1. รถยนต์รุ่น ก มีการจัดวงจรแบบกระแสคงที่ ดังนั้นจึงเลือกใช้หลอดที่ให้ค่าความสว่าง 118 ลูเมนส์ ที่ค่ากระแสทั่วไปแบบคงที่ 700 mA ซึ่งหลอดที่ใช้กระแสสูงแบบนี้ส่วนใหญ่ตัวจะใหญ่และปล่อยความร้อนสูงและราคาสูง
2.รถยนต์รุ่น ข มีการจัดวงจรแบบ PWM ที่มีการเลือกใช้หลอดที่ให้ค่าความสว่าง 83 ลูเมนส์ ที่ค่ากระแสทั่วไปแบบคงที่ 150 mA ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลอดนี้ให้ความสว่างต่ำกว่าสเปค แต่กินกระแสต่ำกว่า การปล่อยความร้อนต่ำกว่า และราคาส่วนใหญ่จะต่ำกว่าแบบที่ 1
แต่ที่เลือกนำมาใช้ เนื่องจากดูข้อมูลใน datasheet แล้วพบว่าหลอดตัวนี้รับค่ากระแสได้สูงสุดที่ 240mA และให้ค่าความสว่างที่ 116 ลูเมนส์ที่ค่ากระแสประมาณ 225 mA ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งาน ดังนั้นจึงมีการเลือกใช้หลอดสเปคนี้ แต่มีการจัดวงจรแบบ PWM เพื่อลดภาระโหลดความร้อนเมื่อเรานำไปใช้กับค่ากระแสสูง อีกทั้งจะเห็นว่าการกินกระแสต่ำกว่าแบบที่ 1
อันนี้เป็นตัวอย่างคร่าวๆ ของการเลือกหลอด ซึ่งการลดสเปคหลอดที่ผมพูดถึงคือการลดสเปคในเรื่องของค่าความสว่าง การกินกระแส การปล่อยความร้อน
แต่ไม่ได้หมายความว่า แบบที่กระพริบหรือใช้ PWM จะใช้หลอดสเปคต่ำกว่าหรือใช้หลอดที่ห่วยกว่ามาทำครับ
ลองดูตัวอย่าง
https://www.youtube.com/watch?v=55QRBKRVGcc
จากวิดีโอ ตอนเริ่มต้นจะเห็นว่าหลอดสว่างน้อยและติดนิ่ง อันนั้นเป็นการจ่ายแบบค่า duty ต่ำๆ และความถี่สูงเข้าไปทำให้เราเห็นเป็นติดนิ่ง แต่เราจะเห็นว่า จากหลอดเดียวกัน เราสามารถทำให้สว่างมากๆ ได้ โดยการจ่ายค่ากระแสสูงเข้าไป (ค่า duty สูงๆ ) รวมถึงการลดความถี่ลง ทำให้เราเห็นการกระพริบ
ส่วนเรื่องการติดแบบเรียงกันไปคล้ายๆ ที่ จขกท ถามถึง อันนี้ขึ้นอยู่กับการจัดวงจรของหลอด LED แต่ละหลอดครับ