Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: CMaN20 ที่ พฤษภาคม 04, 2022, 16:14:23
-
สวัสดีครับ กระทู้นี้แค่อยากชวนคุยนะครับ.
ขอยกตัวอย่าง 520D vs 530i ทั้ง2คันนี้คือดีเซลและเบนซินเทอโบทั้งคู่.
ระหว่าง2ตัวเลือกนี้ อะไรขับบนเขาได้สนุกกว่ากันครับ? รถดีเซลที่ torque เยอะ หรือรถเบนซินที่แรงม้าเยอะกว่า?
ส่วนตัวใช้ 520d อยู่ แล้วก็สนุกทุกครั้งที่ได้ขับทางบนเขา ได้เล่นเกียร์ และก็รู้สึกว่ารถดีเซลมันมีแรงดึง (Torque) ที่ดีมากๆในทุกครั้งที่กด ยิ่งทางชันๆหรือจังวะขึ้นเนินนี้มันไม่ต้องลุ้นมาก. เลยอยากมาชวนคุยครับ.
-
เคยใช้ 2 รุ่นเทียบกัน mazda 3 2.0 เบนซิน vs. mazda 2 ดีเซล
ดีเซลกินขาด ยิ่งชิพเกียร์เองยิ่งมันส์ ขึ้นเขาคาไว้เกียร์ 2 แรงบิดมาเต็มตลอด นึกถึงตอนไปเชียงใหม่ ไล่ดูดตูดรถแดง ::)
-
ขับ fd1.8 ไปแม่ฮ่องสอน Navara ทิ้งผมเป็นทุ่งเลย
-
เบนซิน เทอร์โบ ขับสนุก "มันส์" (แรงมาก แต่ไม่ประหยัดเท่า)
ดีเซล เทอร์โบ ขับ"เที่ยว"สนุก ไปทั่วไทย (แรง+ประหยัด)
-
แล้วแต่ชอบ เบนซิล ดึงยาวๆ รอบเครื่องหวาน ชอบความเร็วปลาย
ดีเซล ดึงสั้น จบเร็ว ชอบอัตราเร่ง
-
เบนซินเทอร์โบครับ ขับมันกว่าเยอะ ดีเซลกดเต็มกับครึ่งคันเร่งดึงเท่ากันนะครับ เหมือนเหยียบลงไปฟรีๆ
แล้วถ้าขับเร็วยังไงเบนซินก้ขับสนุกดึงยาวกว่าเยอะครับ
-
เทียบยี่ห้อเดียวกัน model เดียวกัน body เดียวกัน อันนี้เทียบง่ายดีครับ เห็นภาพชัด
ผมเทียบตอนโฉม F10 ตัว 525d กับ 530i ละกัน
525d แรงบิดมาไว กดเป็นมา กดเป็นไป กดเป็นพุ่ง ขับสนุกแบบไม่ต้องลากรอบเยอะ แรงม้ามีแบบดีเซล มีให้ใช้ต่อเนื่องด้วย
530i ออกตัวสู้ 525d ไม่ได้ รู้สึกว่ามันถีบช้ากว่า แต่พอรอบกลางถึงปลาย มันจะเริ่มไหลยาวๆ แล้ว ดึงต่อเนื่องเช่นกัน คนที่ชอบใช้รอบกลางถึงปลาย น่าจะชอบ แต่เวลาคิกดาวน์ จะรู้สึกว่ารถมันไม่ถีบต่อเนื่อง เหมือนรอจังหวะนิดนึง ไม่เหมือน 525d ที่คิกแล้วไปต่อเลย
ผมว่าทั้ง 2 คัน ที่ต่างกันชัดเจน คือ อัตราการกินน้ำมัน ซึ่งมันเป็นจุดเด่นของ ดีเซล ทำได้ดีกว่าเยอะ
ผมว่าคู่นี้ ผมใช้ 525d ยาวๆ เลย คิดถูกที่เลือกดีเซลมาก รถอะไรทั้งแรง ทั้งประหยัด
เมื่อเทียบ 520d vs 530i ผมว่า 530i จะเด่นกว่าในทุกมุม ยกเว้นอัตราการกินน้ำมันครับ
ถ้าเทียบ 520d ก็ต้องเทียบกับ 520i ด้วย มันถึงจะชัด
ส่วนช่วงล่าง ผมว่าแทบไม่ต่างกันเลย
-
เที่ยวเขา ผมชอบดีเซลมากกว่า ทอร์คมาไว
ยิ่งเป็นแฟลตทอร์คด้วย เจอทางชันแบบโค้งถี่ๆ แรงบิดไม่เหี่ยว ขับสนุกครับ
-
ตอนมีเบนซิลก็อยากได้ดีเซล พอมีดีเซลสุดท้ายอยากใช้เบนซิลมากกว่าครับ ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น การเช็คระยะ ต้องบ่อยกว่าเบนซิล
เสียงเครื่องดัง กลิ่นควันเหม็น ฯลฯ
-
ขับ fd1.8 ไปแม่ฮ่องสอน Navara ทิ้งผมเป็นทุ่งเลย
อันนี้น่าจะเป็นที่คนขับแล้วละ ไม่เกี่ยวกับรถ เบนซินหรือดีเซลแล้ว ถ้าชำนาญทางพอกัน รับรอง navara ตามไม่มันแน่ๆ ทิ้งเป็นทุ่ง
-
ท่องเที่ยวสำหรับผมดีเซลกินขาด
เพราะเร่งดี เร่งง่าย เร่งแรงแล้วคนนั่งไม่รู้สึกว่าเราขับโหดครับ
ถ้าเป็นเบนซิน จะให้แรง ขับสนุกบนเขา ต้องลากรอบแบบ 4000-6000 งี้ ถึงจะได้แรงเท่าดีเซลที่เหยียบแค่3,000รอบ
ถ้าไม่ได้ขับคนเดียว คนนั่งจะรู้สึกว่าเราขับโหดเกิน นึกว่าขับรถแข่งครับ ถ้าจะต้องลากรอบสูงขนาดนั้น
-
ตอนขึ้นก็ไม่ต้องใช้รอบสูง
ตอนลงก็ไม่ต้อใช้เบรคเยอะ แถมรอบก็ต่ำ
ต้องดีเซลครับ
แต่เวลาซิ่งทางเรียบ สำหรับคู่ที่คุณว่า ผมชอบเบนซินกว่านะ
ดีเซลเวลามุดแล้ว เบรคยาก คุมให้ดูดตูดก็ยากครับ
-
เส้น ลำปาง-อุตรดิตถ์นะครับ
เก๋งดีเซล คาเกียร์เตรียมแซงสนุกกว่ามากครับตอนขึ้นเขา แซงรถบรรทุกขาดแบบขาดเลย (โฟกัสดีเซล MT)
เส้นทางเดียวกันรถอีกคันเบนซิน กว่าจะแซงลุ้นกว่าเยอะเลย ทั้งที่แรงบิดก็ไม่น้อย แถมเล่นแพดเดิ้ลชิบได้ด้วย (CX30)
-
เปรียบเทียบ F32 430i กับ W213 e220d คหสตถึงแม้จะไม่ใช่รถ segment เดียวกัน
ตามสเปครถทั้งสองคัน flat torque มาตั้งแต่รอบต่ำ แต่พอขับจริงกลับรู้สึกว่าดีเซลขับง่ายกว่าเพราะเติมคันเร่งช่วงแรกๆจะตามเท้ากว่า แต่รอบปลายๆมันจะตื้อๆเวลาเร่งแซงสองเลนสวนจะต้องเผื่อระยะหน่อย
ส่วนเบนซินรอบปลายๆมันดึงยาวแถมเสียงเครื่องก็เพราะกว่า(ถึงแม้จะแค่สี่สูบก็เถอะ)
แถมๆคือดีเซลกับเกียร์หลายๆสปีดนี่ประหยัดมาก
ผมขับจากกทมลงใต้ บนหน้าจอโชว์ว่า range ที่ขับได้คือ 1,250 กิโล(ถัง 66ลิตร) บนความเร็ว 100 -110 มีเร่งแซงตามความเหมาะสม
-
ขับเที่ยวเก๋งดีเซลขับสบายไม่ต้องเค้นมากครับ ขับเก๋งเบนซิลเวลากดเยอะๆรอบกวาดสงสารรถเวลาจะอัดๆยาวๆ
-
ถ้าเป็นเบนซินเทอร์โบยังไงก็เบนซินครับ
ดีเซลขับขึ้นเขาง่ายกว่า แต่ไม่สนุก เร่งยาวๆไม่มันส์ รอบหมดเร็ว
เบนซินเทอร์โบ แรงบิดก็ยังดีแม้จะไม่สู้ดีเซล แต่ได้ช่วงเร่งแซงลากรอบสนุกกว่า
แต่ถ้าเบนซิน NA อันนี้ผมยอมขับดีเซล
-
คันที่มีแรงบิดดีๆ ช่วงล่างเฟิร์มกว่า ก็คันนั้นแหละ
-
เอา 530i ไปเขาค้อมา ช่วงปีนขึ้นทางชัน แรงดึงสู้ดีเชลไม่ได้ แต่ถ้าชิพเกียร์ต่ำช่วยเอาก็พอไหว ถ้าขับปกติแบบคาเกียร์ D ไว้ก็ได้ แต่ต้องกดคันเร่งลึกและรอรอบนานหน่อย ไม่ค่อยทันใจ แต่ข้อดีคือ เวลาเจอทางตรงกดทีดึงยาวๆ ไหลไปเรื่อยจนสุดเกียร์ จะไม่ตื้อปลายเหมือนเครื่องดีเซล หรือเวลามุด จะชิพเกียร์ลงเรียกรอบสูงรอไว้ก่อน แล้วค่อยๆเติมคันเร่งแรงบิดมันจะมาคงที่แบบต่อเนื่องไม่กระชาก ทำให้กะจังหวะการหักพวงมาลัยได้พอดีๆ คิดว่าสนุกคนล่ะแบบครับ
-
ไฟฟ้า100% > เบนซินเทอร์โบ+ไฟฟ้า > เบนซินเทอร์โบ > ดีเซลเทอร์โบ > ดีเซลเทอร์โบตามนี้ครับ
-
สำหรับผมขึ้นเขาสนุกตื่นเต้นคือ ปีนขึ้นเขาทางกรวดดินหิน
ทางชันสำหรับ SUV เก๋งขึ้นไม่ได้
ดูไลน์ให้ดีว่ามีร่องไหม มีหินแหลมหรือเปล่า
กลัวรถไหล หล่นลงไปตาย แอร์เย็นแต่เหงื่อเต็มฝ่ามือ
ขับรถ 4WD ขึ้นไปชมวิวบนเขา ถ่ายรูป แล้วไต่ลงมาทางเดิม
ขึ้นเขาสนุกอีกแบบคือถนนลาดยางคดเคี้ยว ไม่ชันมาก
อันนี้ผมขอรถสปอร์ตขับหลังเกียร์ธรรมดาครับ
ฝากไว้ว่า นึกถึงตอนระหว่างทางที่จะไปภูเขาด้วยนะครับ ว่าขับจากกรุงเทพฯ ไปไกลขนาดไหน
นึกถึงตอนขึ้นเขา แล้วต้องนึกถึงตอนลงด้วยนะครับ
-
ถ้า 520D vs 530i ผมว่ายังไง 530i ก็กิน ...
หลายคงคงคิดคัดค้านความเห็นผมนะ ... แต่ก็นั่นแหละ เพราะบางคนที่ขับรถเครื่องเบนซิน จะมีสักกี่คนที่กล้าลากรอบสูงเรียกกำลังที่แท้จริงมันออกมา ..
ขับเครื่องเบนซิล แต่อยากได้แรงบิดรอบต่ำ เหยียบเต็มที่ 3000รอบก็ยกแล้ว แล้วก็บอกแรงบิดมาไม่เท่าดีเซล ... ใช่ปะ ..
เครื่องเบนซิน ลองลากกันสุดไมล์สิ ลากถึง 6000-7000รอบดู ดีเซลไม่ได้กินหรอกครับ ...
ขึ้นเขาก็เหมือนกัน พวกขับเบนซินไม่กล้าเหยียบเหมือนกลัวฝาสูบมันจะแตก อยากให้มันมีแรงแต่กดไม่เกิน3000รอบ แล้วบอกทอร์คไม่มี ...
ขึ้นเขาน่ะ ถ้าผมจะแซงด้วยเครื่องเบนซิน ผมก็คารอบไว้ที่ 3500รอบ แล้วกดมิดลากยาวไปสุดเรดลาย แซงไวกว่าเครื่องดีเซลอีก ..
รู้จักรถตัวเอง รู้จังหวะทำงาน ถ้าใส่กันเต็มๆ ไม่ว่าจะค่ายไหน ดีเซลก็ไม่มีทางชนะเบนซิน (เดิมๆนะ)
-
เทียบจากสมัยก่อนเคยมี F30 328i กับ 325d พร้อมๆกันครับ (รถผมเองกับรถคุณพ่อ) ถ้าขับแบบถูกกฎจราจรผมว่าดีเซลจะแอบดึงกว่า ใช้งานทั่วไปเหมือนจะดีกว่า ถ้าเอาไปขึ้นเขาแล้วขับเรื่อยๆหรือมีกดบ้างนิดหน่อยผมแอบเทใจไปดีเซลครับ แต่ถ้าเอาไปซัดระดับ 7/10, 8/10 ขึ้นไปนี่เบนซินการตอบสนองคันเร่ง กำลังเครื่องที่มาแบบ linear กว่าบวกเสียงเครื่องความนุ่มนวลนี่กินขาดดีเซลครับ เหมือนเอาไปวิ่งในแทร็ก ถ้าขับกันค่อนข้างเร็วนี่เบนซินกับดีเซลที่แรงม้าพอๆกันนี่ เบนซินสนุกกว่าเยอะเลยครับ
-
ดีเซลมันมีเทอร์โบนิครับ
เทียบกันก็ต้องเทียบเบนซินเทอรโบ
เท่าที่ขับรถคนละเซ็กเมนต์กันเลย
รถที่บ้านดีเซลe300 bluetecกับcivic rsตอนยังไม่จูนทางเรียบแรงพอๆกันครับ
แต่ถ้าแบกผู้โดยสารหลายคน หรือ ขึ้นทางชัน คิดว่าเสียเปรียบดีเซลเทอรโบนิดหน่อย
อย่างไรก็ตามเบนซินเทอรโบลากรอบมันสกว่าดีเซลเทอร์โบแน่นอนครับ
-
ขึ้นเขา ในฐานะบ้านอยู่หลังดอย
ดีเซล ครับ
ทุกวันนี้ยังหารถอะไรที่ขับบนเขาสนุกเท่า Mazda 2 1.5D ไม่ได้เลย
ขาขึ้นกดเต็มเกียร์ต่ำแรงบิดดึงมันส์ๆ ขาลง Engine Brake ก็ช่วยสุดด
พึ่งขับกลับบ้านขึ้นเขาภูหลวง จ.เลย มาสดๆ ตราตรึงใจไม่หาย
ตอนนี้มาจับ Almera ยังงงๆ ตอนเร่งตอนถอนอยู่เลย ถอนไวไปก็ฉุดจนกระตุก ถอนช้าไปก็ไหลแรงเกิน
แต่ถ้าขับความเร็วเดินทาง เออรู้สึกผ่อนคลายกว่า 2 นิดนึงจริงๆ
-
จากที่เคยขับ F30 330i ขึ้นเขา เครื่องมีเทอร์โบ แรงบิดมา 350 nm ตั้งแต่รอบไม่ถึง 2,000 ผมว่าไม่จำเป็นต้องลากรอบให้เปลืองน้ำมันเลยครับ ผมขับรอบสูงสุดไม่เกิน 2,000 เองครับ ก็ได้แรงบิดสูงสุดแล้ว พอถึงเวลาจังหวะส่งยาว รอบขึ้นต่อเนื่อง แซงกระบะเจ้าถิ่นตัวแรงๆสบายๆเหลือเลยครับ
-
เอาเฉพาะเรื่องเครื่องยนต์ ถ้าเทอร์โบทั้งคู่ ผมก็ถือหางเบนซินอยู่ดี
ถ้ารักษารอบเครื่องให้อยู่ในช่วงแรงบิดของเครื่องยนต์ได้ ก็ลากได้ยาวกว่าดีเซลนะ
แต่ถ้าความสนุกของรถขับบนเขา รถต้องเบา ฐานล้อต้องสั้นๆหน่อยครับ
ยิ่งถ้าเกียร์ธรรมดานะยิ่งสนุก
ตอนใช้Swift m/t รถเดิมๆเปลี่ยนแค่ยางRE004 195/55R15
เล่นกับรถกระบะดีเซลประจำครับ แก้ง่วงดี
-
ส่วนตัวผมคงไปเบนซินเทอร์โบครับ
ดีเซลไม่แย่นะ แค่ผมชอบเสียงเครื่องเบนซินมากกว่าด้วย (เกี่ยวไหม ;D)
-
เคยใช้ ทั้ง 528i e29 กับ 520d g30 ไปเขาใหญ่ ทั้งคู่
ดีเซล มันฟิน ตรงที่ ไม่เหนื่อย ไม่ต้องลากเกียร์ ขับชิลๆ สบายกระเป๋า
เบนซิน ต้องใช้โหมด สปอร์ต หรือไม่ก็เปลี่ยนเกียร์เอง เลี้ยงรอบ 3-4 พัน มันส์สุดๆ แต่รู้สึกเหนื่อย และ สูบน้ำมัน
ถ้าขับบ่อยๆ ดีเซลก็ดี
แต่ถ้าเอามันส์ถึงพริก ถึงขิงก็ต้องเบนซิน แล้วเลี้ยงรอบเอา มันสุดกว่า ยิ่งรถสมัยนี้มีเทอร์โบ มีไฮบริด แรงบิดคงไม่ใช่ประเด็น
-
ดีเซลครับ แรงบิดเยอะ ไม่ต้องรอรอบ ไม่ต้องเค้นเยอะ
-
เคยเอา Camry Hybrid กับ X3 20d วิ่งทางเขา
ส่วนตัวผมถือว่าโอเคทั้งคู่
ดีเซลแรงบิดเยอะรอบต่ำ ไม่ต้องเล่นรอบ
ไฮบริด แบตเกือบเต็มตลอดทาง ขึ้นทางชันสบายมาก
-
ดีเซลเทอโบใน 320d ขับไปเที่ยวคือชิลมากๆ แรง แต่ประหยัดอย่างกับ eco car ขึ้นเขาลงเขาไม่รู้สึก เหมือนขับทางเรียบ ใช้เกียร์ D ตลอด ไม่ต้องเค้นอะไรเลย มาเต็มทั้งแรงบิดและ engine break
เบนซิน 2.0 เทอโบ ใน mini F56s แรงบิดมาที่รอบ 1,xxx ขึ้นเขาใหญ่แทบไม่รู้สึก ใช้เกียร์ 4 ยังแทบจะขึ้นได้ทุกเนิน (เกียร์ MT ขับเพลินๆ บางเนินลืมเปลี่ยนเกียร์ลง อยู่กลางเนินเติมคันเร่งเบาๆก็ไปสบายๆ) ส่วนความประหยัด เทียบไม่ได้กับดีเซลแน่นอน
ทั้ง 2 แบบ คือขับกินลมชมวิวเนิบๆ ถ้ารีบๆคงไม่ต้องห่วง ไปได้สบายๆทั้งคู่ อยู่ที่ชำนาญทางหรือเปล่าแค่นั้นครับ
แต่ความสนุก ผมว่าเบนซินกินขาด รอบเครื่องมีให้ใช้ยาวๆ เลือกแบบชิลหรือแบบสนุกลากรอบก็ได้ แต่ดีเซลลากรอบไม่ได้ แป๊บๆเหี่ยวแล้วจะเค้นยังไงก็ไม่มา
ถ้าสายชิล ผมไปดีเซล
ถ้าเอาสนุก ผมไปเบนซิน
-
ถ้าเที่ยวเขา ดีเซลสนุกกว่าครับ ประหยักกว่าด้วย ไม่ต้องเค้นเยอะ
-
ดีเซลแบบไม่ต้องลุ้นเลยคับ
ทอร์ดรอบต้นเยอะกว่าเห็น ๆ ไม่ต้องกดเยอะก็ขึ้นเขาสบาย แต่ต้องระวังนิดนึงถ้าถนนเปียกหรือลื่น ด้วยทอร์คที่เยอะมันจะปัดเอาง่าย ๆ (ต่อให้มี Traction แต่เวลากดคันเร่งลึกเกิน แล้วมันปัด ก็น่ากลัวอยู่ดีแหละคับ) เบนซินมันก็ขึ้นได้แหละ แต่บางทีเจอเนิน หรือโค้งหักศอกติด ๆ กัน ความเร็วตก มันต้องตบเกียร์ลง เพื่อดันทอร์คขึ้นช่วย
-
ถ้า 520D vs 530i ผมว่ายังไง 530i ก็กิน ...
หลายคงคงคิดคัดค้านความเห็นผมนะ ... แต่ก็นั่นแหละ เพราะบางคนที่ขับรถเครื่องเบนซิน จะมีสักกี่คนที่กล้าลากรอบสูงเรียกกำลังที่แท้จริงมันออกมา ..
ขับเครื่องเบนซิล แต่อยากได้แรงบิดรอบต่ำ เหยียบเต็มที่ 3000รอบก็ยกแล้ว แล้วก็บอกแรงบิดมาไม่เท่าดีเซล ... ใช่ปะ ..
เครื่องเบนซิน ลองลากกันสุดไมล์สิ ลากถึง 6000-7000รอบดู ดีเซลไม่ได้กินหรอกครับ ...
ขึ้นเขาก็เหมือนกัน พวกขับเบนซินไม่กล้าเหยียบเหมือนกลัวฝาสูบมันจะแตก อยากให้มันมีแรงแต่กดไม่เกิน3000รอบ แล้วบอกทอร์คไม่มี ...
ขึ้นเขาน่ะ ถ้าผมจะแซงด้วยเครื่องเบนซิน ผมก็คารอบไว้ที่ 3500รอบ แล้วกดมิดลากยาวไปสุดเรดลาย แซงไวกว่าเครื่องดีเซลอีก ..
รู้จักรถตัวเอง รู้จังหวะทำงาน ถ้าใส่กันเต็มๆ ไม่ว่าจะค่ายไหน ดีเซลก็ไม่มีทางชนะเบนซิน (เดิมๆนะ)
ผมว่าคุณน่าจะเข้าใจผิดหลายอย่างครับ
ถ้ารู้จักคาแรคเตอร์ ของเบนซินเทอร์โบยุคใหม่ของ BMW (หรือยี่ห้อื่นๆ ด้วย) จะรู้ว่า แรงบิด เขามาเป็น flat-torque ครับ ไม่ต้องรอ 6,000-7,000 รอบ อย่างที่คุณว่ามาเลย
อย่าง 530i แรงบิดมาตั้งแต่ 1,450-4,800 รอบแล้วครับ ไม่ต้องรอแรงบิดถึงรอบปลายด้วยซ้ำ แต่แรงม้าจะมารอบปลายจริง คือ ช่วง 6,000 รอบขึ้นไป
แต่โดยพื้นฐานรถ ดีเซล แรงบิด มันเยอะกว่า เบนซิน อยู่แล้ว อย่าง 530i แรงบิด 350NM ส่วน 520d แรงบิด 400NM (525d แรงบิด 450NM)
ดูเหมือนต่างกันไม่เยอะก็จริง แต่พอมาประจวบเหมาะของแรงม้าดีเซลก็มาในรอบต่ำด้วย มันเลยทำให้กำลังรถมันมีใช้ต่อเนื่อง จังหวะรอบกวาดมันเร็วกว่า
นั้นหมายถึงการรอรถที่จะพุ่งมันน้อยกว่า ระยะเวลาสั้นกว่า ผมถึงใช้คำว่า กดเป็นมา กดเป็นมา นั้นละ
ต่อให้ 530i ค้างรอบกลางๆ ไว้เพื่อแซง แต่พอจุ่มคันเร่งลงไปเต็มๆ ก็จริง รถมันต้องรอ response จากเครื่องยนต์ และ รอบที่กวาดช้ากว่า กว่าจะพาไปถึงจุดแรงม้าสูงสุด อีกครับ
แล้วพอเบนซิน กำลังจะพุ่งเต็มที่ ก็ต้องเบรคซะแล้ว เพราะข้างหน้าเจอโค้งแล้ว หรือ รถบรรทุก รถคันอื่นบ้าง ก็ต้องมาตั้งจังหว่ะใหม่
บ้านผมมีทั้งเบนซิน ดีเซล และ ถ้าช้าใช้รถ เบนซิล ดีเซล คู่กันประจำๆ จะรู้และเข้าใจฟิลลิ่งแบบนี้ดีครับ
-
เคยเอา Camry Hybrid กับ X3 20d วิ่งทางเขา
ส่วนตัวผมถือว่าโอเคทั้งคู่
ดีเซลแรงบิดเยอะรอบต่ำ ไม่ต้องเล่นรอบ
ไฮบริด แบตเกือบเต็มตลอดทาง ขึ้นทางชันสบายมาก
รถสีสวยมากครับ X3. ขอถามนิดครับ ตัวLCIใหม่นี้ไฟหน้าของ 20d มันเป็น LED Adaptive (เลี้ยวตาม)มั่ยครับ? ตัวก่อนLCIผมดูมันไม่ได้มา มีแต่เฉพาะใน 30e
-
ถ้าเป็นเบนซิลเทอร์โบแล้วผมเลือกเบนซิลครับ
ผมไม่เคยขับ BMW นะ
แต่ถ้าเก๋งดีเซลที่เคยขับ ผมเทียบระหว่าง มาสด้า2ดีเซล กับ Fiesta1.0 Ecoboost
Fiesta ขับมันกว่าเยอะครับ จริงที่ดีเซลรอบต้นดี แต่รอบกลางถึงปลายเบนซิลสนุกกว่า
-
ถ้า 520D vs 530i ผมว่ายังไง 530i ก็กิน ...
หลายคงคงคิดคัดค้านความเห็นผมนะ ... แต่ก็นั่นแหละ เพราะบางคนที่ขับรถเครื่องเบนซิน จะมีสักกี่คนที่กล้าลากรอบสูงเรียกกำลังที่แท้จริงมันออกมา ..
ขับเครื่องเบนซิล แต่อยากได้แรงบิดรอบต่ำ เหยียบเต็มที่ 3000รอบก็ยกแล้ว แล้วก็บอกแรงบิดมาไม่เท่าดีเซล ... ใช่ปะ ..
เครื่องเบนซิน ลองลากกันสุดไมล์สิ ลากถึง 6000-7000รอบดู ดีเซลไม่ได้กินหรอกครับ ...
ขึ้นเขาก็เหมือนกัน พวกขับเบนซินไม่กล้าเหยียบเหมือนกลัวฝาสูบมันจะแตก อยากให้มันมีแรงแต่กดไม่เกิน3000รอบ แล้วบอกทอร์คไม่มี ...
ขึ้นเขาน่ะ ถ้าผมจะแซงด้วยเครื่องเบนซิน ผมก็คารอบไว้ที่ 3500รอบ แล้วกดมิดลากยาวไปสุดเรดลาย แซงไวกว่าเครื่องดีเซลอีก ..
รู้จักรถตัวเอง รู้จังหวะทำงาน ถ้าใส่กันเต็มๆ ไม่ว่าจะค่ายไหน ดีเซลก็ไม่มีทางชนะเบนซิน (เดิมๆนะ)
Audi R8-R10 TDi ไงคับ รถดีเซล ชนะเลอมอง 24 hr หลายปีเลยนะคับ และระดับนักแข่ง LMP1 คันอื่นเขาก็คงลาก red line กันเป็นหมดแหละมั้งคับ
-
เบนซิลมันกว่าเยอะ
-
ดีเซลแรงบิดที่รอบเดินเบาครับ พื้นฐานมันได้เปรียบกว่า
-
ถ้า 520D vs 530i ผมว่ายังไง 530i ก็กิน ...
หลายคงคงคิดคัดค้านความเห็นผมนะ ... แต่ก็นั่นแหละ เพราะบางคนที่ขับรถเครื่องเบนซิน จะมีสักกี่คนที่กล้าลากรอบสูงเรียกกำลังที่แท้จริงมันออกมา ..
ขับเครื่องเบนซิล แต่อยากได้แรงบิดรอบต่ำ เหยียบเต็มที่ 3000รอบก็ยกแล้ว แล้วก็บอกแรงบิดมาไม่เท่าดีเซล ... ใช่ปะ ..
เครื่องเบนซิน ลองลากกันสุดไมล์สิ ลากถึง 6000-7000รอบดู ดีเซลไม่ได้กินหรอกครับ ...
ขึ้นเขาก็เหมือนกัน พวกขับเบนซินไม่กล้าเหยียบเหมือนกลัวฝาสูบมันจะแตก อยากให้มันมีแรงแต่กดไม่เกิน3000รอบ แล้วบอกทอร์คไม่มี ...
ขึ้นเขาน่ะ ถ้าผมจะแซงด้วยเครื่องเบนซิน ผมก็คารอบไว้ที่ 3500รอบ แล้วกดมิดลากยาวไปสุดเรดลาย แซงไวกว่าเครื่องดีเซลอีก ..
รู้จักรถตัวเอง รู้จังหวะทำงาน ถ้าใส่กันเต็มๆ ไม่ว่าจะค่ายไหน ดีเซลก็ไม่มีทางชนะเบนซิน (เดิมๆนะ)
Audi R8-R10 TDi ไงคับ รถดีเซล ชนะเลอมอง 24 hr หลายปีเลยนะคับ และระดับนักแข่ง LMP1 คันอื่นเขาก็คงลาก red line กันเป็นหมดแหละมั้งคับ
ถ้านักแข่งยังไงเขาก็ขับเต็มที่อยู่แล้วครับ แต่เอาชีวิตจริง คนทั่วๆไปใช้งาน เบนซิล คงไม่เกิน 4000 รอบ ดีเซลก็ 3000 รอบนะผมว่า นอกจากต้องเร่งแซงกดหนักๆจริงๆ
กลับมา ขึ้นเขา ถ้าเลือกรุ่นเดียวกัน
ดีเซลน่าจะสบายกว่า ไปเรื่อยๆไม่ต้องกังวล อะไร กดเบาๆก็มีแรงไหลขึ้นละ
ถ้าเบนซิล ต้องลากรอบเล่นเกียร์ ไปคนเดียวอาจสนุก แต่ถ้ามีคนอื่นมาด้วยน่าจะเมารถ นอกจากพวกเครื่องใหญ่ๆ
-
ดีเซล+เทอร์โบ มันสบายกว่าสำหรับทางเขา คดเคี้ยว ซึ่งคงไม่มีใครขับแบบสุดลิมิตบนถนนหลวง
แต่เวลาวิ่งในสนาม ส่วนตัวยังชอบเบนซิน ไม่โบมากกว่ามากครับ เพราะแม้โค้งจะเยอะ มีขึ้น มีลงเนิน แต่หากไปกันแบบสุดลิมิต แรงบิดที่เยอะเกินไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เปิด esp ก็ตัด ปิดก็ล้อฟรีถ้ากดเยอะเกิน
แต่ก็ต้องระวังเรื่องความร้อนสักนิด ถ้ามีอะไรผิดพลาดครับ เพราะบางทีกดๆ มันส์ๆเนี่ยแหละ oil temp ดีเซลเทอร์โบ ก็มี 120++ ที่อ่างน้ำมันเครื่องได้ไม่ยากครับ ;)
-
ถ้า 520D vs 530i ผมว่ายังไง 530i ก็กิน ...
หลายคงคงคิดคัดค้านความเห็นผมนะ ... แต่ก็นั่นแหละ เพราะบางคนที่ขับรถเครื่องเบนซิน จะมีสักกี่คนที่กล้าลากรอบสูงเรียกกำลังที่แท้จริงมันออกมา ..
ขับเครื่องเบนซิล แต่อยากได้แรงบิดรอบต่ำ เหยียบเต็มที่ 3000รอบก็ยกแล้ว แล้วก็บอกแรงบิดมาไม่เท่าดีเซล ... ใช่ปะ ..
เครื่องเบนซิน ลองลากกันสุดไมล์สิ ลากถึง 6000-7000รอบดู ดีเซลไม่ได้กินหรอกครับ ...
ขึ้นเขาก็เหมือนกัน พวกขับเบนซินไม่กล้าเหยียบเหมือนกลัวฝาสูบมันจะแตก อยากให้มันมีแรงแต่กดไม่เกิน3000รอบ แล้วบอกทอร์คไม่มี ...
ขึ้นเขาน่ะ ถ้าผมจะแซงด้วยเครื่องเบนซิน ผมก็คารอบไว้ที่ 3500รอบ แล้วกดมิดลากยาวไปสุดเรดลาย แซงไวกว่าเครื่องดีเซลอีก ..
รู้จักรถตัวเอง รู้จังหวะทำงาน ถ้าใส่กันเต็มๆ ไม่ว่าจะค่ายไหน ดีเซลก็ไม่มีทางชนะเบนซิน (เดิมๆนะ)
ผมว่าคุณน่าจะเข้าใจผิดหลายอย่างครับ
ถ้ารู้จักคาแรคเตอร์ ของเบนซินเทอร์โบยุคใหม่ของ BMW (หรือยี่ห้อื่นๆ ด้วย) จะรู้ว่า แรงบิด เขามาเป็น flat-torque ครับ ไม่ต้องรอ 6,000-7,000 รอบ อย่างที่คุณว่ามาเลย
อย่าง 530i แรงบิดมาตั้งแต่ 1,450-4,800 รอบแล้วครับ ไม่ต้องรอแรงบิดถึงรอบปลายด้วยซ้ำ แต่แรงม้าจะมารอบปลายจริง คือ ช่วง 6,000 รอบขึ้นไป
แต่โดยพื้นฐานรถ ดีเซล แรงบิด มันเยอะกว่า เบนซิน อยู่แล้ว อย่าง 530i แรงบิด 350NM ส่วน 520d แรงบิด 400NM (525d แรงบิด 450NM)
ดูเหมือนต่างกันไม่เยอะก็จริง แต่พอมาประจวบเหมาะของแรงม้าดีเซลก็มาในรอบต่ำด้วย มันเลยทำให้กำลังรถมันมีใช้ต่อเนื่อง จังหวะรอบกวาดมันเร็วกว่า
นั้นหมายถึงการรอรถที่จะพุ่งมันน้อยกว่า ระยะเวลาสั้นกว่า ผมถึงใช้คำว่า กดเป็นมา กดเป็นมา นั้นละ
ต่อให้ 530i ค้างรอบกลางๆ ไว้เพื่อแซง แต่พอจุ่มคันเร่งลงไปเต็มๆ ก็จริง รถมันต้องรอ response จากเครื่องยนต์ และ รอบที่กวาดช้ากว่า กว่าจะพาไปถึงจุดแรงม้าสูงสุด อีกครับ
แล้วพอเบนซิน กำลังจะพุ่งเต็มที่ ก็ต้องเบรคซะแล้ว เพราะข้างหน้าเจอโค้งแล้ว หรือ รถบรรทุก รถคันอื่นบ้าง ก็ต้องมาตั้งจังหว่ะใหม่
บ้านผมมีทั้งเบนซิน ดีเซล และ ถ้าช้าใช้รถ เบนซิล ดีเซล คู่กันประจำๆ จะรู้และเข้าใจฟิลลิ่งแบบนี้ดีครับ
เห็นด้วยครับ
เจอทางชัน+โค้งหักศอก เบนซินจะเลี้ยงให้รอบสูงๆ ตลอดก็ไม่ได้ครับ
(http://bitcoretech.com/wp-content/uploads/2020/01/techniques-for-driving-automatic-gear-up-down-the-hill-to-be-safe-3-e1578468907638.jpg)
-
ดีเซล+เทอร์โบ มันสบายกว่าสำหรับทางเขา คดเคี้ยว ซึ่งคงไม่มีใครขับแบบสุดลิมิตบนถนนหลวง
แต่เวลาวิ่งในสนาม ส่วนตัวยังชอบเบนซิน ไม่โบมากกว่ามากครับ เพราะแม้โค้งจะเยอะ มีขึ้น มีลงเนิน แต่หากไปกันแบบสุดลิมิต แรงบิดที่เยอะเกินไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เปิด esp ก็ตัด ปิดก็ล้อฟรีถ้ากดเยอะเกิน
แต่ก็ต้องระวังเรื่องความร้อนสักนิด ถ้ามีอะไรผิดพลาดครับ เพราะบางทีกดๆ มันส์ๆเนี่ยแหละ oil temp ดีเซลเทอร์โบ ก็มี 120++ ที่อ่างน้ำมันเครื่องได้ไม่ยากครับ ;)
ผมเองก็พึ่งจะเข้าใจที่พูดกันว่า "ดีเซลมันแช่ไม่ได้" กับตัวเองครับ. 520dตัวเองที่ remapมาแล้ว ตอนนั้นลองถนนโล่งๆ200-210 แช่นานหน่อย. ก็ดูความร้อนที่หน้าจออยู่ครับ มันก็ไม่ได้ขึ้นกว่าปรกติ แต่รถผมมันไม่มี oil temp/oil pressure ก็เลยไม่สามารถดูอะไรได้. หลังจากนั้นไม่นานมีโอกาศได้ไปserviceนอกศูนย์ (จริงๆรถยังอยู่ในbsi แต่ผมต้องการถ่ายนม.เกียร์) เจ้าของร้านที่ไปเซอวิสเอาคอมเสียบเช็ค code ไปเจอว่ามันมีฟ้องว่า มีความร้อนสูงเกินที่เซ็นเซอหลังDPF ซึ่งผมถามพี่ที่เช็คให้แกบอกว่าcodeแบบนี้มันจะไม่ขึ้นที่หน้าจอ และมันบ่งบอกว่ารถมีความร้อนสะสมหลังDPFที่มากเกินไป ถ้าปล่อยไว้นานๆหรือถ้าเกิดบ่อยๆมันจะพังได้! แกถามว่าไปแช่ที่ไหนมารึเปล่า ผมเลยนึกถึงครั้งนั้นที่ผมแช่มา
สรุปเลยครับ แกบอกรถดีเซล ยิ่งถ้าremapมาแล้วนี้ ถ้ายังมี DPF/CAT อยู่ ห้ามแช่เลยเด็ดขาด ต้องคอยเลี้ยงคันเร่ง/ความเร็วเอา อย่าจุ่มแช่.
-
ขึ้นลงเขา ทางมันคดเคี้ยว รถที่ทอร์คมาตั้งแต่รอบต่ำๆ จะได้เปรียบกว่า กดแปปๆ ก็ต้องโค้งแล้ว ส่วนตัวเคยขับแต่มาสด้า 2 ดีเซล
จะเทียบกับเทอร์โบเบนซินก็ไม่เคยขับ ขับแต่ na เบนซิน ซึ่งก็เทียบไม่ติดกับรถเทอร์โบอยู่แล้ว เพิ่งไปขับข้ามทับลานมา สนุกมาก ขึ้นจากฝั่งปราจีนมาออกปักธงชัย
-
ต้องนิยามคำว่าขับสนุกก่อนว่าหมายถึงอะไร
ถ้าเก๋งเบนซินที่ขับสนุก ๆ เล่นบนเขาคดเคี้ยวแบบนี้มีแน่ ๆ คือ BRZ MX5 พวกนี้ขับสนุกจริง ๆ ไม่ว่าทางเรียบตรงหรือทางโค้งกับเขา
แต่ถ้าการใช้งานพวกเครื่องดีเซลเทอร์โบมันได้เปรียบกว่าเครื่องเบนซิน NA ทุกด้านอยู่แล้ว (แต่ค่าซ่อมบำรุงแพงกว่า ) เพราะทอร์คมันมาเร็วกำลังดีกว่าขับแล้วไม่เหนื่อย แต่จะบอกว่าขับสนุกหรือไม่ผมว่า เฉย ๆ (สำหรับผม ) เพราะรถดีเซลที่ผมเคยขับมานั้นมันไม่ใช่รถขับสนุกอะไรเหมือนรถสปอร์ต ที่ผมเคยมี เคยขับ เพราะรถดีเซลพวกนี้มันคือรถใช้งานทั่ว ๆ ไป แค่นั้นเอง
-
สำหรับผม ต้องดูที่ เกียร์ ด้วยนะครับ ถ้าสามารถ +,- ได้เอง จะดีมากเลย
-
ถ้าขึ้นเขาแล้วใช้เกียร์ให้เป็น ไม่ว่าเบนซินหรือดีเซล เครื่องไหนมันก็ไม่ต้องรอรอบทั้งนั้นนะผมว่า สุดท้ายมันอยู่ที่ว่ากราฟทอร์คเป็นยังไงมากกว่า ถ้า Flat torque ทั้งคู่ยังไงก็แรง แต่เบนซินรอบดีกว่า เสียงเงียบกว่าด้วย
ส่วนตัวขอเป็นเบนซินเทอร์โบขับสี่ครับ :D
-
มันส์ทั้งคู่ถ้าเครื่องมีกำลังดี ถนนโล่งๆ
แต่ดีเซลขับสบายกว่าครับ จะชันแค่ไหน จะขับช้า(รถติด)แค่ไหน มันก็ขึ้นของมันได้สบายเรื่อยๆ
ไม่ต้องเค้น ไม่ต้องเร่งส่งเนินใดๆ
-
เล่นรอบต้นแบบนี้ดีเซลได้เปรียบสิครับ ทอร์ครอบต้นดีกว่าเห็นๆ
-
ขอแยกคำว่า แข่ง ออกจากคำว่า ขับสบาย นะครับ
ผมว่าตอนนี้ จะดีเซล หรือเบนซิน รุ่นใหม่ๆ ที่มาแบบ หัวฉีดตรง แคมกระดิก ติดเทอร์โบ
ผมว่าขึ้นเขาได้สบายหมด แม้ว่าในซีซีเดียวกัน ดีเซลจะได้เปรียบขึ้นอีกนิด
ก่อนหน้านี้เคยใช้ Benz Vito ดีเซล ขึ้นเขาใหญ่เทียบ Alphard Hybrid
สรุปว่า Benz ขึ้นเขาดีกว่าเยอะ ก็เพราะเป็นดีเซลเทอร์โบ VS เครื่อง NA ส่วน Hybrid นั่นไฟฟ้าหมดตั้งแต่เริ่มขึ้นเขาแล้ว
ตอนหลังๆ เอาทั้ง Harrier 2.4, E220d, C200, 5008, Prado สลับขึ้นเขา
เบนซิน NA แพ้ราบครับ จะเครื่อง 4 สูบ 6 สูบ สุดท้ายมันต้องการรอบเพื่อสร้างแรงบิด ต้นๆเลยไม่ดี แถมกินน้ำมัน
ที่ขอชมมาก คือเครื่องเบนซินเทอร์โบเล็กรุ่นใหม่ๆ
ผมลอง 5008 เครื่อง 1.6 เทอร์โบ ขึ้นดอยสุเทพ เสมิง อยู่หลายรอบ พบว่าเครื่องเทอร์โบเล็กๆแบบ 1.4-1.5-1.6 สามารถขับขึ้นเขาได้ดีกว่าเบนซิน NA 2.4, 2.5 หรือแม้แต่ 2.8 บางรุ่น
ด้วยการปั่นแรงบิดซัก 240-250 nm. ได้ตั้งแต่รอบต้นๆ
เวลาขึ้นเขานี่ไม่ต้องใช้รอบวิ่งเลย
สรุปว่าขอให้มีเทอร์โบเถอะครับ จะดีเซล เบนซิน ผมว่าขับสบายกว่ารถยุคเครื่อง NA มาก
-
ดีเซล+เทอร์โบ มันสบายกว่าสำหรับทางเขา คดเคี้ยว ซึ่งคงไม่มีใครขับแบบสุดลิมิตบนถนนหลวง
แต่เวลาวิ่งในสนาม ส่วนตัวยังชอบเบนซิน ไม่โบมากกว่ามากครับ เพราะแม้โค้งจะเยอะ มีขึ้น มีลงเนิน แต่หากไปกันแบบสุดลิมิต แรงบิดที่เยอะเกินไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เปิด esp ก็ตัด ปิดก็ล้อฟรีถ้ากดเยอะเกิน
แต่ก็ต้องระวังเรื่องความร้อนสักนิด ถ้ามีอะไรผิดพลาดครับ เพราะบางทีกดๆ มันส์ๆเนี่ยแหละ oil temp ดีเซลเทอร์โบ ก็มี 120++ ที่อ่างน้ำมันเครื่องได้ไม่ยากครับ ;)
ผมเองก็พึ่งจะเข้าใจที่พูดกันว่า "ดีเซลมันแช่ไม่ได้" กับตัวเองครับ. 520dตัวเองที่ remapมาแล้ว ตอนนั้นลองถนนโล่งๆ200-210 แช่นานหน่อย. ก็ดูความร้อนที่หน้าจออยู่ครับ มันก็ไม่ได้ขึ้นกว่าปรกติ แต่รถผมมันไม่มี oil temp/oil pressure ก็เลยไม่สามารถดูอะไรได้. หลังจากนั้นไม่นานมีโอกาศได้ไปserviceนอกศูนย์ (จริงๆรถยังอยู่ในbsi แต่ผมต้องการถ่ายนม.เกียร์) เจ้าของร้านที่ไปเซอวิสเอาคอมเสียบเช็ค code ไปเจอว่ามันมีฟ้องว่า มีความร้อนสูงเกินที่เซ็นเซอหลังDPF ซึ่งผมถามพี่ที่เช็คให้แกบอกว่าcodeแบบนี้มันจะไม่ขึ้นที่หน้าจอ และมันบ่งบอกว่ารถมีความร้อนสะสมหลังDPFที่มากเกินไป ถ้าปล่อยไว้นานๆหรือถ้าเกิดบ่อยๆมันจะพังได้! แกถามว่าไปแช่ที่ไหนมารึเปล่า ผมเลยนึกถึงครั้งนั้นที่ผมแช่มา
สรุปเลยครับ แกบอกรถดีเซล ยิ่งถ้าremapมาแล้วนี้ ถ้ายังมี DPF/CAT อยู่ ห้ามแช่เลยเด็ดขาด ต้องคอยเลี้ยงคันเร่ง/ความเร็วเอา อย่าจุ่มแช่.
ยิ่งรถทำมายิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ อุณหภูมิน้ำหล่อเย็น แม้จะไม่ได้ร้อนจากปกติ แต่ อุณหภูมิไอเสีย อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง อุณหภูมิอากาศเข้าเครื่อง สูงแน่ ถ้าใช้ชุดระบายความร้อนเดิม หน้าร้อนนี่เคยวิ่งสนาม 3 รอบเท่านั้นแหละ ตัดกำลังแล้ว ต้องพกถังน้ำฉีดอินเตอร์ไปอีกถังเลยล่ะครับ ;D
-
ดีเซล+เทอร์โบ มันสบายกว่าสำหรับทางเขา คดเคี้ยว ซึ่งคงไม่มีใครขับแบบสุดลิมิตบนถนนหลวง
แต่เวลาวิ่งในสนาม ส่วนตัวยังชอบเบนซิน ไม่โบมากกว่ามากครับ เพราะแม้โค้งจะเยอะ มีขึ้น มีลงเนิน แต่หากไปกันแบบสุดลิมิต แรงบิดที่เยอะเกินไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เปิด esp ก็ตัด ปิดก็ล้อฟรีถ้ากดเยอะเกิน
แต่ก็ต้องระวังเรื่องความร้อนสักนิด ถ้ามีอะไรผิดพลาดครับ เพราะบางทีกดๆ มันส์ๆเนี่ยแหละ oil temp ดีเซลเทอร์โบ ก็มี 120++ ที่อ่างน้ำมันเครื่องได้ไม่ยากครับ ;)
ผมเองก็พึ่งจะเข้าใจที่พูดกันว่า "ดีเซลมันแช่ไม่ได้" กับตัวเองครับ. 520dตัวเองที่ remapมาแล้ว ตอนนั้นลองถนนโล่งๆ200-210 แช่นานหน่อย. ก็ดูความร้อนที่หน้าจออยู่ครับ มันก็ไม่ได้ขึ้นกว่าปรกติ แต่รถผมมันไม่มี oil temp/oil pressure ก็เลยไม่สามารถดูอะไรได้. หลังจากนั้นไม่นานมีโอกาศได้ไปserviceนอกศูนย์ (จริงๆรถยังอยู่ในbsi แต่ผมต้องการถ่ายนม.เกียร์) เจ้าของร้านที่ไปเซอวิสเอาคอมเสียบเช็ค code ไปเจอว่ามันมีฟ้องว่า มีความร้อนสูงเกินที่เซ็นเซอหลังDPF ซึ่งผมถามพี่ที่เช็คให้แกบอกว่าcodeแบบนี้มันจะไม่ขึ้นที่หน้าจอ และมันบ่งบอกว่ารถมีความร้อนสะสมหลังDPFที่มากเกินไป ถ้าปล่อยไว้นานๆหรือถ้าเกิดบ่อยๆมันจะพังได้! แกถามว่าไปแช่ที่ไหนมารึเปล่า ผมเลยนึกถึงครั้งนั้นที่ผมแช่มา
สรุปเลยครับ แกบอกรถดีเซล ยิ่งถ้าremapมาแล้วนี้ ถ้ายังมี DPF/CAT อยู่ ห้ามแช่เลยเด็ดขาด ต้องคอยเลี้ยงคันเร่ง/ความเร็วเอา อย่าจุ่มแช่.
ยิ่งรถทำมายิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ อุณหภูมิน้ำหล่อเย็น แม้จะไม่ได้ร้อนจากปกติ แต่ อุณหภูมิไอเสีย อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง อุณหภูมิอากาศเข้าเครื่อง สูงแน่ ถ้าใช้ชุดระบายความร้อนเดิม หน้าร้อนนี่เคยวิ่งสนาม 3 รอบเท่านั้นแหละ ตัดกำลังแล้ว ต้องพกถังน้ำฉีดอินเตอร์ไปอีกถังเลยล่ะครับ ;D
ใช้เลยครับ เอาแค่เบาๆพอ อย่าไปซัดเยอะ. เดี่ยวนี้ผมก็ไม่ไปจุ่มแช่แล้วครับ เอาแค่เร่งแซงใช้งานทั่วไปก็เหลือๆแล้ว ตอนนี้Torqueลงล้อจากที่Dynoมาหลังจูนมันได้ 505 NM แค่นี้ก็ขับง่ายกว่าเดิมเยอะครับ.
เคยคิดจะทำต่อเหมือนกันครับ อยากไปเปลี่ยน DP เปลี่ยน Inter ไปอัพใบTurbo. สุดท้ายมานั่งคิดว่าถ้าจะไปขนาดนั้น ไม่ไปซื้อคันใหม่เอา เบนซินไปเลยดีกว่า555 ดีเซลตั้งใจซื้อมาให้ประหยัด/ทน มันก็ทำได้แค่นี้แหละ.
-
เป็นกระทู้ที่ได้ความรู้มากๆครับ
-
ถ้า 520D vs 530i ผมว่ายังไง 530i ก็กิน ...
หลายคงคงคิดคัดค้านความเห็นผมนะ ... แต่ก็นั่นแหละ เพราะบางคนที่ขับรถเครื่องเบนซิน จะมีสักกี่คนที่กล้าลากรอบสูงเรียกกำลังที่แท้จริงมันออกมา ..
ขับเครื่องเบนซิล แต่อยากได้แรงบิดรอบต่ำ เหยียบเต็มที่ 3000รอบก็ยกแล้ว แล้วก็บอกแรงบิดมาไม่เท่าดีเซล ... ใช่ปะ ..
เครื่องเบนซิน ลองลากกันสุดไมล์สิ ลากถึง 6000-7000รอบดู ดีเซลไม่ได้กินหรอกครับ ...
ขึ้นเขาก็เหมือนกัน พวกขับเบนซินไม่กล้าเหยียบเหมือนกลัวฝาสูบมันจะแตก อยากให้มันมีแรงแต่กดไม่เกิน3000รอบ แล้วบอกทอร์คไม่มี ...
ขึ้นเขาน่ะ ถ้าผมจะแซงด้วยเครื่องเบนซิน ผมก็คารอบไว้ที่ 3500รอบ แล้วกดมิดลากยาวไปสุดเรดลาย แซงไวกว่าเครื่องดีเซลอีก ..
รู้จักรถตัวเอง รู้จังหวะทำงาน ถ้าใส่กันเต็มๆ ไม่ว่าจะค่ายไหน ดีเซลก็ไม่มีทางชนะเบนซิน (เดิมๆนะ)
ผมว่าคุณน่าจะเข้าใจผิดหลายอย่างครับ
ถ้ารู้จักคาแรคเตอร์ ของเบนซินเทอร์โบยุคใหม่ของ BMW (หรือยี่ห้อื่นๆ ด้วย) จะรู้ว่า แรงบิด เขามาเป็น flat-torque ครับ ไม่ต้องรอ 6,000-7,000 รอบ อย่างที่คุณว่ามาเลย
อย่าง 530i แรงบิดมาตั้งแต่ 1,450-4,800 รอบแล้วครับ ไม่ต้องรอแรงบิดถึงรอบปลายด้วยซ้ำ แต่แรงม้าจะมารอบปลายจริง คือ ช่วง 6,000 รอบขึ้นไป
แต่โดยพื้นฐานรถ ดีเซล แรงบิด มันเยอะกว่า เบนซิน อยู่แล้ว อย่าง 530i แรงบิด 350NM ส่วน 520d แรงบิด 400NM (525d แรงบิด 450NM)
ดูเหมือนต่างกันไม่เยอะก็จริง แต่พอมาประจวบเหมาะของแรงม้าดีเซลก็มาในรอบต่ำด้วย มันเลยทำให้กำลังรถมันมีใช้ต่อเนื่อง จังหวะรอบกวาดมันเร็วกว่า
นั้นหมายถึงการรอรถที่จะพุ่งมันน้อยกว่า ระยะเวลาสั้นกว่า ผมถึงใช้คำว่า กดเป็นมา กดเป็นมา นั้นละ
ต่อให้ 530i ค้างรอบกลางๆ ไว้เพื่อแซง แต่พอจุ่มคันเร่งลงไปเต็มๆ ก็จริง รถมันต้องรอ response จากเครื่องยนต์ และ รอบที่กวาดช้ากว่า กว่าจะพาไปถึงจุดแรงม้าสูงสุด อีกครับ
แล้วพอเบนซิน กำลังจะพุ่งเต็มที่ ก็ต้องเบรคซะแล้ว เพราะข้างหน้าเจอโค้งแล้ว หรือ รถบรรทุก รถคันอื่นบ้าง ก็ต้องมาตั้งจังหว่ะใหม่
บ้านผมมีทั้งเบนซิน ดีเซล และ ถ้าช้าใช้รถ เบนซิล ดีเซล คู่กันประจำๆ จะรู้และเข้าใจฟิลลิ่งแบบนี้ดีครับ
เห็นด้วยครับ
เจอทางชัน+โค้งหักศอก เบนซินจะเลี้ยงให้รอบสูงๆ ตลอดก็ไม่ได้ครับ
(http://bitcoretech.com/wp-content/uploads/2020/01/techniques-for-driving-automatic-gear-up-down-the-hill-to-be-safe-3-e1578468907638.jpg)
ใช่ครับ ผมก็พูดตามที่ใช้งานจริง และ ตอบตามคำถาม ที่เขาถามว่า เที่ยวเขา ทางคดเคี้ยวๆ ขึ้นเนิน ทางชัน และ รถเยอะ ต้องเร่งแซงระยะสั้นๆ ในช่วงทางตรงที่สั้น ในทางขึ้น-ลงเขา ไหนจะ อื่นๆ อีก
พูดกันยังกะ ทาคุมิ ขับบนเขาอากินะ ชีวิตจริง ไม่ใช่ การ์ตูน เชนเกียร์ ปั่นรอบรอ ปั่นบูสต์รอ ในรอบกลางๆ กดมิดในรอบปลาย ใช้งานจริง มันจะได้ทำแบบนั้นกี่ครั้งกันเชียว ชีวิตจริง ไปขับที่ได้เหรอครับแบบนี้ ผมขับรถขึ้นเขา-ลงเขา มาเป็น 10 ปี ผมยังทำไม่ได้ขนาดนั้น
มันคือเหตุผล ว่าทำไมผมถึงมี รถดีเซล ในบ้าน ก็เพราะใช้งานแบบนี้แหละ (ถ้ามันได้ขับสี่ดูจะยิ่งดี) ทั้งๆ ที่มีรถ เบนซิน อยู่เช่นกัน แต่ก็เลือกใช้งานต่างกัน
บางคนพูดเหมือนซัดบนทางด่วน แช่ 180+ ไม่ยก หรือ จะขิง เอาให้ได้เลย
ถ้าเขาถามว่า "ขับทางไกล แช่ยาว ความเร็วครุยซิ่งยาวๆ หรือ จุ่มคันเร่งยาวๆ รอบปลายตลอด ไม่ยก หรือ ซัดบางทางด่วน มอเตอร์เวย์.....เบนซิน หรือ ดีเซล คันไหนขับสนุกกว่ากัน"
ผมจะตอบทันทีว่า เบนซิน ขับสนุกกว่าครับ
-
ผมมีเก๋งทั้งเบนซิน ดีเซลนะครับ
ดีเซล: ซีรี่ส์ 5
เบนซิน: ซีรี่ส์ 3
ถ้าไม่กังวลเรื่องการประหยัดน้ำมันเลย ผมว่า เบนซินขับสนุกกว่าครับ
แต่พอใช้จริง อยากขับแต่ดีเซล เพราะประหยัดกว่ากันเยอะมากๆ ครับ (3-5 km/l เลย)