สวัสดีครับเพื่อนๆ HLM ทุกท่าน
ไม่ได้มาแวะห้องนี้นานมากๆแล้ว 5555+ รอบแล้วรีวิวรถ รอบนี้ขออนุญาติรีวิวของชิ้นนึง ที่ในรถทุกคันมี (แหงแหละ ไม่มีจะมารีวิวได้ไงหวา...) และทุกคนก็จะมีคำถามบ่อยๆ นั่นก็คือ "โช้คอัพ" ครับผม ซึ่งวันนี้ โช้คอัพที่ผมจะมารีวิวนั่นก็คือ Bilstein รุ่น B6 นั่นเองครับผม
***ถ้าขี้เกียจอ่าน Version ยาว รูดลงไปด้านล่างเลยครับ มีสรุปแบบสั้นๆให้ฟังครับ***ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักโช้คยี่ห้อ Bilstein โดยคร่าวๆกันก่อนดีกว่าครับ
Bilstein เป็นบริษัทเก่าแก่ของเยอรมัน อายุตอนนี้ก็น่าจะประมาณ 143 ปีแล้วครับ โดยมร. ออกุส บิลสไตน์ ได้ก่อตั้งบริษัทครั้งแรกในปี คศ. 1873 แรกเริ่มก็ผลิตพวกชิ้นส่วนยานยนต์ต่างๆ และในที่สุดปี คศ. 1957 ทางบริษัท ได้เริ่มผลิตช็อคอัพระบบแรงดันแก็สให้กับบริษัท Mercedes-Benz AG เป็นครั้งแรกครับผม
![](http://bilsteinthailand.com/main/wp-content/uploads/2016/05/Bilstein-History-filtered.jpg)
หลังจากนั้น Bilstein ก็พัฒนาโช้คอัพมาเรื่อยไปครับ โดยพัฒนาให้กับบริษัทรถทั้งหลายมากมาย เช่น Mitsubishi, Nissan, Porsche, Subaru เป็นต้น
***ขอบคุณข้อมูลและรูปบางส่วนจากเวปไซต์
www.bilsteinthailand.com ด้วยครับ***
นอกจากผลิตให้รถโรงงานแล้ว ก็ยังพัฒนาโช้คให้กับวงการ Motorsport ด้วยครับ ดังจะเห็นอยู่ในรถแข่งรายการดังๆเช่น 24Hrs Nurburgring เป็นต้น
มีอะไรให้เลือกบ้าง???จริงๆ Line up สิ้นค้าของ Bilstein มันมีเยอะมากกกกกกครับ แต่ผมจะขออนุญาติคัดตัวที่มีขายในบ้านเรา และในรถยนต์นั่งที่ไม่ใช่กระบะนะครับ
Bilstein B4![](https://www2.bilstein.com/wp-content/uploads/2016/08/BILSTEIN-B4-ohne-Kabel.png)
เริ่มจาก B4 ครับ เอาง่ายๆว่า B4 เป็นโช้คอัพสำหรับใส่ของเดิมโรงงาน สเปคการวาล์วมาเท่ากับโรงงาน พูดง่ายๆคือของโรงงานนั่นแหละครับ ใส่แล้วก็ได้ฟีลเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงครับ มีทั้งโช้คที่เป็นแบบธรรมดา และ Upside down ครับผม ซึ่งแล้วแต่รุ่นกันไป
Bilstein B6![](https://www2.bilstein.com/wp-content/uploads/2016/08/BILSTEIN-B6.png)
ตัวนี้ครับ พระเอกของเรา B6 ขอเรียกสั้นๆแบบนี้นะครับ ตัวนี้จุดประสงค์หลักคือ ทำมาเพื่อให้ฟีลลิ่งการขับที่ดีกว่าโช้คเดิม โดยที่ไม่เสียความนุ่มนวลไป พูดง่ายๆคือให้หนึบกว่าเดิม เกาะถนนและปลอดภัยมากกว่าเดิม ซึ่งในทฤษฎีจริงๆเป็นไปได้ยากพอสมควรอยู่นะครับ 5555+ เวปไซต์ฝรั่งเค้าก็โฆษณาไว้ว่าแบบนั้น ก็เดี๋ยวค่อยไปดูกันต่อครับว่าจะจริงแบบที่เค้าว่าหรือไม่ หน้าตาโช้คก็จะเป็นลักษณะเหมือนของโรงงานครับใส่แล้วความสูงรถก็ยังคงเท่าเดิมระยะ Stroke ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งโช้คอัพตัวนี้ใช้กับ
สปริงเดิมนะครับ ****ย้ำ****
สปริงเดิม ซึ่งเป็นจุดตายของหลายๆคนที่ไม่รู้จะเรียกพลาดได้ไหม เพราะก่อนซื้อผมพยายามอ่านรีวิวแทบจะพลิกแผ่นดิน Google ก็หารีวิวแบบที่ถูกต้องตามที่โรงงานอยากจะให้เป็นยากเหลือเกินครับ พบว่าคนส่วนใหญ่มักจะเอา B6 ไปจับกับ
สปริงโหลด ซึ่งเกิดอะไรขึ้น??? ทำให้ระยะยุบที่ควรจะเริ่มจาก 0 มันไม่เป็นไปตามนั้น พอระยะยุบเปลี่ยน อาการรถจะเปลี่ยนซึ่งส่วนใหญ่จะกระด้างกว่าเดิม และผลต่อมาคือ "พัง" ครับ เพราะเหมือนเรากดให้โช้คมันยุบเยอะๆอยู่ตลอดเวลาจากสปริงที่มันโหลดลงมานั่นแหละ ดังนั้นใครจะเอารุ่นนี้ไปใช้ กรุณาใช้กับสปริงโรงงานนะครับ ซึ่งทั้งหมดนี้ คู่แข่งชนตรงตัวเลยก็คือ KYB New SR กระบอกฟ้าๆนั่นแหละครับ
Bilstein B8![](https://www2.bilstein.com/wp-content/uploads/2016/08/BILSTEIN-B8.png)
จากข้อที่แล้ว... ที่ผมบอกว่า B6 ใช้กับสปริงโหลดไม่ได้ใช่ไหมครับ... นี่ครับ โช้คอัพสำหรับสปริงโหลด Bilstein เค้าก็ทำมาให้ชื่อรุ่น B8 ครับผม สังเกตุได้ว่า แกนโช้คจะสั้นกว่าตัวบน ใช้สำหรับสปริงโหลดครับ ซึ่งข้อมูลที่ผมพยายามหาพบว่า การ Valving ของ B6 และ B8 เหมือนกันเป๊ะๆ เพียงแต่ B6 ใช้กับสปริงเดิม B8 ใช้กับ สปริงโหลด เลือกใช้กันให้ถูกนะครับ เพราะกระบอกมันสีเหลืองมันกันเป๊ะๆ ถ้าไม่เอามาวางเทียบกันจะค่อนข้างตอบลำบากเลยทีเดียวครับ
Bilstein B12![](https://www2.bilstein.com/wp-content/uploads/2016/08/BILSTEIN-B12-Pro-Kit.png)
ตัวนี้คืออะไร??? มันคือโช้คอัพ B8 นั่นแหละครับ ไม่มีอะไร ผมเคยค้นแล้วสรุปว่า Part มันตรง B8 เป๊ะๆ เพียงแต่ Bilstein เค้าเลือกสปริงมาจับคู่ให้เรียบร้อย ซึ่งปัจจุบันเค้าเลือกยี่ห้อ Eibach มาให้ครับ ฉะนั้นการทำงานระหว่างสปริงโหลดกับโช้คอัพ ก็น่าจะเข้ากันมากขึ้นในความคิดผมนะ เพราะไม่เคยลอง 555+
Bilstein B14![](https://www2.bilstein.com/wp-content/uploads/2016/08/BILSTEIN-B14.png)
ตั้งแต่ B14 เป็นต้นไปจะเป็น Coilover ละครับ คือ เป็นโช้คอัพที่มาพร้อมกับสปริงหลอด ปรับค่า Preload ได้ ปรับความสูงได้ แต่ปรับความหนืดไม่ได้ เค้าเซทมาให้แล้ว
Bilstein B16![](https://www2.bilstein.com/wp-content/uploads/2016/08/BILSTEIN-B16.png)
อันนี้หน้าตาเหมือน B14 ครับ ทำได้เหมือนกัน แต่ที่ต่างคือสามารถปรับความหนืดได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีคำว่า "PSS" ตามหลังและตามด้วยเลขอีกทีครับ เท่าที่เคยเห็นมีสองแบบคือ PSS9 และ PSS10 คือปรับความหนืดได้ 9 และ 10 ระดับตามลำดับครับ
Credit :
www.bilstein.com/en ทำไมต้องเอา B6???รถที่ผมใช้เป็น Subaru WRX STi ปี 2015 ด้วยบุคลิครถแล้ว ถ้าเจ้าของ(คนอื่น)จะซื้อโช้คทั้งที ส่วนใหญ่หวยก็น่าจะออกที่ Coilover นะครับ เช่น Ohlins DFV , KW V3,Tein Monosport หรือ แม้แต่ Bilstein B16 เองก็ตาม แล้วทำไมผมมาเอาโช้คระดับกลางแบบนี้ล่ะ... เหตุผลแจกเป็นข้อๆคงประมาณนี้ครับ
1. รถผมนิสัยโช้คเดิมๆเป็นอะไรที่แข็ง และเด้งมากๆ คือความแข็งนี้ผมรับได้ครับ ไม่งั้นคงไม่ซื้อคันนี้ แต่ที่รับไม่ได้คือ "เด้ง" คือเหมือนโช้คมันจับสปริงไม่อยู่ ขา Rebound มันเลยพุ่งพรวดขึ้นมา ทำให้ขับแล้วไม่สบายในบางจังหวะครับโดยเฉพาะข้างหลังนี่อาการหนักสุด คนนั่งหลังพูดเป็นเสียงเดียวกันครับ และภรรยาก็เริ่มบ่นว่ามันไม่สบาย 555+
2. จากข้อแรก ผมเลยไปเจ็บกับ Ohlins DFV ตัวใหม่ล่าสุด ซึ่งแรกๆก็ดีครับ ขับสบาย และคมกว่าเดิมมากๆ แต่ปัญหาคือ "อายุสั้น"ครับ ด้วยถนนเมืองไทยเป็นแบบที่ทุกท่านทราบกันดี ตัว Pillowball mount ด้านบนโช้ค มันลาโลกตั้งแต่ยังไม่ถึง 10,000 กิโลฯครับ ผมเลยต้องเสี่ยงทางไปกับโช้คตัวอื่นต่อ ซึ่ง Ohlins ไม่ขอพูดถึงในที่นี้ครับ
3. ผมต้องการความสูงรถเท่าเดิม ไม่ต้องการโหลดใดๆทั้งสิ้น
4. ผมต้องการโช้คที่อายุเป็นโช้คปกติซักหน่อย คือไม่สั้นเป็นข้อ 2 เป็นอันโอเคมากๆละครับ
5. ผมเป็นคนขับรถไม่ได้เร็วอะไรมาก ที่ซื้อคันนี้เพราะสนุกกับอัตราเร่งมันที่สุดแล้ว ดังนั้น โช้คอัพที่บอกว่าเคยใช้ Ohlins มันเลยดูเกินความจำเป็นสำหรับผมไปอยู่โขเลย และจากข้อ 1-4 เลยต้องการ Back to the basic ลองดูเลยมาจบที่ B6 ครับ
ฟีลลิ่งเป็นยังไงบ้าง???ไม่พูดถึงก่อนช่วงที่รันอินนะครับ คือ ผมไม่แน่ใจว่าต้องรันอินเท่าไหร่ แต่ตอนนี้วิ่งไปประมาณ 7-8 ร้อยกิโลแล้ว สภาพโช้คน่าจะพร้อมรบประมาณนึงแล้วแหละ จะขออนุญาติแจกแจงเป็นช่วงความเร็วนะครับ ผมคิดว่าน่าจะเป็นอะไรที่เข้าใจง่ายและนึกภาพออกมากที่สุด
![](https://c1.staticflickr.com/5/4270/34372181774_1d0f512373_b.jpg)
![](https://c1.staticflickr.com/5/4197/34372181924_620da596e5_b.jpg)
0-40 กม./ชม. ผมว่าใกล้เคียงโช้คเดิมนะครับ มีบางจังหวะที่แข็งกว่าบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นพวกถนนที่มีรอยต่อคมๆ เช่น ฝาท่อระบายน้ำที่ไม่เสมอกับพื้น รอยต่อคอนกรีตที่บวมๆจากระดับพื้นมาหน่อย แต่โดยรวมถือว่าทำได้ดีครับ จากรีวิวที่อ่านส่วนใหญ่คือจะบอกว่า แข็งไส้แตกมากๆ 555+ เอาเข้าจริงผมกลับไม่เห็นด้วยนะ ดีกว่าที่ผมคิดไว้เยอะพอสมควรเลย
40-70 กม./ชม. ถึงตรงนี้ผมว่า จุดต่างจากโช้คเดิมจะเริ่มเห็นผลครับ คือความแข็งมันเท่าเดิม แต่การคุมสปริงไม่ให้มันดีดกลับแรงๆตอนขา Rebound ผมว่าทำได้ดีกว่าโช้คเดิมมากๆ ขับได้ค่อนข้างสุนทรีย์ยิ่งขึ้น การมุดในช่วงความเร็วประมาณนี้ยังทำได้ดีเหมือนเดิมไม่ต่างจากโช้คเดิมครับ
70-110 กม./ชม. ความเร็วประมาณนี้คือออกถนนทางหลวงแล้วถูกไหมครับ พวกที่เป็นลอนถนนป้านๆ บัมพ์หรืออะไรพวกนี้ B6 เก็บเรียบครับ คือมันรู้สึกดีกว่าโช้คเดิมมากๆ ส่วนเรื่องการสาดโค้งในความเร็วแถวๆนี้ผมว่าก็ยังคงดีกว่าโช้คเดิมนะ แต่อาจจะไม่ได้ชัดเจนขนาด คือมันยังมีจังหวะโยนแต่น้อยมากๆแล้วครับ มั่นใจกว่าเดิมอยู่บ้างแหละ ถ้าเทียบกับ Ohlins ที่เคยใช้ ผมว่ายังห่างกัน แต่ด้วยค่าตัวที่ถูกกว่ากันเอาราคา Ohlins หาร 3 เนี่ย ผมว่ารับได้มากๆแล้ว ไม่นึกด้วยซ้ำว่าโช้คราคาประมาณนี้จะทำได้เท่านี้
110 กม./ชม.+ โช้คตัวนี้ผมยังไม่ได้ซัดอะไรเยอะครับ มากสุดก็ประมาณ 140 ยังถือว่านิ่ง และแน่นกว่าโช้คเดิมอยู่ ขับได้สบายกว่าเดิม เหมาะสำหรับเดินทางไกลดังที่ผมตั้งใจเอาไว้อยู่ครับ เวลามุดเปลี่ยนเลนบนนทางหลวงที่ความเร็วสูงๆก็ไม่มีย้วย คุมรถได้คมกว่าเดิมพอสมควรเลยครับ
สรุปฟีลลิ่งโดยรวมมันลักษณะเหมือนรถยุโรปที่เซทมาแข็งๆหน่อยครับ แต่กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นก็ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง 555+ ถ้าเอาตามประสบการณ์ที่เคยขับรถยุโรปมา คิดว่าแข็งประมาณ VW Golf GTi กับ A250 AMG ครับ อยู่ระหว่างนี้
ข้อควรระวังในการอ่านรีวิวนี้...คือพอดีรถผมมีการเปลี่ยนของช่วงล่างเยอะพอสมควรในเวลาใกล้ๆกันเลยครับ คือ
1. แม็ก - ซึ่งของเดิมหนักวงละ 10.9 กิโลกรัม เหลือวงละ 8.3 กิโลกรัม - ซึ่งแน่นอนครับ ด้วย Unsrung weight ที่ลดลงมหาศาลขนาดนั้น ส่งผลต่อทั้งการขับขี่ และความสะเทือนที่ส่งมาห้องโดยสารพอสมควรครับ
2. ยาง - ของเดิม Dunlop SP Sport MAXX RT ระยะ 45000 โลซึ่งแก้มยางแข็งและดอกเริ่มหายไปบางส่วนแล้ว เปลี่ยนเป็น Michelin Pilot Sport 4 ขนาดยางเท่าเดิม
3. B6
ซึ่งทั้งสามอย่างนี้ มันเปลี่ยนพร้อมกัน ทำให้ยากต่อการจับว่าตกลงจริงๆแล้วมันเป็นผลงานของใคร แต่ผมก็ยังเชื่อว่าเป็นผลงานของโช้คอัพอยู่ไม่น้อยกว่าครึ่งนึงแน่นอนครับ
Conclusionอ่ะ สรุปครับ...
โช้คตัวนี้จริงๆเหมาะสำหรับคนที่คิดว่า โช้คอัพรถเดิมมันเอาตัวคนขับไม่อยู่แล้ว อยากได้อะไรที่หนึบกว่าโช้คเดิมในราคาที่ไม่แพงมาก (ค่าเสียหาย 38,800 บาท สำหรับรุ่นผมนะ) ไม่อยากได้สตรัทปรับเกลียว ไม่อยากจุกจิกระวังว่าหัวบอลจะเสียจะพังจะเสียงดังอะไรไหม อยากได้โช้คที่ใช้งานนานๆหน่อย เสียก็เปลี่ยนต้นไปเลย ไม่ต้องเสียดายส่งร้านไปซ่อมไป overhaul ใหม่ โดยที่ไม่ได้แคร์ว่ารถตนเอง จะแข็งขึ้นมาอีกประมาณนึง รับได้กับแรงสะเทือนที่อาจจะสัมผัสขึ้นมาได้มากกว่าประมาณนึง
ถ้าตอบใช่หมดทุกข้อตามที่ผมเขียนเอาไว้ Bilstein B6 ก็เป็น 1 ในตัวเลือกที่ดีครับผม
สวัสดีครับ
ปล. มีข้อสงสัยอะไรถามไว้ด้านล่างครับผม ถ้าตอบได้จะพยายามมาตอบให้ครับผม