« ตอบกลับ #36 เมื่อ: มิถุนายน 04, 2019, 15:44:59 »
ตอบข้อ 1 ครับ
เครื่องสันดาปภายใน efficiency สูงสุด 20% (คือใส่น้ำมันที่มีพลังงานศักย์เคมี 100 หน่วย แปลงเป็นพลังงานจลที่หมุนเพลาได้ 20) ซึ่งการใช้งานรถส่วน ใหญ่ ไม่ได้อยู่ที่ทำ efficiency สูงสุด ใช้งานจริงเลขต่ำกว่านี้
ีรถไฟฟ้า efficiency โรงไฟฟ้าถ่านหินประมาณ 40% สายส่ง 88% แบตเตอรี่และมอเตอร์รถ 80% รวมทั้งระบบ 28%
... ถือว่าดีกว่ากันอย่างน้อย (เพราะเครื่องสันดาปภายในใช้จริงบนถนนได้ไม่ถึง 20% แต่โรงไฟฟ้า operate ที่แถวๆ 40% ตลอด) 1.4 เท่าอยู่นะครับ เทียบได้กับเปลี่ยนจากรถ 15 ก.ม./ลิตร มาเป็นรถ 21 ก.ม./ลิตร
ใช้ input น้อยกว่า (โดยทั่วไป) ของเสียก็น้อยกว่าครับ
นี่ยังไม่คิดว่าโรงไฟฟ้ากำจัดมลพิษได้ดีกว่าเครื่องรถยนต์นะครับ
ผมเห็นด้วยกับคุณ Turin นะ ถ้าตัวเลขประสิทธิภาพ การใช้ประมาณ ระบบโดยรวม ของการใช้งานรถ EV เทียบกับ รถ ICE เพียวๆมีตัวเลขเช่นนั้น ซึ่งส่วนตัวก็คิดว่ามันน่าจะมีค่าในทิศทางประมาณนั้น
แต่ อยากทราบว่า ถ้า เป็นรถแบบ REEV ค่าประสิทธิภาพ การใช้พลังงาน น่าจะเป็นอย่างไร น่าจะอยู่ระหว่าง BEV และ ICE เพียวๆ ใช่หรือไม่ครับ และค่าประสิทธิภาพสูงสุดของ REEV นี่จะมีค่าประมาณไหนมีใครมีตัวเลขไหมครับ
ส่วนตัว ผมว่าประเทศเราเป็นประเทศเกษตรกรรม ถ้าสนับสนุน รถ REEV และมีรถ REEV นะโดยให้ใช้เชื้อเพลิงพวก E85 หรือ B50, B100 ได้นะครับ แต่รถต้องใช้เครื่องยนต์ประสิทธิภาพดีๆ ติดระบบกรองไอเสียดีๆ แม้จะมีไอเสียปล่อยในเมืองบ้างแต่ไม่น่าเยอะเท่า ICE เพียวๆใช่ไหมครับ ผมว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับประเทศอย่างเราดังนี้นะครับ
1. สามารถจะช่วยเหลือเกษตรกร ที่ปลูกพืชที่สามารถแปลงมาใช้เป็นพลังงานได้ เช่น อ้อย ปาล์ม มันสำปะหลัง กรณีที่ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ
2. แถมเราจะลดการพึ่งพิงจากต่างประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อไฟจากต่างประเทศ หรือลดการซื้อเชื้อเพลิงฟอสซิล
3. รัฐลดการสร้างโรงไฟฟ้ากำลังเพื่อจะมาสนับสนุนการใช้งานรถไฟฟ้า