โหห ... แทบใช้จริงไม่ได้เลยหรอ .....
ผมดูรีวิว App ของผู้ให้บริการชาจน์ไฟใน youtube ที่เค้ารีวิวกันก็ดูไม่ยากนะ ...
เค้าก็ลงทะเบียน ใส่ข้อมุลลงไป ถามว่าทำไมใส่เยอะ ก็ถ้าไม่ใส่เยอะเค้าจะรู้ได้ไงว่าต้องเก็บเงินกับใคร ... และการชำระเงินคือ ชาจน์ก่อน จ่ายทีหลัง ไม่ใช่หยอดเหรียญเครื่องซักผ้า ที่จะหยอดก่อนแล้วค่อยใช้งาน..
ส่วนถ้าลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ เสียบปลั๊ค แล้วสแกน QR จบและ ...
นี่ขนาดผมแอนตี้รถไฟฟ้า ผมยังคิดว่ามันง่ายมากๆเลยนะ ...
ผมว่าการที่มี App มันสะดวกมาก ตัดเงินผ่านบัตรเครดิตจบเลย
ปล. ผมใช้ EA Anywhere เป็นหลัก
ผมหวงข้อมูลส่วนตัว และรำคาญการที่บริษัทSpamโฆษณามาทางE-mailและSMSครับ
เอาเรื่องข้อมูลส่วนตัวก่อน ผมไม่เห็นว่าการจะชาร์จไฟรถ มันจำเป็นจะต้องใช้ข้อมูลส่วนตัวพวกนี้อะไรในการให้บริการครับ ผมเติมน้ำมันรถ ยังไม่บังคับแสดงบัตรประชาชน กรอกE-mail เบอร์โทร ก่อนให้เติมเลยครับ เอาของมา เอาเงินไป กลัวไม่จ่ายก็ให้วางประกันไว้ก่อนได้ครับ
เรื่องความเสี่ยงที่บริษัทจะSpamโฆษณามา อันนี้คือผมโทรไปคุยกับทางAppยี่ห้อหนึ่งเพิ่มเติม ตามเบอร์ที่ให้ไว้ในApp(ขอไม่ระบุยี่ห้อแล้วกันนะครับ) เค้าแจ้งว่าเป็นPackageการให้บริการเลยครับ ถ้าใช้บริการชาร์จของเค้า จะถือว่าสมัครรับข่าวสาร โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ไม่มีข้อยกเว้น และไม่สามารถยกเลิกได้ เลยตัดปัญหาไม่ใช้ครับ ใช้น้ำมันกับไฟบ้านตามปกติ(รถPHEV) แล้วก็หวังว่าอนาคตวันที่เป็นรถEVล้วน หนีไปใช้น้ำมันไม่ได้ มันจะสะดวกมากขึ้นครับ
คนอย่างผมนี่ลำบากเลย ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีอะไร เรื่องเนต มือถือก็แทบไม่ได้เล่น วุ่นวายแบบนี้จะใช้กันยังไง ขับมังกรทองต่อ
ก็มีคนชอบตามเทคโนโลยีแหละครับ แต่เอาจริงๆ ถ้ารถไฟฟ้า วิ่งไม่ไกลมาก ชาร์จไฟบ้านอย่างเดียวแล้วไม่ต้องยุ่งกับใคร มันพอนะครับ รถผมPHEV วิ่งไฟฟ้าล้วนตามที่ผู้ผลิตเคลมได้30กม. (แต่เวลาในรถขึ้นประมาณ50กม.) วิ่งไฟฟ้าล้วนไป-กลับ วันละ30กว่ากม.ได้ไม่ยากครับ ถ้าเป็นรถEVล้วนที่วิ่งกันได้100กม.+ ใช้ในชีวิตประจำวันสบายครับ แต่เวลาไปตจว.ก็เหนื่อยหน่อย