ผู้เขียน หัวข้อ: รถไฟฟ้าสามารถผลิตให้มีคุณสมบัติวิ่งได้ไกลๆแทนอัตราเร่งแรงๆได้ไหมครับ  (อ่าน 2664 ครั้ง)

ออฟไลน์ a601970

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 745
  • ประชาธิปไตย หัวใจคือประชาชน
ตัวอย่างเช่นรถไฟฟ้ายี่ห้อหนึ่งแทนที่จะเน้นอัตราเร่ง 0-100 ต่ำกว่า 5 วิ วิ่งได้ 600 กม.
แต่เอาพลังนั้นไปเพิ่มระยะทางแทน อย่างเช่น 0-100 ใช้เวลา 10-12 วิ (เหมือนรถบ้านๆทั่วไป) แต่วิ่งได้ 800 กม. เป็นต้น

ไม่ทราบว่าในความเป็นจริงทำได้มั๊ยครับ
เพราะในชีวิตจริง 0-100 เวลา 10-12 วิ ก็เพียงพอแล้ว เอาพลังนั้นเก็บไว้เป็นระยะทางที่เพิ่มขึ้นดีกว่า
ถ้า 0-100 เวลา 12วิ แต่วิ่งกรุงเทพ-เชียงใหม่ได้ในชาร์จเดียวก็จะดีมาก

รบกวนขอความเห็นเพื่อนสมาชิกด้วยครับ
ขอบคุณครับ :D

ออฟไลน์ MMWC

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 106
ความคิดผมนะ ไม่ได้จบวิศวะมานะครับ เดาๆเอา
ระยะทางคือความจุแบตเตอรี่
อัตราเร่งคือมอเตอร์ครับ
มอเตอร์แรงมาวิ่งช้าก็ทำงานน้อยกินแบตน้อยวิ่งได้ไกล(มี1000 ใช้200ก็แรง)
มอเตอร์ไม่แรงมาวิ่งก็กินพลังงานมากกว่ามอเตอร์แรงๆ(มี100 ใช้100ก็ยังไม่ได้200)


ออฟไลน์ polwath

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 704
ผมว่ามันควรจะทำได้เหมือนโหมดการขับขี่ในรถสันดาบนั่นหละครับ เน้นแรงก็กินน้ำมันสุด เน้นประหยัดก็ปรับให้กินน้อยลงพร้อมกับปิดการทำงานบางอุปกรณ์และฟังก์ชันลง และแบบทั่วไปที่ปรับให้สมดุลทั้งความเร็วและการกินน้ำมัน

รถไฟฟ้าก็น่าจะมีแบบนี้มาด้วยเหมือนกัน ต่างแค่ปรับการใช้พลังงานแบตเตอรี่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแทน พร้อมกับปิดหรือลดการใช้ไฟอุปกรณ์ตามโหมดการขับ เน้นประหยัดก็เหลือแบตเยอะ ขับได้ไกลขึ้น เน้นแรงก็กินแบตเร็ว ขับไกลได้น้อยลง แค่นั้นเลย

ออฟไลน์ The Mechanics of Emotions

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,564
คิดว่าทำได้เหมือนความเห็นข้างบนนะครับ มอเตอร์แรงก็กินไฟเยอะ ลองคิดดูถ้าเอาแบตรถไฟฟ้าที่วิ่งได้ไกล เช่น Tesla long range มาใส่มอเตอร์แบบรถไฟฟ้าธรรมดาที่ไม่ได้กินไฟมากนัก น่าจะวิ่งได้ไกลกว่าเดิมเยอะเลยนะครับ หรือจะใช้มอเตอร์เดิมแล้วจำกัดประสิทธิภาพเอา

ผมว่า key หลักคือใช้พลังงานยังไงให้น้อยที่สุดในความจุเท่าเดิม ก็น่าจะเป็นที่ตัวมอเตอร์แล้วล่ะครับ
2010 BMW 325i M Sport
2016 Mazda CX-5 2.0S

ออฟไลน์ Gordon Freeman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,066
ผมว่า Neta V เป็นแบบนั้นนะครับ
2011 Kawasaki Ninja 650 (Sold)
2012 Ford Fiesta 1.6 Sport Ultimate (Sold)
2013 Suzuki Swift Eco GLX 1.25 (Sold)
2015 Honda Civic 1.8 (Sold)
2017 Toyota Fortuner 2.4 (Sold)
2019 Honda Jazz S MT (Sold)
2020 Nissan Almera VL 1.0T
2022 Isuzu D-Max Cab 4 1.9 AT
2023 Neta V

ออฟไลน์ CJ.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,562
ผมมองว่าเรื่อง range คงต้องไปพัฒนากันในเรื่อง battery, energy management ในตัวรถล่ะครับ
เพราะเรื่องอัตราเร่ง มันเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งต่อให้เร่งแรงๆ จะเปลืองไฟ แต่รถมันก็ recharge ได้อยู่แล้ว
2005 Jaguar XJ Super V8
2005 Mercedes-Benz C230 Kom. Sports Coupe
2011 Aston Martin DBS
2013 Jaguar XJL 5.0 V8 Portfolio
2015 Honda City SV
2017 Lexus RX200t Premium
2019 Bentley Continental GT W12
2021 Lexus IS300h Luxury
2021 Porsche 911 Carrera S
2024 Honda CR-V e:HEV RS

ออฟไลน์ Weetting

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,898
  • ช่วงล่าง+เครื่องยนต์
จริงๆมันก็หลักการเดียวกับ rc นะครับ

แรงขึ้นอยู่กับมอเตอร์  วิ่งไกล ขึ้นอยู่กับแบต

มอเตอร์แรงจะกำลังเท่าใด  ถ้าวิ่งด้วยความเร็วเท่ากัน 
กินแบตไม่ต่างกันครับ 

แบตลิโพผมมี 4 ก้อนความจุต่างกัน  ถ้าวิ่งกับมอเตอร์เดียวกันความเร็วที่ได้ไม่แตกต่างกัน
ถ้าคนละมอเตอร์แบตความจุเท่ากัน วิ่งในสนามก็ได้รอบพอๆกัน  เพราะกินไฟแทบไม่ต่างกัน
THE Manual Gearbox Preservation Society
Drive diesel until last day

ออฟไลน์ DiKiBoyZ

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,280
    • อีเมล์
ผมว่า แบตเตอรี่จ่ายไฟฟ้า ให้ มอเตอร์ ทำงาน ยังไงซะ มันก็ใช้ไฟฟ้าไม่มากก็น้อย

ทำต้องอย่างไรให้มันใช้ไฟฟ้า ต่อระยะทางที่วิ่งได้มากที่สุด

สังเกตุได้ว่า รถ BEV บางคัน มอเตอร์หรือแรงม้า ก็ไม่ได้เยอะ แต่วิ่งได้ระยะเท่ากับรถที่แรงม้าเยอะกว่าเท่าตัวเลย

และสังเกตุว่า รถ BEV คันเดียวกัน มอเตอร์เดี่ยว กับ มอเตอร์คู่ ระยะทางวิ่งต่างกันแค่ 10-15% ทั้งที่ความเป็นจริง มันควรจะระยวิ่งลดลง 50% ด้วยซ้ำ เพราะมอเตอร์เพิ่มเป็น 2 ตัว มันต้องกินไฟ 2 เท่า ด้วยซ้ำ

PKS8

  • บุคคลทั่วไป
ส่วนตัวผมว่าไม่เกี่ยว ผมมองว่าบริษัทรถควรทำ แบตมาเต็มที่ที่รถบรรทุกได้ และใส่มอเตอร์มาให้แรงที่สุดที่ใส่ได้ แล้วไปเพิ่มโหมดการขับขี่ Super ECO / ECO / Normal / Sport แล้วแต่ใครจะขับแบบไหนแทน

เพราะผมยังมองว่าตามหลัก กดเยอะกินไฟ วิ่งเร็วกินไฟ ถ้างั้นก็ไปตั้งให้ผู้ขับหรี่ไฟ หรือปรับความไวคันเร่งเองดีกว่า

ออฟไลน์ sukhontha

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,492
ทำได้ครับ  แต่จุดขายทำให้ไม่ทำกัน

มอเตอร์ แต่ละตัวกินไฟไม่เท่ากัน  ถ้าทำให้ต้องเค้นพลังมาก  ก็กินไฟเยอะกว่า

แต่ต้องคิดน้ำหนักแบตฯที่ต้องบรรทุกเพิ่มด้วย 


ออฟไลน์ RERFz

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 551
    • อีเมล์
คิดว่าทำได้แน่นอนครับ ลิมิตกระแสที่จ่าย มอเตอร์ทำงานเบาลง กินพลังงานน้อยลง

แต่อาจประหยัดไม่ได้มากเท่าไร เพราะอัตราเร่งมันใช้เวลาแค่ 10 วิ โดยรวมๆ อาจเพิ่มระยะได้สัก 10-20 โล (คาดเดานะ)

ออฟไลน์ kiwiwi

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,606
มอเตอร์มันมีอยู่จุดๆหนึงที่ไม่สามารถทำได้คือ

วิ่งเลียๆอยู่ 2 พันรอบแล้วจะประหยัดไฟเมื่อเจอแรงฉุด

ทดสอบง่ายๆครับ ลองเอามือไปขวางใบพัดลมก่อนเปิดเบอร์ 1 หลังจากเปิดแล้ว จะได้ยินเสียงกระแสไฟเข้าพัดลมดังครืดๆ คือแอมป์ไหลเข้ามอเตอร์เต็มแล้ว

ส่วนตัว การใช้เกียร์ หรือใช้มอเตอร์ 2 ขนาด ในรถ 1 คัน น่าจะช่วยให้รถวิ่งได้ไกลขึ้นครับ แต่เรื่องแรงระดับ 5 วิ มันติดตัวมากับมอเตอร์อยู่แล้ว

ของมันได้อะ

ออฟไลน์ MyName

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,976
  • I'm............................
ผมไม่ได้มีความรู้ด้านมอเตอร์เท่าไหร่นัก

แต่เท่าที่เคยฟังเพื่อนที่เค้ารู้มา
เค้าบอกว่า อัตราเร่งไม่ได้กินกระแสไฟต่างกันมากขนาดจะช่วยได้ระยะทางเพิ่มขนาดนั้นครับ

เค้าบอกว่า แบตเตอรี่เห็นผลเรื่องระยะทางชัดเจนสุดครับ
2022 - Nissan Almera 1.0 Turbo VL
2016 - Mazda 2 1.5XD High Plus L
2008 - Mitsubishi Space Wagon 2.4 GLS Ltd. !User'Review Click here!
1997 - Daihatsu Mira Mint 850cc AT

ออฟไลน์ bravo

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,469
    • อีเมล์
ผมก็ไม่มีความรู้เรื่องมอเตอร์ เรื่องไฟฟ้า นะครับ

แต่ผมคิดว่า ข้อเสียของรถไฟฟ้าในปัจจุบันคือ ระยะทางวิ่ง/ชาร์จ
ดังนั้น ถ้าลดอัตราเร่งให้ต่ำลง แล้วมันมีผลให้ระยะทางวิ่งเพิ่มขึ้นได้ชัดเจน เขาทำไปแล้วล่ะครับ

ออฟไลน์ Guille

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 76
ระยะทางขึ้นกับความจุแบตเตอรี่กับเท้าเราเป็นหลักครับ มอเตอร์พันม้ากับสองร้อยม้า วิ่งความเร็วเท่ากันมันก็น่าจะกินเท่าๆกัน ถ้ากดหนักๆระยะทางที่วิ่งได้ก็ลดลงเร็วกว่าขับปกติ

ออฟไลน์ InBkk

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,118
ตามความเข้าใจของผมคือ รถรุ่นเดียวกัน เทคโนโลยีใกล้เคียงกัน แต่ถูกปรับลดแรง จาก 0-100 5 วิ เหลือ 0-100 11 วิ อาจจะได้ระยะวิ่งสูงสุดเพิ่มขึ้นมาไม่เกิน 50 กม. ทั้งนี้ รถไฟฟ้าที่เครื่องแรง หากคนขับซี้ซั้วหวด 160+ ตลอดทาง ระยะวิ่งก็อาจจะหดจนเหลือไม่ถึง 50% ของที่เคลมไว้ก็เป็นได้

แต่ผมก็เข้าใจผู้ผลิตรถไฟฟ้านะ คือการจะโน้มน้าวให้คนมาใช้ มันก็ต้องโชว์ให้เห็นว่า รถไฟฟ้า มัน เหนือกว่า เจ๋งกว่า รถน้ำมัน และวิธีโชว์เหนือที่ดีที่สุด ก็คือการโชว์เรื่องสมรรถนะ

ออฟไลน์ deertesla

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,621
ตามความเข้าใจของผมคือ รถรุ่นเดียวกัน เทคโนโลยีใกล้เคียงกัน แต่ถูกปรับลดแรง จาก 0-100 5 วิ เหลือ 0-100 11 วิ อาจจะได้ระยะวิ่งสูงสุดเพิ่มขึ้นมาไม่เกิน 50 กม. ทั้งนี้ รถไฟฟ้าที่เครื่องแรง หากคนขับซี้ซั้วหวด 160+ ตลอดทาง ระยะวิ่งก็อาจจะหดจนเหลือไม่ถึง 50% ของที่เคลมไว้ก็เป็นได้

แต่ผมก็เข้าใจผู้ผลิตรถไฟฟ้านะ คือการจะโน้มน้าวให้คนมาใช้ มันก็ต้องโชว์ให้เห็นว่า รถไฟฟ้า มัน เหนือกว่า เจ๋งกว่า รถน้ำมัน และวิธีโชว์เหนือที่ดีที่สุด ก็คือการโชว์เรื่องสมรรถนะ
ถ้าโชว์เรื่องนั้นแต่ใช้วิ่งทางไกล  กทม ไปเชียงใหม่รวดเดียวโดยไม่ต้องชาร์จไม่ได้ มันไม่มีประโยชน์สำหรับคนทั่วไปที่ต้องใช้งานแบบนั้นครับ  จะตองมาเสียเวลาชาร์จหรือหาที่ชาร์จอีกไม่ดีแน่ครับ