เอาอย่างนี้ครับ ผมยกตัวอย่างแบบสมมติตัวเลขละกัน
ผลทดสอบแบบ HLM
รถ A : 18.5 km/l (HEV ยี่ห้อใดก็ได้)
รถ B : 17.5 km/l (ICE ยี่ห้อใดก็ได้)
เทียบแบบนี้ มันพอ ๆ กัน จะใช้ HEV ไปทำไมใช่มั้ยล่ะครับ
แต่สิ่งที่ผมเสนอคือ
รถ A : 18.5 km/l จากวิธีมาตรฐาน HLM แต่เพิ่มเติม ยืมมาทดสอบและวิ่งใช้งานรวม 700 km เติมน้ำมันกลับ 31L = 22.58 km/l
รถ B : 17.5 km/l จากวิธีมาตรฐาน HLM แต่เพิ่มเติม ยืมมาทดสอบและวิ่งใช้งานรวม 500 km เติมน้ำมันกลับ 36L = 13.88 km/l
* Remark *
อัตราสิ้นเปลืองอ้างอิงจากการเติมน้ำมันกลับตอนคืนรถ ไม่สามารถเทียบระหว่างรถ A กับรถ B ได้โดยตรง
เนื่องจากสภาวะการจราจรและลักษณะการใช้งานที่ต่างกรรมต่างวาระ
แต่ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองทั้ง 2 แบบ สามารถเทียบให้เห็นว่า
กรณีรถ A การใช้งานในสภาวะชีวิตประจำวันมีแนวโน้มที่จะประหยัดมากกว่าการวิ่งด้วยความเร็วคงที่ 110 km/hr.
รถณีรถ B การใช้งานในสภาวะชีวิตประจำวันมีแนวโน้มที่จะประหยัดน้อยกว่าการวิ่งด้วยความเร็วคงที่ 110 km/hr.
ที่ผมคิดถึงเรื่องนี้ เพราะก่อนที่ผมจะใช้รถ HEV ก็เทียบตรง ๆ ตามตารางผลทดสอบนี่แหละ
และพบว่า HEV ไม่เห็นจะช่วยประหยัดได้เท่าไหร่เลย แต่ก็แปลกใจกับต่างประเทศที่นิยมใช้รถ HEV กัน
และต่างพูดว่ามันประหยัดกว่ากันมาก
และเมื่อได้ลองใช้จริงจึงพบว่า อัตราสิ้นเปลืองมันต่างไปจากที่เคยดูจากตารางเพียงอย่างเดียวโดยที่รับรู้มาโดยตลอดว่า
ผลการทดสอบแบบวิ่งนิ่ง ๆ 110 จะให้อัตราสิ้นเปลืองที่ดีที่สุด และเมื่อใช้จริงจะไม่สามารถประหยัดได้เท่านั้น
ทำใจไว้ว่ามันจะกินมากกว่าการทดสอบแบบ HLM แน่นอน ซึ่งผมก็เลยถูก mislead จากการเชื่อ ศรัทธา ผลทดสอบ
แบบนี้มาก่อนไงครับ
และแน่นอนว่า เมื่อมาถึงปัจจุบัน เริ่มพบว่า การเทียบอะไรตรง ๆ แบบที่เคยทำกันมา วิธีการมันเริ่มจะไม่พอสำหรับ
กลุ่มรถ HEV และ BEV จึงเริ่มคิด วิเคราะห์ว่า เพราะอะไรมันจึงเป็นเช่นนั้น ต่างจากสิ่งที่เราเคยเชื่อกันมาโดยตลอด
ซึ่งผมคิดว่า สิ่งที่ต่างกันก็คือทั้ง HEV และ BEV ต่างก็มีระบบ regenerative ที่ดึงเอาพลังงานที่เสียไปกลับคืนมา
โดยที่ ICE มันไม่มีระบบนี้ ดังนั้น การ Test ICE ที่จะได้ค่าอัตราสิ้นเปลืองที่ดีที่สุดคือ วิ่งยังไงให้มีการสูญเสีย
ระยะทางวิ่งไปกับการชะลอ การเบรค ให้น้อยที่สุด นั่นคือการวิ่งด้วยความเร็วนิ่ง ๆ เป็นระยะทางยาว ๆ ที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ววิธีการทดสอบใดจะดีที่สุด บอกตรง ๆ ว่า ผมก็ยังไม่ทราบ และผมเองก็ไม่ได้ว่าการทดสอบแบบ
ที่ HLM ทำอยู่นั้นมันไม่ดี เพียงแต่ผมขอแค่เพิ่มเติมข้อมูลอีกหน่อย ตรงที่เอาค่าการใช้งานทั้งหมดที่เกิดจากการยืมรถ
ในครั้งนั้นมาแปะไว้ด้วย เท่านั้นเอง ซึ่งทางทีมงานก็ไม่ต้องจัดการทดสอบเพิ่ม เพียงแค่ set trip meter และ จดค่า
จำนวนลิตรของน้ำมันที่เติมก่อนคืนรถเท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรงไม่ใช่หรือสำหรับทีมงาน
และสำหรับคนอ่านอย่างเราล่ะ ถ้ามีข้อมูลเสริมประกอบการพิจารณาเพิ่มขึ้น มันก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรึอครับ
ุ้
ผมมองว่าถ้าทีมงานจะกรุณาเพิ่มข้อมูลตรงนี้ให้จริง และท่านผู้อ่านที่ไม่ชอบใจข้อมูลตรงนี้ก็เลือกที่จะมองข้าม
แล้วไปยึดถึงข้อมูลเฉพาะในส่วนที่ทดสอบแบบวิ่งนิ่ง ๆ 110 ก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นจะเสียหายอะไร
อ้อ! ยังมีประเด็น PHEV อีกนะครับ ที่การใช้งานจริง เจ้าของรถจะต้องจ่ายทั้งค่าไฟและค่าน้ำมัน
แต่ในตารางการทดสอบคิดระยะทางทั้งหมดหารด้วยน้ำมัน แต่ไม่ได้เอาไฟฟ้ามาคิดด้วย นี่ก็เป็นอีกประเด็น
ที่น่าจะขบคิดกันต่อครับ
ตรงนี้ผมว่าคุณเข้าใจผิดเองนะครับ
คือวิ่ง 110 มันไม่ใช่ความเร็วที่รถจะประหยัดที่สุด แต่มันคือความเร็วที่คนทั่วๆไปขับเวลาเดินทางไกล
แล้วเว็ปนี้ก็ไม่ได้ทดสอบว่ารถแต่ละรุ่นมันจะประหยัดสุดได้กี่ km/l แต่เขาทดสอบว่า ณ ความเร็ว 110 km/h ซึ่งเป็นความเร็วใช้เดินทาง รถมีอัตราสิ้นเปลืองเท่าไหร่
ถึงรถมันอาจจะทำอัตราสิ้นเปลืองได้ดีกว่านี้ที่ความเร็วอื่นๆ แต่มันก็ไม่ใช่ความเร็ว 110 ที่เป็นมาตรฐานทดสอบ
และถ้าจะให้จดเลข trip meter ตั้งแต่ยืมรถมา แล้วเติมน้ำมันกลับตอนคืนรถเพื่อหาอัตราสิ้นเปลือง
มันก็ไม่ได้สะท้อนถึงอัตราสิ้นเปลืองที่แท้จริงอยู่ดีครับ เพราะต้องทำพวกอัตราเร่ง ทำ top speed มีกดคันเร่งมิดบ่อยๆ
ถ้ารถคันไหนขับมันส์หน่อยก็อาจจะกดบ่อยๆเป็นว่าเล่นตลอดการทดสอบ ถ้าคันไหนช่วงล่างห่วยๆก็อาจจะไม่กล้าขับเร็ว แค่นี้ก็ error กระจายแล้วครับ
ไหนจะต้องจอดถ่ายรูป ถ่ายคลิปรีวิว แต่ละคันใช้เวลาถ่ายทำไม่เท่ากันอีก
ตอนคืนรถเผลอๆอาจได้เห็นอัตราสิ้นเปลือง 10 km/l ในรถน้ำมันเพียวๆ หรือ 9 km/l ในรถไฮบริด กลายเป็นว่า misleading หนักกว่าเดิมอีกครับ