คิดอย่างไรกับการนำยอดการผ่อนรถยนต์คันแรกมาหักเป็นค่าลดหย่อนในภาษีเงินได้ครับ

GreenG

อยากรู้ครับ ว่ามีข้อดี - เสีย อย่างไร ครับ

งดเรื่องการเมืองนะครับ ;) ในกระทู้นี้ เอาความคิดทางวิชาการ ทางภาษี และทางเศรษฐศาสตร์นะครับ

ผมว่าถ้าทำได้ก็ดีครับ :) ;) :D ชอบ แต่ต้องฐานเงินเดือนสูงๆก่อนค่อยซื้อรถคันแรกป้ายแดง จึงจะคุ้มครับ



wingzerocustom

จะเป็นการสงเสริมผิดด้านหรือป่าวอ่ะครับ เพราะรถยนต์ถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย

บ้านเราภาษีรถแพงขนาดนี้ รถยังเพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ เลยอ่ะครับ

ถ้าเปลี่ยนเป็นการสงเสริมการให้บริการของ ข.ส.ม.ก. ดีขึ้นเหมือนในที่กล่าวในกระทู้ก่อนหน้านี้

น่าจะเป็นการดีกว่านะครับ



นี่เธอรู้ป่าวว่า เชียงใหม่ มีทะเลนะ
คิดไม่ถึงล่ะสิ
.......
.......
แต่เรา คิดถึง นะ



i-din

ผมว่ามันขึ้นกับมุมมองนะ ภาษีสรรพสามิตคือภาษีทีเ่ก็บกับสินค้าฟุ่เฟือย ไมไ่ด้จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน นี่คือสิ่งที่รัฐบาลไทยมอง (รัฐบาล ตปท ไม่มีความรุ้นะครับ) คือไม่มีก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างโอเค แต่สำหรับคนทำงานทั่วไป มันเป็น "สิ่งจำเป็น" สำหรับ "ความสะดวกสบายที่ได้รับ" ถ้าเรามีกำลังพอ

ในมุมของคนทั่วไป คงเห็นด้วย แต่ผมอยากให้รถราคาถูก แต่ภาษีประจำปีแพง อย่างพวกติดแก๊ส LPG ภาษีประจำปีควรแพงกว่านี้หน่อย แต่ไม่ต้องถึง 30,000 อะไรหรอกนะ แค่สักไม่เกิน 2 เท่าของอัตราปัจจุบันแล้วกัน เพราะไปเบียดการใช้แีก๊สในภาคครัวเรือนมาน่ะ ยังไงก็ขึ้นราคาแก๊ส LPG ไมไ่ด้อยู่แล้วไง

สำหรับการลดหย่อยภาษีประจำปี ผมไม่คอ่ยเห็นด้วยแฮะ แต่ถ้าลดอัตราภาษีบุคคุลลงมาอันนี้เห็นด้วย บ้านเรานี่ สูงติดอันดับโลกแล้ว สุงกว่าอาเซียน กว่าฮ่องกงด้วยซ้ำไป แต่เพิ่มภาษีมุลค่าเพิ่มแทน อัตรานี้ทุกคนจ่ายเท่ากัน ไมว่ายากดีมีจน

รู้หรือเปล่าว่า ปีปีนึง มีคนยื่นแบบภาษี 10 ล้านคน ในจำนวนนี้ 8 ล้านคนยื่นแล้วได้คืน 2 ล้านคนที่เสียภาษีคือคนที่พยุงรายได้ของประเทศไทยเอาไว้ (เค้ามีภาษีตัวอื่นอีก) พูดง่ายๆ คน 2 ล้านคน เลี้ยงคืน 63 ล้านคนอยู่ ใน 2 ล้านคนนี้ มีอยู่ 20,000 คนที่เสียภาษีในอัตราสูงสุด คือ 35% (ถ้าตัวเลขผิด ขออภัยด้วย จำไม่ได้แระ) เพราะเค้ายึดหลัก หามาก แจ้งมาก จ่ายมาก คนส่วนใหญ่ก็เลยเป็ฯ หามาก แจ้งน้อย จ่ายน้อย



WTF

สูงสุด 37% ครับ ภาษีบุคคลธรรมดานะ

แล้วดูสิ่งที่ได้กลับมาจากรัฐบาลสิ  :'(



youngbear

 ;D ;D ;D..........ถ้าเป็นค่าใช้จ่ายยอดรวมค่าผ่อนซื้อรถยนต์คันแรก  แล้วให้นำมาหักลดหย่อนภาษีประจำปี  ความเห็นส่วนตัวผมคิดว่าถูกต้องดีแล้วครับ  เพราะเป็นการให้โอกาสกับคนเริ่มสร้างตัวในวัยทำงาน  และควรครอบคลุมไปถึงผู้ที่อยากมีรถรับจ้างสาธารณะในอาชีพอิสระอีกด้วย  โดยใช้เงื่อนไขเดียวกันว่าต้องเป็นการเริ่มต้นซื้อรถคันแรกเท่านั้น  หากจะคุมเข้มก็กำหนดอายุผู้ซื้อไว้ด้วย  ไม่ใช่ปล่อยให้พวกเถ้าแก่หรือปู่ย่ามาใช้สิทธ์กันพร่ำเพรื่อครับ 8)
                                                                                                   yogibear



911turbo

ส่วนตัวคิดว่าถ้าให้เฉพาะรถคันแรกถือว่า ok  ต้องกำหนดยอดด้วยนะว่าห้ามเกินกี่บาทอะไรแบบนั้น 
ไม่ใช่คันแรก(ของชื่อลูกที่ อายุ 18 )ก็ซื้อ SLK ไป อะไรแบบนั้น  อาจกำหนดว่ารถราคาไม่เกินล้าน หรือข้อกำหนดปลีกย่อยอื่นๆ

ส่วนเหตุผลนะหรือ  เพราะระบบขนส่งสาธารณะของเรายังไปไม่ถึงไหนอ่ะครับ 
บางคนค่อยข้างลำบากกับการเดินทาง+ค่าเดินทางอีก แพงพอๆกับค่าผ่อนรถเล็กๆบางคัน



TJA

สมมติว่าเกิดนำนโยบายนี้มาใช้จริง แล้ว..
คนไทยพร้อมใจกันออกกระบะดีเซลครอบจักรวาลกันหมดทุกบ้าน
อันนี้บรรลัยเลยนะครับ นอกจากจะเก็บภาษีได้น้อยกว่าที่ควรแล้ว
ยังจะต้องแบกรับภาระการนำเข้าเชื้อเพลิงดีเซลในระยะยาวอีก

ถ้าจะลดหย่อนภาษีแบบนี้
ผมว่ารัฐบาลเเปลี่ยนเป็นสนับสนุนรถEco Car ให้มากขึ้นกว่านี้ดีกว่าครับ
ซื้อได้ มีส่วนลดหย่อน รัฐหนุนเต็มที่ แต่ต้องเป็นการซื้อรถที่ซื้ออนาคตที่ยั่งยืนไปด้วย    ;)

.-_-.



Sykes

ส่วนตัวคิดว่าถ้าให้เฉพาะรถคันแรกถือว่า ok  ต้องกำหนดยอดด้วยนะว่าห้ามเกินกี่บาทอะไรแบบนั้น 
ไม่ใช่คันแรก(ของชื่อลูกที่ อายุ 18 )ก็ซื้อ SLK ไป อะไรแบบนั้น  อาจกำหนดว่ารถราคาไม่เกินล้าน หรือข้อกำหนดปลีกย่อยอื่นๆ

ส่วนเหตุผลนะหรือ  เพราะระบบขนส่งสาธารณะของเรายังไปไม่ถึงไหนอ่ะครับ 
บางคนค่อยข้างลำบากกับการเดินทาง+ค่าเดินทางอีก แพงพอๆกับค่าผ่อนรถเล็กๆบางคัน

เห็นด้วยครับ เป็นการช่วยให้กลุ่มวัยเริ่มทำงาน หรือ First Jobber ได้ลืมตาอ้าปากบ้าง
แต่อย่างไรก็ตาม ก็น่าจะมีข้อกำหนดต่างๆ เช่น
 - อายุของคนที่จะใช้สิทธิ์ได้ไม่เกินกี่ปี?
 - รถที่ซื้อได้ราคาไม่เกินเท่าไหร่?
 - ฐานเงินเดือนควรจะมากกว่าเท่าไหร่? (โดยมีสลิปเงินเดือนชัดเจน)
 - ทำงานปัจจุบันมาไม่ต่ำกว่ากี่ปี?
    ฯลฯ
เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายของคนที่รัฐต้องการช่วยเหลืออย่างชัดเจน และป้องกันการแอบอ้างในการใช้สิทธิ์ ประมาณนี้ครับ
"The things you own, end up owning you" - Tyler Durden



AIMU

รู้หรือเปล่าว่า ปีปีนึง มีคนยื่นแบบภาษี 10 ล้านคน ในจำนวนนี้ 8 ล้านคนยื่นแล้วได้คืน 2 ล้านคนที่เสียภาษีคือคนที่พยุงรายได้ของประเทศไทยเอาไว้ (เค้ามีภาษีตัวอื่นอีก) พูดง่ายๆ คน 2 ล้านคน เลี้ยงคืน 63 ล้านคนอยู่ ใน 2 ล้านคนนี้ มีอยู่ 20,000 คนที่เสียภาษีในอัตราสูงสุด คือ 35% (ถ้าตัวเลขผิด ขออภัยด้วย จำไม่ได้แระ) เพราะเค้ายึดหลัก หามาก แจ้งมาก จ่ายมาก คนส่วนใหญ่ก็เลยเป็ฯ หามาก แจ้งน้อย จ่ายน้อย
อันนี้ผมไม่รู้นะแต่ผมว่าน่าจะมีคนจ่ายมากกว่า 2 ล้านคน คนยื่นแบบนี้มีแต่เสียเงินกับเสมอตัว มียื่นภาษีแล้วรายได้รวมไม่สูงเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วอยู่ในเกณฑ์ไม่ต้องเสียภาษี กับรายได้สูงกก็เอามาคำนวณจ่ายภาษีเป็นขั้นบันไดไป จาก 5% ไปจนถึง 37% ส่วนคนที่ยื่นแล้วขอคืนนี้ คือทางบริษัทคุณๆ จะประเมินภาษีแล้วหัก ณ ที่จ่าย จากเงินเดือนทุกเดือน ปลายปีคิดแล้วมีค่าลดหย่อนได้มาก เงินที่หัก ณ ที่จ่าย มากกว่าที่ต้องจ่ายจริง จึงยื่นขอคืน จะเห็นว่ามีแต่เสมอตัวกับเจ็บตัว



banch

เฉพาะดอกเบี้ยหรือป่าวครับ



MJunior

ถ้าลดหย่อนภาษีได้ แล้วจะไปมีภาษีสรรพสามิตทำด๋องอะไร

วัตถุประสงค์ของภาษีสรรพสามิตคือการเก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย
ซึ่งรถก็ถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย แล้วจะส่งเสริมให้คนฟุ่มเฟือยไปทำไม
อันนี้เป็นนโยบายประชานิยมชัดๆ และเป็นแบที่ไร้สาระด้วย



a-k-e

คุณ i-din ครับ ตรรกะของคุณบางจุดผิดครับ
คุณบอกว่ามีคนยื่นแบบเสียภาษี 10 ล้านคน มีคนได้คืน 8 ล้านคน และ 2 ล้านคนไม่ได้คืน
มันไม่ได้หมายความว่ามีแค่ 2 ล้านคนที่เป็นคนเสียภาษีพยุงรายได้ของประเทศนะครับ ผิดถนัดเลย
ความหมายคือ ทั้ง 10 ล้านคน คือคนเสียภาษีพยุงประเทศ
ใน 10 ล้านคนนั้น 8 ล้านคนเสียภาษีไว้ "เกิน" กว่าจำนวนที่ต้องเสียจริง เค้าถึงได้คืนภาษีในส่วนที่เสียเกินไป
และใน 10 ล้านคนนั้น 2 ล้านคน ที่เสียภาษีไว้ "พอดี" หรือเสียภาษี "น้อยกว่าที่ควรจะเป็น" คนเหล่านั้นจึงไม่ได้คืนภาษี หรือต้องเสียเพิ่ม

ยกตัวอย่างเช่นผม ปีที่ผ่านมาผมได้คืนภาษี 3 แสนกว่าบาท มันไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้เสียภาษีนะครับ
แต่เป็นเพราะผมถูกหักภาษีไปในระหว่างปีไปกว่า 7 แสนกว่าบาท ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วผมควรจะเสียแค่ 3-4 แสนบาท
ดังนั้น เมื่อถึงปลายปี ผมถึงทำเรื่องยื่นภาษี และผลสรุปออกมาว่า ผมได้คืนภาษี 3 แสนกว่าบาท
แต่นั่นก็คือ ปี 53 ผมก็เสียภาษีไปแล้วเช่นกัน เกือบ 4 แสนบาท
คนยิ่งขอคืนภาษีได้เยอะ นั่นหมายความว่าคนเหล่านั้น เสียภาษีในฐานภาษีค่อนข้างสูงนะครับ
เช่นของผมเสียอยู่ในฐาน 30% ครับ นั่นคือ รายได้ผมในฐานนี้ 100 บาท ... ผมต้องจ่ายภาษี 30 บาทครับ
ภาษีสูงสุดของบุคคลธรรมดาคือ 37% ครับ สำหรับรายได้ที่นำมาคำนวณภาษีในส่วนที่เกิน 4,000,000 บาท
อธิบายอย่างนี้เข้าใจนะครับ ...

แต่ส่วนหนึ่ง ที่ทุก ๆ คนเสียภาษีอย่างเท่าเทียมกัน คือ ภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต และ VAT 7% ครับ
ที่เป็นภาษีรายได้ของรัฐ นอกเหนือจากภาษีรายได้บุคคลธรรมดา และภาษีรายได้นิติบุคคล
ผมว่าแนวคิดการลดหย่อนภาษีรถคันแรก บ้านหลังแรก (เอาค่าผ่อนบ้านมาลดหย่อนนะ ไม่ใช่แค่ดอกเบี้ยอย่างปัจจุบัน)
เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ และช่วยเหลือคนระดับกลางในประเทศได้อย่างดีทีเดียว



CRO

ไม่เห็นด้วยครับ.. มันเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ควรที่จะไปสร้างระบบขนส่งมวลชนให้ดีๆจะดีกว่าครับ
ส่วนเรื่องภาษี คนที่เสียภาษีส่วนใหญ่ของประเทศคือมนุษย์เงินเดือนที่รายได้มากกว่า 15k รึ 200000 บาทต่อปี (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ขึ้นไปครับ



Blue 229

ในมุมมองของผม ทุกๆนโยบายสาธารณะ ล้วนก่อเกิดมาด้วยเจตนาอันดีครับ
แต่พอลงไปปฏิบัติแล้ว ผลมันจะดีต่อประเทศหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับตัวแปร หรือกุญแจสำคัญของนโยบายนั้นๆครับ

สำหรับ นโยบายนำยอดการผ่อนรถยนต์ ไปลดหย่อน ภงด.
ผมมองว่าจริงๆนโยบายนี้มีเจตนาอยู่สองอย่างนะ
1. ต้องการลดภาระทางภาษี ให้กับประชากรวัยทำงาน
2. ต้องการพัฒนา คุณภาพชีวิตประชากร

ในข้อแรก ผมคิดว่ามันเป็นเจตนาหลักครับ ชื่อตัวนโยบายมันบอกชัดเจนอยู่ครับ
แต่ในข้อที่สอง มันเป็นเจตนาแฝงครับ เราจะพบนโยบายแบบนี้ได้ในประเทศกำลังพัฒนาทั่วไป
(อันนี้ไม่ได้ว่าประเทศตัวเองนะครับ พูดกันตรงๆแบบวิชาการครับ :))
เจตนาแฝงแบบนี้ คือต้องการจะส่งเสริมหรือกระตุ้นให้ประชากรเกิดการครอบครอง ในปัจจัยวัตถุที่มันมีประโยชน์ต่อชีวิตครับ
ผลที่ได้ เมื่อประชากรเล็งเห็นว่า เราควรจะซื้อรถเพราะถ้าซื้อแล้ว เรายังนำตัวเลขไปหักภาษีได้อีก
ประชากรก็จะอยากซื้อรถมากขึ้นครับ และเมื่อประชากรสามารถครอบครองบ้าน รถยนต์เป็นของตนเองได้
ในทางการวัดคุณภาพชีวิตประชากร จะถือได้ว่า ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นครับ (ในทางหลักการนะ แต่ทางปฏิบัติผมว่า "ไม่แน่" )

แต่ทว่า นโยบายนี้ ถ้าผ่านมติ นำลงสู่การปฏิบัติเมื่อไหร่
ผมมองว่า มันจะเอื้อประโยชน์ให้่กับพ่อค้า หรือกลุ่มเอกชน มากกว่าตัวกฏหมายจดประกอบ หรือกฏหมายนำเข้ารถพลังงานธรรมชาติอีกครับ
เพราะเอาง่ายๆ แค่ตัวภาษีสรรพสามิตในปัจจุบัน ยังจัดกลุ่มรถยนต์นั่ง ว่าเป็นทรัพย์สินนอกความจำเป็นอยู่เลย
แล้วจะนำนโยบายส่งเสริมการครอบครองสินค้าฟุ่มเฟือยมาใช้ มันขัดกันเองแบบสิ้นเชิงครับ

แต่ผมมั่นใจว่า นโยบายนี้คงจะมีจุดแข็งตรงการกำหนดตัว "รถคันแรก" น่ะครับ
อาจจะกำหนดให้เป็น eco car หรือ รถก๊าซให้มันไปเสริมนโยบายที่ดำเนินการไปแล้วก็ได้
ถ้ามันเป็นอย่างนั้น รัฐจะได้ประโยชน์ครับ เพราะอย่างไรถ้าเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศมันดี
มีการซื้อขายใช้จ่ายคล่อง รัฐก็ได้ประโยชน์จากภาษีมากอยู่ดีแหล่ะครับ



a-k-e

ส่วนมากแล้ว "รถคันแรก" มักจะเป็นของคนวัยเริ่มทำงาน มีรายได้ระดับปานกลาง
และคนที่ทำงานมาซักพักหนึ่ง แต่ก็มีรายได้ระดับปานกลาง เช่นกัน

หากมองตามหลักเศรษฐศาสตร์ คนที่มีฐานะปานกลาง จะมีการจับจ่ายใช้สอยค่อนข้างพอดีกับรายได้
นั่นคือ ทำงานหาเงินมาได้ เกือบทั้งหมดก็จะใช้ไปกับรายจ่ายที่มีในแต่ละเดือน
ต่างกับคนรวย ที่หาเงินได้เยอะ แต่ใช้ไม่มาก ดังนั้นอัตราส่วนของรายได้คนรวย
ก็จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อยกว่าอัตราส่วนรายได้ของคนชั้นกลางด้วยซ้ำ

ผมมองว่า การลดหย่อนภาษี สำหรับคนที่ซื้อรถคันแรก รัฐเสียผลประโยชน์ในเชิงภาษีมั๊ย
ถ้ามองตรง ๆ ก็คงต้องตอบว่า แน่นอน รัฐจะสูญเสียรายได้ภาษีในส่วนที่ลดหย่อนให้ไป
แต่ในมุมมองเศรษฐศาสตร์แล้ว เงินที่บุคคลชั้นกลางประหยัดได้จากภาษีที่ได้รับลดหย่อนนั้น
เค้าก็จะต้องเอาไปใช้จ่ายอย่างแน่นอน และเกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้หลายรอบ (เคยดูโฆษณาเงินหมุน ๆ ไปของ KTB มั๊ย)
และรัฐก็จะสามารถมีรายได้ตรงนี้จากการเก็บภาษีส่วนอื่นทางอ้อม
เช่น ภาษีนำเข้าสินค้า (สินค้าที่คนนั้นซื้อ) และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ที่ทุก ๆ คนจ่ายอยู่เป็นประจำ)

ดังนั้น ถามว่าการลดหย่อนภาษี ให้กับกลุ่มคนที่สมควรจะได้รับการลดหย่อนนั้น รัฐเสียผลประโยชน์มั๊ย
จริง ๆ แล้วสามารถตอบได้ว่า รัฐไม่ได้เสียผลประโยชน์หรอก ... แค่เปลี่ยนมือคนใช้เงินภาษีก้อนนั้น
จากจ่ายให้รัฐบาลเอาไปใช้จ่าย เปลี่ยนเป็นให้บุคคลนำมาใช้จ่ายเองโดยตรง ไม่ต้องเสียภาษีอ้อมไปก่อน
จะว่าไปแล้ว ดีซะอีก เพราะเงินภาษีก้อนนั้น ได้เอามากระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง
โดยไม่ต้องถูกหักคอมมิชชั่น 30-50% ให้พวกปอปในสภาด้วยซ้ำ หึหึหึ



PJ

ส่วนมากแล้ว "รถคันแรก" มักจะเป็นของคนวัยเริ่มทำงาน มีรายได้ระดับปานกลาง
และคนที่ทำงานมาซักพักหนึ่ง แต่ก็มีรายได้ระดับปานกลาง เช่นกัน

หากมองตามหลักเศรษฐศาสตร์ คนที่มีฐานะปานกลาง จะมีการจับจ่ายใช้สอยค่อนข้างพอดีกับรายได้
นั่นคือ ทำงานหาเงินมาได้ เกือบทั้งหมดก็จะใช้ไปกับรายจ่ายที่มีในแต่ละเดือน
ต่างกับคนรวย ที่หาเงินได้เยอะ แต่ใช้ไม่มาก ดังนั้นอัตราส่วนของรายได้คนรวย
ก็จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อยกว่าอัตราส่วนรายได้ของคนชั้นกลางด้วยซ้ำ

ผมมองว่า การลดหย่อนภาษี สำหรับคนที่ซื้อรถคันแรก รัฐเสียผลประโยชน์ในเชิงภาษีมั๊ย
ถ้ามองตรง ๆ ก็คงต้องตอบว่า แน่นอน รัฐจะสูญเสียรายได้ภาษีในส่วนที่ลดหย่อนให้ไป
แต่ในมุมมองเศรษฐศาสตร์แล้ว เงินที่บุคคลชั้นกลางประหยัดได้จากภาษีที่ได้รับลดหย่อนนั้น
เค้าก็จะต้องเอาไปใช้จ่ายอย่างแน่นอน และเกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้หลายรอบ (เคยดูโฆษณาเงินหมุน ๆ ไปของ KTB มั๊ย)
และรัฐก็จะสามารถมีรายได้ตรงนี้จากการเก็บภาษีส่วนอื่นทางอ้อม
เช่น ภาษีนำเข้าสินค้า (สินค้าที่คนนั้นซื้อ) และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ที่ทุก ๆ คนจ่ายอยู่เป็นประจำ)

ดังนั้น ถามว่าการลดหย่อนภาษี ให้กับกลุ่มคนที่สมควรจะได้รับการลดหย่อนนั้น รัฐเสียผลประโยชน์มั๊ย
จริง ๆ แล้วสามารถตอบได้ว่า รัฐไม่ได้เสียผลประโยชน์หรอก ... แค่เปลี่ยนมือคนใช้เงินภาษีก้อนนั้น
จากจ่ายให้รัฐบาลเอาไปใช้จ่าย เปลี่ยนเป็นให้บุคคลนำมาใช้จ่ายเองโดยตรง ไม่ต้องเสียภาษีอ้อมไปก่อน
จะว่าไปแล้ว ดีซะอีก เพราะเงินภาษีก้อนนั้น ได้เอามากระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง
โดยไม่ต้องถูกหักคอมมิชชั่น 30-50% ให้พวกปอปในสภาด้วยซ้ำ หึหึหึ
ผมเห็นด้วยอย่างมาก เป็นแนวความคิดซ้อนกันหลายขั้น และคนที่มีประสบการณ์น้อยมักจะมองตรรกะออกเช่นนี้ไม่ออกครับ
จริงๆคนเสนอแนวความคิดควรจะต้องอธิบาย (ซ้ำแล้วซ้ำอีก) ให้คนกลุ่มที่ยังขาดความเข้าใจและมองเพียงด้านเดียวฟังซ้ำๆ ... แต่ก็นั่นแหล่ะคนที่เสนอ และพูดถึง feature แต่ไม่ค่อยยอมพูดถึง benefit ทั้งหมด .. มันจึงทำให้คนมองภาพนั้นๆออกเพียงด้านเดียว และกลายเป็นไม่โดนใจคนส่วนใหญ่



i-din

คุณ i-din ครับ ตรรกะของคุณบางจุดผิดครับ
คุณบอกว่ามีคนยื่นแบบเสียภาษี 10 ล้านคน มีคนได้คืน 8 ล้านคน และ 2 ล้านคนไม่ได้คืน
มันไม่ได้หมายความว่ามีแค่ 2 ล้านคนที่เป็นคนเสียภาษีพยุงรายได้ของประเทศนะครับ ผิดถนัดเลย
ความหมายคือ ทั้ง 10 ล้านคน คือคนเสียภาษีพยุงประเทศ
ใน 10 ล้านคนนั้น 8 ล้านคนเสียภาษีไว้ "เกิน" กว่าจำนวนที่ต้องเสียจริง เค้าถึงได้คืนภาษีในส่วนที่เสียเกินไป
และใน 10 ล้านคนนั้น 2 ล้านคน ที่เสียภาษีไว้ "พอดี" หรือเสียภาษี "น้อยกว่าที่ควรจะเป็น" คนเหล่านั้นจึงไม่ได้คืนภาษี หรือต้องเสียเพิ่ม

ยกตัวอย่างเช่นผม ปีที่ผ่านมาผมได้คืนภาษี 3 แสนกว่าบาท มันไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้เสียภาษีนะครับ
แต่เป็นเพราะผมถูกหักภาษีไปในระหว่างปีไปกว่า 7 แสนกว่าบาท ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วผมควรจะเสียแค่ 3-4 แสนบาท
ดังนั้น เมื่อถึงปลายปี ผมถึงทำเรื่องยื่นภาษี และผลสรุปออกมาว่า ผมได้คืนภาษี 3 แสนกว่าบาท
แต่นั่นก็คือ ปี 53 ผมก็เสียภาษีไปแล้วเช่นกัน เกือบ 4 แสนบาท
คนยิ่งขอคืนภาษีได้เยอะ นั่นหมายความว่าคนเหล่านั้น เสียภาษีในฐานภาษีค่อนข้างสูงนะครับ
เช่นของผมเสียอยู่ในฐาน 30% ครับ นั่นคือ รายได้ผมในฐานนี้ 100 บาท ... ผมต้องจ่ายภาษี 30 บาทครับ
ภาษีสูงสุดของบุคคลธรรมดาคือ 37% ครับ สำหรับรายได้ที่นำมาคำนวณภาษีในส่วนที่เกิน 4,000,000 บาท
อธิบายอย่างนี้เข้าใจนะครับ ...

แต่ส่วนหนึ่ง ที่ทุก ๆ คนเสียภาษีอย่างเท่าเทียมกัน คือ ภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต และ VAT 7% ครับ
ที่เป็นภาษีรายได้ของรัฐ นอกเหนือจากภาษีรายได้บุคคลธรรมดา และภาษีรายได้นิติบุคคล
ผมว่าแนวคิดการลดหย่อนภาษีรถคันแรก บ้านหลังแรก (เอาค่าผ่อนบ้านมาลดหย่อนนะ ไม่ใช่แค่ดอกเบี้ยอย่างปัจจุบัน)
เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ และช่วยเหลือคนระดับกลางในประเทศได้อย่างดีทีเดียว

อืม นั่นล่ะครับ ผมว่าความหมายถเดียวกันนะ  8 ล้านคน คือคนที่ยื่นแล้วได้คืน หรือฐานเงินเดือนไม่ถึง ไม่ต้องจ่าย อย่างผมเป็นต้น ต้องยื่นทุกปี แต่ฐานเงินเดือนไม่ถึง เค้าไม่ได้หักไว้ จริงๆ อ่านมาจากหนังสือการเงินการธนาคาร  ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เค้าสรุปมาให้น่ะครับ น ่าจะเป็นฉบับปีที่แล้ว เพราะปีนี้ไม่ได้เป็นสมาชิกแล้วอ่ะครับ



6162002

เข้ามาเก็บความรู้ครับ ขอบคุณหลายๆท่านที่มาแชร์ความรู้กันด้วยครับ

อยากให้หลายๆคนได้มองภาพรวมๆ ทั้งหมดแบบที่บางท่านบอกไว้ ไม่ใช่มองด้านเดียว แล้วก็ไปทะเลาะกับอีกฝ่ายที่มองด้านเดียว(แต่คนละด้านกัน) ครับ



jubjeab

ลดภาษีที่บวกในราคาซื้อ  จะดูเข้าท่าดีกว่า