ในมุมมองของผม ทุกๆนโยบายสาธารณะ ล้วนก่อเกิดมาด้วยเจตนาอันดีครับ
แต่พอลงไปปฏิบัติแล้ว ผลมันจะดีต่อประเทศหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับตัวแปร หรือกุญแจสำคัญของนโยบายนั้นๆครับ
สำหรับ นโยบายนำยอดการผ่อนรถยนต์ ไปลดหย่อน ภงด.
ผมมองว่าจริงๆนโยบายนี้มีเจตนาอยู่สองอย่างนะ
1. ต้องการลดภาระทางภาษี ให้กับประชากรวัยทำงาน
2. ต้องการพัฒนา คุณภาพชีวิตประชากร
ในข้อแรก ผมคิดว่ามันเป็นเจตนาหลักครับ ชื่อตัวนโยบายมันบอกชัดเจนอยู่ครับ
แต่ในข้อที่สอง มันเป็นเจตนาแฝงครับ เราจะพบนโยบายแบบนี้ได้ในประเทศกำลังพัฒนาทั่วไป
(อันนี้ไม่ได้ว่าประเทศตัวเองนะครับ พูดกันตรงๆแบบวิชาการครับ
เจตนาแฝงแบบนี้ คือต้องการจะส่งเสริมหรือกระตุ้นให้ประชากรเกิดการครอบครอง ในปัจจัยวัตถุที่มันมีประโยชน์ต่อชีวิตครับ
ผลที่ได้ เมื่อประชากรเล็งเห็นว่า เราควรจะซื้อรถเพราะถ้าซื้อแล้ว เรายังนำตัวเลขไปหักภาษีได้อีก
ประชากรก็จะอยากซื้อรถมากขึ้นครับ และเมื่อประชากรสามารถครอบครองบ้าน รถยนต์เป็นของตนเองได้
ในทางการวัดคุณภาพชีวิตประชากร จะถือได้ว่า ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นครับ (ในทางหลักการนะ แต่ทางปฏิบัติผมว่า "ไม่แน่" )
แต่ทว่า นโยบายนี้ ถ้าผ่านมติ นำลงสู่การปฏิบัติเมื่อไหร่
ผมมองว่า มันจะเอื้อประโยชน์ให้่กับพ่อค้า หรือกลุ่มเอกชน มากกว่าตัวกฏหมายจดประกอบ หรือกฏหมายนำเข้ารถพลังงานธรรมชาติอีกครับ
เพราะเอาง่ายๆ แค่ตัวภาษีสรรพสามิตในปัจจุบัน ยังจัดกลุ่มรถยนต์นั่ง ว่าเป็นทรัพย์สินนอกความจำเป็นอยู่เลย
แล้วจะนำนโยบายส่งเสริมการครอบครองสินค้าฟุ่มเฟือยมาใช้ มันขัดกันเองแบบสิ้นเชิงครับ
แต่ผมมั่นใจว่า นโยบายนี้คงจะมีจุดแข็งตรงการกำหนดตัว "รถคันแรก" น่ะครับ
อาจจะกำหนดให้เป็น eco car หรือ รถก๊าซให้มันไปเสริมนโยบายที่ดำเนินการไปแล้วก็ได้
ถ้ามันเป็นอย่างนั้น รัฐจะได้ประโยชน์ครับ เพราะอย่างไรถ้าเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศมันดี
มีการซื้อขายใช้จ่ายคล่อง รัฐก็ได้ประโยชน์จากภาษีมากอยู่ดีแหล่ะครับ