แต่ผมกลับคิดว่า
มันค่อยๆแทนที่เซกมนต์มากกว่าแหะ
จาก B -> C ทั้ง C -> D,D -> E ครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่ง
เอาง่ายๆ ในขณะที่ Vios ขยับเข้าใกล้ Corolla เมื่อ 20 ปีที่แล้ว Corolla Altis ก็ขยับเข้าใกล้ Camry หรืออาจจะแซงแล้วเหมือนกัน (แต่ที่แน่ๆ แซง Corona Exsior T190 แล้วแน่ๆ)
โดยมากเมื่อเวลาผ่านไป รถ segment เดิม มักจะใหญ่ขึ้น หรูขึ้น และที่สำคัญ แพงขึ้นไปเรื่ิอยๆ ดังนั้นการแบ่ง segment ที่ดูง่ายที่สุด คือดูตามราคา และชื่อชั้นครับ
เช่น รถ C-Segment เป็นรถ C-Segment เพราะมันหรู แพง และดีกว่ารถ B-Segment แต่ด้อยค่ากว่ารถ D-Segment ในช่วงเวลาเดียวกันครับ
บริษัทรถ หรือสินค้าอะไรก็แล้วแต่โดยปกติ marketing เขาจะต้องระวังให้มีช่องว่างของสินค้าแต่ละ segment อยู่แล้วครับ ไม่งั้นจะเกิดปัญหาสินค้าคนละ segment ตีกันเองได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็เจ๊งครับ
คิดง่ายๆ สมมุติเมื่อ Nissan ทำให้ March ดีเท่า Sunny เมื่อ 20 ปีก่ิอน Nissan ก็ต้องทำให้ Tiida ดีเท่า Bluebird เมื่อ 20 ปีที่แล้วเหมือนกัน เพื่อรักษาช่องว่างระหว่าง March กับ Tiida เอาไว้ ไม่ให้มาทับกันเอง
เพราะถ้าเมื่อไรสินค้าระดับล่าง ใช้ดีใกล้เคียงสินค้าระดับบนเมื่อไร หรือผู้ใช้มองว่าสินค้าระดับล่างคุ้มค่ากว่าสินค้าระดับบนเมื่อไร ก็แสดงให้เห็นว่า ฝ่ายการตลาดกำลังเอ๋อแล้วครับ
ลองไปศึกษากรณี Camry V6 กับ Avalon ใน Australia ดูนะครับ อันนี้ชัดเจนมากว่า Avalon เป็นรถที่ไม่ได้่ดีกว่า Camry ชัดเจนนัก (แถม design ยังโบราณด้วย เพราะเอารถที่ตกรุ่นใน US มาขาย) ใช้เครื่อง V6 เหมือนกัน ผลก็คือ Camry ขายดีกว่า Avalon อย่างเทียบไม่ติด สุดท้ายทางแก้ของ Toyota คือ เลิกขาย Avalon แล้วแบ่ง Camry เป็นสองรุ่น คือรุ่นเครื่อง 4 สูบ เรียก Camry ส่วนรุ่น V6 เรียก Aurion แล้วแยกตลาดกันชัดเจน
อ้อ ลืมไป รถคนละ segment เนี่ย ถ้าจะเทียบ ต้องเทียบในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้นครับ เช่น ถ้า Altis E140 ก็ต้องเทีัยบกับ Vios XP90 ไม่ใช่ Vios ไปเทียบกับ AE101 อันนี้ก็ไม่แฟร์ครับ รถมันออกมาต่างกันตั้ง 20 ปี เทคโนโลยี และสภาวะทางการตลาดไม่เหมือนกัน
เพราะบางคนขับรถแต่ในเมือง ซื้อ C-seg เครื่อง 1.8 ก็ไม่ได้ออกต่างจังหวัด ไม่ขับเร็วๆกัน แล้วจะซื้อรถที่เครื่องใหญ่โตไปทำไมหนอ
ถ้าอย่างนี้ใน อนาคต C-segment ต้องหาจุดเด่น เช่น ขับดี อุปกรณ์เยอะๆ มาเป็นจุดเด่นให้คนซื้อกันหรือเปล่าครับ
อีกอย่าง เป็นเรื่องสถานะทางสังคมครับ เพราะรถยังมีสถานะบางอย่าง เป็น luxury goods เหมือนกับ เสื้อผ้า นาฬิกาอยู่ การจ่ายแพงกว่า มันบ่งบอกถึงสถานะทางสังคมที่สูงกว่าได้ครับ และัมนุษย์ก็เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการแสดงออกอยู่แล้ว (ที่สำคัญก็คือ เพื่อสืบพันธุ์
) การแสดงออกว่าเรารวยกว่า มันเป็นสัญชาติญาณในการหาคู่อยู่แล้วครับ ดังนั้น คนที่ชอบอวดว่าขับ Benz สวมนาฬิกา Rolex มันก็มาจากธรรมชาติเรียกร้องด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งตรรกะ และเหตุผล อาจจะอธิบายไม่ได้เสมอไปครับ
ส่วนอีกคำถามนึง แน่นอนครับ ถ้่าบริษัทเขายังอยากขาย C-Segment เขาก็ต้องหาข้อดียัดเข้าไป ให้คุ้มค่ากับคนที่จะยอมจ่ายแพงขึ้น ถ้าไม่งั้น คนก็ไปเล่นรถเล็กหมดครับ