โครงการนี้ผมว่าดีครับ ถึงรถจะถูกจะแพง คนจำเป็นใช้ยังไงก็ต้องซื้ออยู่ดี ประโยชน์มีแน่ จับต้องได้ด้วย จับต้องได้มากกว่าการขึ้นภาษีบลาๆ เพื่อนู่นนี่นั่นสารพัดจะบอก ตามนั้นแล้วกัน
ปัญหาที่แท้จริงจากโครงการนี้ คือ ความโลภของไฟแนนซ์ครับ มูมมามซะจนไม่ดูตาม้าตาเรือ ใครมาก็เอาหมดโดยไม่ดูว่าคนที่มาหน้าตาเป็นยังไง มีปัญญาผ่อนชำระหรือเปล่า เพราะคิดว่าเป็นจังหวะโกยไงครับ ฟันหักกลับบ้าน
มันใช่เหรอครับ
ไฟแนนซ์ เขาทำการค้าหากำไร ถ้าผ่อนไม่ไหว เขาก็ยึด ฟ้องผู้ซื้อ ฟ้องผู้ค้ำ คนที่ฟันหักไม่ใช่ไฟแนนซ์แน่
"ใครมาก็เอาหมดโดยไม่ดูว่าคนที่มาหน้าตาเป็นยังไง" ตรงนี้ก็ไม่จริงนะ ลูกน้องผมและอีกหลายคน ก็กู้ไม่ผ่าน จนต้องหาวิธียืมใช้ชื่อญาติกันวุ่นวายไปหมด ไฟแนนซ์เขาก็คัดกรองในระดับนึงนะครับ
ที่คุณพูดมา มันก็ยังเป็นความผิดของไฟแนนซ์อยู่ดีใช่ไหมครับ? ผมหมายถึงที่ยังคัดกรองคนได้ไม่ดีพอ จนปล่อยให้ตัวเองโดนหลอกอย่างที่คุณว่าได้
คือที่ผมบอกว่า ฟันหักเนี่ย คุณไปย้อนดูนะครับ ว่าหนี้เสียไฟแนนซ์จากโครงการนี้เท่าไหร่ (ก็รับดะมาอย่างนี้ ฟ้องได้ฟ้องไป ยึดได้ยึดไป แต่ไม่มีจ่าย) ถ้าจะบอกว่าฟันไม่หักก็แล้วแต่จะคิดครับ
คือ ถ้าจะเคาน์เตอร์ประเด็นผม คุณควรจะเชื่อมโยงว่า นโยบายนี้ หรือ รัฐบาลในขณะนั้น ทำผิดพลาดอย่างไรในโครงการนี้ ซึ้งถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว มันไม่มีทางเชื่อมโยงไปสู่จุดนั้นได้เลย เพราะสุดท้ายไฟแนนซ์ต้องเป็นคนคัดกรองว่าจะให้ใครกู้ ไม่ให้ใครกู้ ไม่ใช่ทำตัวมูมมามเสร็จแล้วโทษปี่โทษกลอง อย่าว่าแต่ลดคันละแสนเลยครับ ต่อให้เหลือคันละแสนถ้าไฟแนนซ์ไม่ผ่านให้มันก็เท่านั้น
การปล่อยกู้ ของสถาบันการเงินทุกรูปแบบ มีการคัดกรองในระดับนึง
แต่ก็มีคนที่ผ่อนไม่ไหว ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เช่น
-กู้ซื้อบ้าน ก็มีคนที่โดนยึดบ้าน
-กู้เพื่อขยายกิจการ ก็มีคนที่ปิดกิจการ
ไม่เห็นจะเกี่ยวกับความมูมมามเลย
หนี้เสียของไฟแนนซ์ มีก่อนที่จะมีโครงการรถคันแรก
โครงการรถคันแรก ทำให้หนี้เสียเพิ่มขึ้นเยอะ ก็เพราะมีคนมากู้เยอะขึ้น และมันมีการใช้ชื่อกู้แทนกันไง เพราะต้องซื้อให้ทันโครงกันไงครับ
คนกู้บางคนไม่ใช่คนผ่อน คนผ่อนบางคนไม่ใช่คนกู้