ที่จริงญี่ปุ่นมีความสามารถกับเครื่องเทอร์โบมานานแล้วโดยเฉพาะ Toyota
เน้นหนักกับ JZ-GTE ทั้งหลายที่ทนทานแบบไม่ต้องสืบแถมมีข้อเสียน้อยมาก
Nissan, Honda, Suzuki, Mazda, Mitsubishi เอานิ้วจิ้มไปที่ไหนก็มีเทอร์โบ
บางค่ายกลายเป็นจุดเด่นประจำค่ายเลยก็ว่าได้อย่าง Subaru
แต่ที่น่าฉงนใจคือทำไมจู่ๆย่างเข้าสหัสวรรษใหม่ ขุมพลังเทอร์โบทยอยหายไปอย่างต่อเนื่อง
ด้วยเหตุผลต่างๆนานา JZ-GTE และ SR20DET กับ 13BT ถูกฆ่าด้วยมาตรฐานมลภาวะไม่ผ่าน
แต่มลภาวะไม่น่าใช่เรื่องเดียว เพราะที EJ20 กับ 4G63 ยังอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้
มันอาจจะเป็นเรื่องการลดต้นทุน บวกกับการออกแบบที่เหมาะกับการจับยัดลงในห้องเครื่องด้วย
อย่างสมัยก่อน Toyota ต้องมีทั้งตระกูล JZ สำหรับรถขับหลัง และ MZ สำหรับรถขับหน้า
อันนึงสูบเรียง อันนึงสูบวี Nissan เมื่อก่อนก็มีทั้ง RB และ VQ ท้ายสุดทั้งสองค่ายนี้
ก็รวบเหลือแค่บล็อค V6 ใช้บล็อคหลักร่วมกันหมดทั้งขับหน้า ขับหลัง ต่างกันที่รายละเอียดปลีกย่อย
เซฟต้นทุนไปได้
แต่ในที่สุด คิดว่าญี่ปุ่นคงจะเห็น Benefit จากการใช้เทอร์โบกับเครื่องความจุเล็กแล้ว
เพราะตอบโจทย์ทั้งเรื่องการประหยัดน้ำมัน และเรื่องความแรง ถ้าไม่นับเรื่องเสียงเครื่องยนต์
กับแรงบิดช่วงเพิ่งออกตัวแล้ว เครื่อง 4 สูบ 2.0 เทอร์โบ ฟัดกับ V6 2.8-3.0 ลิตรได้สบาย
VW เล่นเทอร์โบกับ 4 สูบอย่างสนุกใจในตอนนี้ BMW เน้นเทอร์โบกับดีเซล ปัจจุบันใช้
เทอร์โบ 6 สูบเรียงเพื่อทดแทน V8 4.4 ลิตร และใช้ V8 เทอร์โบเพื่อทดแทนเครื่อง V10-V12
Mercedes มีไลน์เครื่อง 1.8 เทอร์โบ M271 ตัวเก่ง แต่เทอร์โบ 6 สูบยังไม่มี ข้ามไปเล่นกันที
ก็เทอร์โบ V8 และ V12 เลย ..แต่ดีเซลเทอร์โบมีตั้งแต่ 4,6,8 สูบ
Saab นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เป็นเทอร์โบเกือบครบทุกรุ่นมานานแล้ว
ในเมื่อยุโรปเป็นจ้าวแห่งการลดมลภาวะในหลายด้าน และรถญี่ปุ่นเองก็พยายามทำตลาดในยุโรป
ดังนั้นท้ายที่สุดก็ต้องมีเทคโนโลยีบางอย่างที่เดินตามยุโรปไป ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ข้อเสียเลย
ไฮบริดเทอร์โบ ทำไมจะำทำไม่ได้? เครื่อง 1.8 ลิตรไฮบริด หรือ 1.5 ลิตรไฮบริดในทุกวันนี้
คุณสามารถทำเครื่อง 3 สูบ 1.3 ลิตรเทอร์โบประกบมอเตอร์ไฟฟ้าลงก็ได้ และไม่เสียเปรียบ
ตอนออกตัว เพราะมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยผลักแบบไม่ต้องรอรอบเลยอยู่แล้ว