ผู้เขียน หัวข้อ: ยิ่งเพี่มซีซีเครื่องกระบะยิ่งดี? (อยู่เหรอ)  (อ่าน 4777 ครั้ง)

ออฟไลน์ โคโรลล่า ไฮทอร์ก

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 77
    • อีเมล์
สืบเนื่องจากการเตรียมการในการจำหน่ายกระบะเครื่อง Euro 4 ของหลายค่ายๆ โดยเฉพาะบางค่ายที่เพี่มซีซี หรือคงซีซีเดิมไว้ ยังแน่ใจอยู่นะครับว่าเพิ่มซีซียิ่งดี?
สาเหตุที่พูดแบบนี้เพราะคนซื้อจ่ายภาษีประจำปีตายเลยครับ (มิตซูคิดถูกแล้วที่เอา 3.2 ลงแล้วใส่แทนด้วย 2.5 VG)
ขอบคุณครับ
ให้เธอมั่นใจได้ ___ๆ
ถ้าอยากออกรถ ต้องที่ ___
ส่วนค่าแลกเปลี่ยน ไม่ต้องห่วง ___ทุกอย่าง
เซอร์วิสดูแลให้ทั่วไทย
ต้อง ______ ___ ก็มั่นใจ มั่นใจได้ ___ๆ
ถ้าเป็นรถใช้แล้วคุณภาพดี ___มั่นใจ ______ ____ ค่ะ
______ ___ ความคุ้มค่า ______ รับประกัน

ออฟไลน์ 911turbo

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 288
Re: ยิ่งเพี่มซีซีเครื่องกระบะยิ่งดี? (อยู่เหรอ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 25, 2011, 08:02:57 »
ดีไม่ดีไม่รู้ แต่
คนที่ยังคิดว่า cc เยอะ ขับทางไกลดีกว่า แรงกว่า โดยไม่ได้คำนึงเรื่องภาษีสักเท่าไหร่ ขอตัว top ไว้ก่อน  ยังมีอีกมากมาย

ทางบริษัทรถ ก็ทำรถตัวเองมา ตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนั้น  ส่วนเครื่องเดิม ก็เอาไว้ตอบสนองความต้องการคนอีกกลุ่ม

ก็คงประมาณนั้นมั๊งครับ

ออฟไลน์ Pan Paitoonpong

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,457
  • Long live M/T
Re: ยิ่งเพี่มซีซีเครื่องกระบะยิ่งดี? (อยู่เหรอ)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มกราคม 25, 2011, 10:26:01 »
ผมไม่รู้ว่าซี.ซี.เยอะหรือน้อยอย่างไร ภาษีประจำปีก็คือภาระของผู้ซื้อ อันนี้ถูก
เพราะผู้บริโภคบางกลุ่มก็ยึดติดกับความคิดที่ว่ารถเครื่องเล็ก แต่แรงสูง แปลว่า
เครื่องถูกเค้นกำลังมาก จะโทรมเร็ว ดังนั้นเทียบค่าซ่อมเครื่องกับภาษีที่ต่างกัน
แล้วก็เลือกเครื่องโตๆดีกว่า

แต่แนวคิดนี้ขาดไปอย่าง มีแต่คนถามเรื่องแรง กับถามเรื่องภาษีประจำปี
ไม่เห็นมีใครถามว่าเครื่องดีเซลไทยแต่ละเครื่องปล่อย CO2 เท่าไหร่
ถ้าเครื่องเล็กๆเวลาขับปกติ กับเดินเบา มีแนวโน้มจะปล่อย CO2 น้อยกว่า
ส่วนเวลากดคันเร่งเต็มเพื่อเรียกกำลัง อาจเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก อาจปล่อย
CO2 เท่าเครื่องใหญ่ในชั่วขณะ แต่ในภาพรวมออกมามีมลภาวะน้อยกว่า

ลองดูเครื่องดีเซลเบนซ์ 2.1 ลิตร..แรงบิดน้อยกว่า Vigo 3.0 ไหม? ไม่เลย
ตรงกันข้าม มากกว่ากันอยู่ 150 นิวตันเมตรเห็นจะได้ แปลให้เห็นแล้วว่า
คุณไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องความจุโตในการสร้างแรงบิดชนิดเกินพอ
สำหรับการใช้งานของคนไทย เพียงแต่ว่าต้นทุนค่าเครื่องมันสูงกว่ากันมาก
และจะให้ขาย Vigo Cab ธรรมดาๆคันละล้าน ลูกค้าก็คงไม่ซื้อ

สุดท้ายโจทย์ของผู้ผลิตคือต้องทำรถออกมาให้คนซื้อเยอะๆอยู่ดี
ไม่ใช่ทำในสิ่งที่เหมาะสมที่สุดกับโลกใบนี้
- Nissan Tiida บ้านๆ/NX Coupe/AE111/190E1.8

ออฟไลน์ โคโรลล่า ไฮทอร์ก

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 77
    • อีเมล์
Re: ยิ่งเพี่มซีซีเครื่องกระบะยิ่งดี? (อยู่เหรอ)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มกราคม 25, 2011, 11:22:02 »
ก็ขึ้นอยู่กับว่ายี่ห้อไหนใส่ VN แล้วได้เท่าไร อย่างนิสสันแค่ 2.5 ก็ได้ 190 แรงม้าแล้ว พอๆ กับเครื่อง V6 เบนซินสมัยก่อน
ให้เธอมั่นใจได้ ___ๆ
ถ้าอยากออกรถ ต้องที่ ___
ส่วนค่าแลกเปลี่ยน ไม่ต้องห่วง ___ทุกอย่าง
เซอร์วิสดูแลให้ทั่วไทย
ต้อง ______ ___ ก็มั่นใจ มั่นใจได้ ___ๆ
ถ้าเป็นรถใช้แล้วคุณภาพดี ___มั่นใจ ______ ____ ค่ะ
______ ___ ความคุ้มค่า ______ รับประกัน

ออฟไลน์ Nanfa

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 104
    • อีเมล์
Re: ยิ่งเพี่มซีซีเครื่องกระบะยิ่งดี? (อยู่เหรอ)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มกราคม 25, 2011, 21:12:49 »
ในความคิดผมนะครับ

ขอนอกเรื่องจากหัวข้อไปนิด  คือว่า แรงม้าเยอะ แรงบิดเยอะ ใช่ว่าจะแรงเสมอไป

มันอยู่กับหลายปัจจัย การออกแบบรถกระบะตามหลักพลศาสตร์  ระบบส่งกำลัง เป็นต้น

ยกตัวอย่าง วีโก้ เครื่อง 3000 ซีซี  163แรงม้า แรงบิด 343 นิวตันเมตร

                ไตรตัน เครื่อง 3200 ซีซี 165 แรงม้า แรงบิด 351 นิวตันเมตร

แต่ทำไมพอไปขับจริงๆ คนส่วนใหญ่บอกว่าวีโก้แรงกว่า ดึงดีกว่า สนุกกว่า มันส์กว่า

กลุ่มของผม เพื่อนๆ พี่ๆ น้าๆ อาๆ ก็บอกว่า กระบะวีโก้ 3.0 เครื่องไม่ได้แรงที่สุดนะ แต่ว่าระบบต่างๆมันดีมาก เลยทำให้ตอนขับจริงๆแล้ว

เป็นรถกระบะที่ขับสนุก แรง มันส์ ที่สุด ในบรรดากระบะเมืองไทย ดูอย่างตัวเลขแรงม้า แรงบิด ตามสเปก วีโก้ 3.0 ไม่ได้เยอะอะไรมากมาย




ออฟไลน์ banch

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,214
Re: ยิ่งเพี่มซีซีเครื่องกระบะยิ่งดี? (อยู่เหรอ)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 09:21:47 »
"ดี" ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

เพราะแต่ละคนมองคนละอย่าง

บางคนอยากได้แรงไม่สนใจอะไร

บางคนอยากได้ประหยัด

บางคนอยากได้พอดีๆ ไม่แรงมาก แต่ก็ไม่อืด ไม่ต้องประหยัดสุด แต่ก็อย่ากินมากไป

เรื่องสิ่งแวดล้อม คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่สนใจ

เพราะกฏหมายยังไม่พูดถึง เรื่องนี้

ถึงจะพูดถึงก็ยังไม่มีผลต่อลูกค้าเท่าไหร่

เพราะกฏหมายบ้านเรากำหนดแค่ว่า รถที่จะขายต้องผ่าน มาตฐานนั่น มาตรฐานนี่

แต่กฏหมายบ้านเรายังไม่ได้เอา มลพิษ กับ ภาษีสรรพสามิต มารวมกัน ให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที

ถ้า อัตราการปล่อยมลพิษ มีผลต่อราคาขายเมื่อไหร่

ก็เมื่อนั้นแหละครับ ที่ประชาชนจะให้ความสนใจเรื่องมลพิษ