พูดกันตามประสบการณ์นะครับ
เพราะเข้าใจว่าทฤษฎีนี่เขียนไว้ชัดเจนในบทความนั่นแล้ว
ผมเป็นคนที่ใช้รถเกียร์ออโต้ แบบไม่เคยแช่เกียร์ D ตอนรถจอดติดไฟแดงสักครั้ง
สาเหตุแรกก็คือ ความสบายส่วนตัว ไม่ต้องการเหยียบเบรกขาแข็ง
สาเหตุอื่นก็คือ ความรู้สึกที่ไม่อยากให้เครื่องยนต์รับภาระหนัก
และทุกคนที่บ้านทำแบบเดียวกันกับผมหมด
รถที่บ้านที่ผ่านมือมา มีตั้งแต่
Corolla 1.6 AE101 ปี 1994 แต่คันนี้วิ่งน้อยมากใช้มา 10 ปี วิ่งไปแค่ 60,000 กม. ไม่มีอาการเกียร์ให้เห็นแม้แต่น้อย
Cefiro A31 ปี 1994 คันนี้วิ่งมากหน่อย ตอนขายไปนี่วิ่งไป 160,000 กม. ได้ เกียร์เพิ่งออกอาการไม่ยอมเข้าตอนเครื่องเย็น
Seat Cordoba ปี 1996 คันนี้วิ่งไป 80,000 กม. ไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับเกียร์ ยกเว้นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการสลับ D->N
Cefiro A33 ปี 2001 ตอนขายวิ่งไป 140,000 กม. ไม่มีปัญหากับเกียร์เลยแม้แต่อึดใจเดียว
Protege ปี 2002 ก่อนรื้อแล้วทำเป็น Mazdaspeed แบบปัจจุบัน วิ่งไป 75,000 กม. เล่นเกียร์อย่างหนักและโหด ลากรอบแบบเอาเป็นเอาตาย คิกดาวน์ไม่มียั้ง เกียร์ยังทำงานราบรื่นเหมือนวันแรกที่ออกมาป้ายแดง
Jazz i-DSi GD ปี 2002 ไม่ค่อยดูแลรักษามากนัก สลับเกียร์ไปมาตลอดเวลา ปัจจุบัน 100,000 กม.แล้ว ก็ยังไม่ออกอาการว่าจะพังแต่อย่างใด ทั้งทั้งเจ้าของรถเป็นแฟนผมเอง และเท้าหนักกว่าผมมาก กดจม ลากรอบ ขีดแดงตลอด แต่ไม่ได้ออกตัวรุนแรงเท่านั้นเอง
Civic ES 2.0 ปี 2004 คันนี้วิ่งน้อยอีกแล้ว เพิ่งจะวิ่งไปได้ 40,000 กม. ยังไงเกียร์ก็ไม่ออกอาการแน่แน่
Mazda 3 ปี 2009 นี่ออกมาสองปีวิ่งไปจะ 50,000 กม. แล้ว แต่เกียร์ก็ไม่มีอาการงอแง
สำหรับผมเลยคิดว่า ถ้าเราไม่ได้ใช้งานมากจริงจริง ชนิดว่าวิ่งกัน 2-3 แสนกิโลเมตร ก่อนจะปลดระวางรถนี่
อยากจะสลับ D->N ก็ทำไปเถิด มันไม่เป็นอะไรหรอกครับ เพราะรถแต่ละคันที่ผมว่ามา วิ่งในกรุงเทพฯ รถติดแสนสาหัสทุกคัน
เพราะต้องวิ่งผ่านถนน ศรีนครินทร์ พัฒนาการ พระราม9 พระราม4 สุขุมวิท ทองหล่อ เอกมัย ดินแดง บางซื่อ เตาปูน ซึ่งติดกันทั้งนั้น
อัตราความเร็วโดยเฉลี่ยวิ่งกันที่ประมาณ 6 กม./ชม. เพราะรถมันติดมาก แช่อยู่บนถนนไม่ต่ำกว่าวันละ 2 ชั่วโมง
รถทุกคัน ไม่ว่าบริษัทรถจะป่าวประกาศโฆษณาว่าประหยัดน้ำมันแค่ไหน เจอสถานการณ์แบบนี้ ต่ำกว่า 7 กม./ลิตร ทุกคัน
อุ้ย..เขียนมาซะยาว ไม่ได้ตอบคำถาม จขกท. เลย