การทดสอบอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในรีวิวของคุณจิมมี่

Phongrapee

ผมชอบอ่านรีวิวของคุณจิมมี่ครับ ขอชมก่อนว่าเป็นรีวิวที่ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าปราศจากซึ่งอคติใดๆ อะไรดีก็ว่าดี อะไรที่ยังขาดก็วิจารณ์ตรงๆ สำนวนการเขียนติดกวนนิดๆ (ผมรู้สึกเอง) รวมๆแล้วทำให้ผมชอบครับ แม้ว่าในบรรดารถที่คุณจิมมี่ทำรีวิวจะมีไม่กี่คันที่ผมสนใจอ่าน คือหมายถึงว่าต้องการนำข้อมูลไปใช้ในการซื้อรถ

ผมขอถามเลยก็แล้วกันครับ อยากทราบจริงๆ แต่แรกๆไม่กล้าถาม คืออยากทราบเหตุผลหรือที่มาของมาตรฐานการทดสอบการสิ้นเปลืองเชื้อเพลงน่ะครับ ว่าทำไมตามมาตรฐาน HLM จึงต้องนั่ง 2 คน เปิดแอร์ วิ่ง 110 หรือว่าเมื่อไหร่ที่ต้องเขย่าถัง บางคันทำไมจึงไม่เขย่า ประมาณนี้น่ะครับ

ผมไม่รู้ว่าเป็นคำถามที่เหมาะสมมั๊ย แต่ถามด้วยความอยากรู้ครับ ไม่มีจุดประสงค์ร้ายแต่อย่างใด



Ruksadindan

เหตุที่ต้องทดสอบความเร็วและคนนั่งนั้นพี่จิมนำมาจาก Thaidriver ครับ ก็ต้องไปถามทางนั้นอีกที
แต่เท่าที่อ่านจากรีวิวพี่จิมส่วนใหญ่บอกว่า ถ้าเป็นรุ่นที่คนสนใจในการประหยัดน้ำมันจะเขย่าถัง เพราะแม่นกว่า



nutmos

รุ่นรถที่ต่ำกว่า 2000 ซีซี ส่วนใหญ่
(ไม่ใช่ทั้งหมดจะ จะไม่รวม เช่น Skoda Yeti, honda CR-Z พวกรถที่ราคาเหยียบล้าน คนซื้อเขาก็ดูไว้คร่าวๆ)
จะต้องเขย่าโขยกรถ ตั้งแต่ระดับ Eco-car จนถึง C-segment

ส่วนเรื่องมาตราฐานในอัตราเร่ง ที่ต้องนั่ง 2 คน เปิดแอร์ วิ่ง 110 นี่
ผมไม่รู้จริงๆ แหะ อาจเป็นเพราะต้องการให้เหมือนการใช้งานในชีวิตประจำวันจริงๆ ก็ได้ครับ



delete

เดาว่าเป็นความเร็วปกติที่คนส่วนใหญ่ใช้กันมั้งครับ
จะมาทดสอบแบบอื่นเช่นเหมือนของอีโคคาร์
อาจจะใช้เวลานาน และทดสอบยาก



komakung

การนั่งสองคน ขับความเร็ว 110 ผมเข้าใจว่า คุณจิมมี่คงจะอยากทดสอบออกมาให้ใกล้เคียงกับการใช้รถในชีวิตประจำวันมากที่สุดน่ะครับ เพราะหากทดสอบแบบว่า ปิดแอร์ ขับไม่เกิน 90 นั่งคนเดียว แล้วพอผู้ใช้เอาไปใช้จริง มันขับแบบทดสอไม่ได้ตลอดหรอกครับ คุณจิมมี่ก็จะเสียอีก จริงไหครับ อันนี้ความคิดส่วนตัวนะครับ จริงเท็จประการใดต้องรอคุณจิมมี่มาตอบครับ



LimitedEdition

ขอตอบแทนพี่ J!MMY

เป็นมาตรฐานเดียวกับ ThaiDriver จริง
แต่มันมีที่มาที่ไป ที่ยังเลือกใช้มาตรฐานนี้ต่อไปครับ
110 กม./ชม. เป็นความเร็วเดินทางที่กฎหมายกำหนด (ที่ไม่ใช่ Motorway)
และที่ให้นั่ง 2 คน ก็เพื่อถ่วงน้ำหนักให้ใกล้เคียงกับการใช้งานจริงครับ

จริงจริงอาจจะมองว่า เดินทางส่วนใหญ่นั่งมากกว่า 2 คน
ก็ขอให้เข้าใจว่า พี่ J!MMY คนเดียวก็หนักเท่าคนครึ่งแล้ว
 :P



champyadme

งั้นรบกวนถามอีกนิดนึงครับ

การขับขี่ทดสอบอัตราสิ้นเปลือง พี่จิมมี่ขับแบบปกติ(เหยียบตามใจ แต่ไม่ใช่ว่าเต็มเท้าอะไรมากมาย อย่างเช่นซัก 2000-3000rpm)จนถึงร้อยสิบ แล้วค่อยแช่

หรือว่าขับแบบคลานๆ ค่อยๆเร่ง เอาแบบคันหลังด่า (ซักไม่เกิน 2000 rpm) จนถึงร้อยสิบครับ?

*rpm referred from gasoline engine



Ruksadindan

งั้นรบกวนถามอีกนิดนึงครับ

การขับขี่ทดสอบอัตราสิ้นเปลือง พี่จิมมี่ขับแบบปกติ(เหยียบตามใจ แต่ไม่ใช่ว่าเต็มเท้าอะไรมากมาย อย่างเช่นซัก 2000-3000rpm)จนถึงร้อยสิบ แล้วค่อยแช่

หรือว่าขับแบบคลานๆ ค่อยๆเร่ง เอาแบบคันหลังด่า (ซักไม่เกิน 2000 rpm) จนถึงร้อยสิบครับ?

*rpm referred from gasoline engine
ผมว่าถึงไม่คลาน มันก็ไม่น่าส่งผลต่ออัตราเฉลี่ยเท่าไหร่ครับ



J!MMY

ออกตัวไล่ความเร็วขึ้นไปช้าๆ "แบบเดียวกับที่คนทั่วไปทำ เวลาออกรถจากหน้าด่านหลังจ่ายค่าผ่านทางเสร็จหนะครับ

เนยตอบไว้แล้วครับ เป็นมาตรฐานที่ผมยกมาจากทางพี่บอย วรพล สิงเห์เขียวพงษ์ ของ Thaidriver
เพราะผมเห็นว่า เป็นการกำหนดมาตรฐานการทดลอง ที่ดี และสามารถนำไปทดลองทำได้ในชีวิตจริง สำหรับการจับอัตราสิ้นเปลือง

110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็นความเร็วเดินทาง สูงสุดบนทางหลวง ตามที่กฎหมายเมืองไทยระบุไว้ในตอนนี้ (มอเตอร์เวย์ขึ้นได้ถึง 120)
แต่ในเมื่อ 100 ถ้วนๆ จะได้ความเร็วเฉลี่ยที่ไม่สูงมากนัก หากเทียบระยะทางวิ่งด้วย และ 120 ก็เร็วเกินไป
สำหรับการจับอัตราสิ้นเปลือง เพราะรถบางคัน วิ่ง 100 กับ 120 กินต่างกันชัดเจน เราเลยเลือกว่า เอาความเร็ว 110 สูงสุด
ตามกฎหมายกำหนด พอดี นี่ละครับกำลังดี เพราะมันอยู่ตรงกลางระหว่าง 100 กับ 120 ดังนั้น คุณๆ ก็พอจะมองได้ว่า
ถ้าวิ่ง แค่ 100 หรือ 120 น่าจะได้ตัวเลขประมาณไหน หนะครับ

ส่วนการเติมน้ำมันนั้น ถ้าให้แม่นยำจริงๆ ก็คงต้องเขย่ารถจนน้ำมันเอ่อขึ้นมาถึง
ปากคอหัวรับน้ำมันเลยทีเดียว แต่ถ้าทำแบบนั้น กับรถทุกคันที่เราทดลองขับ
จะเสียเวลามากๆ ไม่ต้องทำมาหากินพอดี เติมน้ำมันแบบนั้น ครั้งละ ครึ่งชั่วโมง
หรือบางคัน 40 นาทีเลยก็มี เสียเวลาทั้งผม ทั้งเด็กปั้ม และเสียเวลาคนอื่นที่จะ
มารอเติมน้ำมันอยู่ เราเลยเลือกใช้วิธีการนี้ เฉพาะรถที่คุณผู้อ่านต้องการ
ความละเอียดและแม่นยำมากกว่ารถประเภทอื่น นั่นคือรถที่มีเครื่องยนต์ต่ำกว่า
2.0 ลิตร ลงไป และรถกระบะ (แต่ไม่นับรวม รถยนต์ต่ำกว่า 2.0 ลิตร ทว่า ค่าตัว
คันละ 1 ล้านบาทขึ้นไป และเป็นรถจำพวก Niche Market เช่น Honda CR-Z
หรือ Skoda Yeti เป็นต้น)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 24, 2011, 10:19:16 โดย J!MMY »



Phongrapee

ขอบคุณมากๆครับคุณจิมมี่และทุกๆท่าน

อย่างนี้ก็พอจะฟันธงได้มั๊ยครับว่า ถ้าขับที่ความเร็วต่ำกว่านั้นเช่น 80-90 โดยใช้พฤติกรรมเดียวกันคือค่อยๆไล่ความเร็วขึ้นไปแบบที่คนปกติเขาทำกัน ก็จะได้ตัวเลขการสิ้นเปลืองเชื้อเพลงที่ดีขึ้น



Ruksadindan

ขอบคุณมากๆครับคุณจิมมี่และทุกๆท่าน

อย่างนี้ก็พอจะฟันธงได้มั๊ยครับว่า ถ้าขับที่ความเร็วต่ำกว่านั้นเช่น 80-90 โดยใช้พฤติกรรมเดียวกันคือค่อยๆไล่ความเร็วขึ้นไปแบบที่คนปกติเขาทำกัน ก็จะได้ตัวเลขการสิ้นเปลืองเชื้อเพลงที่ดีขึ้น

มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเช่นนั้นครับ
ไม่กี่สัปดาห์มานี้เห็นสมาชิกท่านหนึ่งแสดงตารางเทียบของ c-segment รุ่นที่นิยมๆ ในความเร็วต่างกัน ระหว่าง 80-140 km/h น่ะครับ



J!MMY

ขอบคุณมากๆครับคุณจิมมี่และทุกๆท่าน

อย่างนี้ก็พอจะฟันธงได้มั๊ยครับว่า ถ้าขับที่ความเร็วต่ำกว่านั้นเช่น 80-90 โดยใช้พฤติกรรมเดียวกันคือค่อยๆไล่ความเร็วขึ้นไปแบบที่คนปกติเขาทำกัน ก็จะได้ตัวเลขการสิ้นเปลืองเชื้อเพลงที่ดีขึ้น

ทำไมชอบให้ผมฟันธงกันจังเลย ผมไม่ใช่ อ.ลักษณ์ เรชานิเทศ นะครับ ที่จะได้ฟันธงได้
เว็บของเราก็มีนโยบายอยู่แล้วว่าจะไม่ฟันธงให้ใครทั้งสิ้น

แต่ถ้าใช้ความเร็วต่ำลง แน่นอน อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงก็จะดีขึ้น
แต่คำถามก็คือ ขับแค่ 80 - 90 นั้น ถามกันจริงๆเลยคือ ไม่ง่วงนอนกันหรือครับ?



YenChar

ดีแล้วล่ะครับที่ไม่ฟันธง

บอกตรงๆว่า พอผมได้อ่านรีวิวคุณจิมมี่
ผมเชื่อในตัวคุณจิมมี่แค่ 50%

ที่เหลือ ให้ไปลองขับเอง สัมผัสเอง

เพราะอะไร??

เพราะคนเรามันแตกต่างกัน ความสบาย ความเคยชินต่างกัน

อย่างพวงมาลัย จากที่ดูๆมาหลายๆรีวิวคุณจิมมี่ชอบหนืดๆ
ในขณะที่อย่างผม ขับหนืดๆแล้วไม่ชอบ เพราะผมชอบแบบเบาๆมากกว่า
สาวๆบางคน ชอบพวงมาลัยเบา
หนุ่มๆบางคน ชอบหนืดๆหนักๆ
บางคนขับในเมือง หนืดหรือเบาไม่สำคัญ

หลากหลายความเห็นครับ อย่าฟันธงเลย คนเราชอบไม่เหมือนกัน

แต่แอบเสียดายที่การรีวิวของคุณจิมมี่ ที่วัดได้แค่ 110
เพราะรถบางคัน ขับย่องๆประหยัดมากกกก หรือบางคันขับย่องๆก็กินมากกก
เข้าใจเรื่องงบประมาณและเวลาครับ
แต่ก็จะเอามาฟันธงไม่ได้ ว่าใครประหยัดกว่า
ให้ดูเป็นค่าเฉลี่ย แล้วพิจารณาเอา

ส่วนตัวแล้ว อ่านหนังสือรถบ่อย
ค่อนข้างเชื่อในการจับเวลาและอัตราสิ้นเปลือง
เพราะใกล้เคียงกับที่อื่นๆครับ



YIM

ขอบคุณมากๆครับคุณจิมมี่และทุกๆท่าน

อย่างนี้ก็พอจะฟันธงได้มั๊ยครับว่า ถ้าขับที่ความเร็วต่ำกว่านั้นเช่น 80-90 โดยใช้พฤติกรรมเดียวกันคือค่อยๆไล่ความเร็วขึ้นไปแบบที่คนปกติเขาทำกัน ก็จะได้ตัวเลขการสิ้นเปลืองเชื้อเพลงที่ดีขึ้น

ทำไมชอบให้ผมฟันธงกันจังเลย ผมไม่ใช่ อ.ลักษณ์ เรชานิเทศ นะครับ ที่จะได้ฟันธงได้
เว็บของเราก็มีนโยบายอยู่แล้วว่าจะไม่ฟันธงให้ใครทั้งสิ้น

แต่ถ้าใช้ความเร็วต่ำลง แน่นอน อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงก็จะดีขึ้น
แต่คำถามก็คือ ขับแค่ 80 - 90 นั้น ถามกันจริงๆเลยคือ ไม่ง่วงนอนกันหรือครับ?


ง่วงครับ แต่บางคนก็เฉยๆ นะครับ เพื่อนผมขับ March ถนน 4 เลน โล่งๆ วิ่ง 70 ครับ (70 แบบที่เห็นบน guage นะครับ)

แต่บางทีผมก็กลัวตำรวจน่ะครับ ล่าสุดผมโดนยิงไปที่ความเร็ว 115

200 บาท :'(
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 24, 2011, 19:25:43 โดย yimyont »
JDM เท่านั้น จะครองโลก!



2C-T

ออกตัวไล่ความเร็วขึ้นไปช้าๆ "แบบเดียวกับที่คนทั่วไปทำ เวลาออกรถจากหน้าด่านหลังจ่ายค่าผ่านทางเสร็จหนะครับ

เนยตอบไว้แล้วครับ เป็นมาตรฐานที่ผมยกมาจากทางพี่บอย วรพล สิงเห์เขียวพงษ์ ของ Thaidriver
เพราะผมเห็นว่า เป็นการกำหนดมาตรฐานการทดลอง ที่ดี และสามารถนำไปทดลองทำได้ในชีวิตจริง สำหรับการจับอัตราสิ้นเปลือง


ถามเพิ่มอีกอย่างเลยละกัน

อยากรู้ว่าลมยางมีผลเป็นนัยสำคัญต่ออัตราสิ้นเปลืองมั้ยครับ แล้วรถแต่ละคันที่มาทดสอบ เติมลมยางยังไงมั่งครับ



J!MMY

ลมยางมีผลครับ แต่ถ้าสมมติว่า เติม 31 กับ 32 psi ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองออกมาจะแทบไม่ต่างกันครับ
อย่างไรก็ตาม ถ้าเติม 28 กับ 32 psi ก็จะแตกต่างเหมือนกัน แต่ยังน้อยครับ
ถ้า เติม 28 กับ 35 หรือ 40 มีผลแน่นอนครับชัดเจนด้วย รถที่เติมลมมาแข็ง
จะทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ประหยัดกว่ารถที่เติมลมยางอ่อน

คำอธิบายง่ายๆ นึกถึงจักรยานครับ ถ้าลมยางอ่อนๆ เราต้องออกแรงถีบมากกว่าตอนลมยางแข็งใช่ไหมครับ?
และนั่นทำให้เราต้องใช้พลังงานในร่างกายเราออกแรงถีบมากกว่าตอนลมยางแข็งใช่ไหมครับ?

นั่นละครับ เหตุผลเดียวกัน

เพียงแต่ว่า ลมยางแข็งกว่าปกติ จะช่วยในกรณีที่คุณต้องบรรทุกผู้โดยสารและสัมภาระมากกว่าปกติเท่านั้น

ต้องไม่ลืมว่า ขณะขับขี่ อุณหภูมิ ที่ร้อน จะทำให้อากาศภายในยาง ขยายตัวมากขึ้น
เติมลมแข็งเกินไป หรือ อ่อนเกินไป โอกาสที่ยางจะระเบิด ก็อาจเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้นครับ



ezez

เพิ่มเติมเกี่ยวกับลมยางเท่าที่พอจะรู้ครับ

การเติมลมยางมากๆ  ทำให้หน้าสัมผัสของยางกับถนนลดน้อยลง (พอยางป่องมากๆ ส่วนที่สัมผัสกับถนนจะโค้งๆ พอนึกภาพออกป่ะ)  ทำให้ความฝืดน้อยลง กินแรงเครื่องยนต์น้อยลง  ส่งผลให้ประหยัดน้ำมัน  แต่ก็มีผลเสียทำให้การเกาะถนนลดน้อยลงด้วย 



edward

แล้วเติม น้ำมันต่างประเภทกัน แตกต่างกันขนาดไหนครับ อย่างเช่น E20, Gasohol 95, Benzene 95, E85

หรือรถที่เติม 91 ได้ ถ้านำไปเติม 95 การกินน้ำมันแตกต่างกันไหม