"ซูซูกิ"ย่องเงียบยึดไทยเป็นฐานผลิตรถเล็กเต็มสูบ เตรียมผุดโครงการผลิตรถ เค-คาร์ ในนิคมฯเหมราช เปิดตัวปีนี้ ผลิตจริงปี 2556 ชี้เดินแผนคู่ขนานกับรถอีโคคาร์ส่งออกเป็นหลัก ราคาคันละไม่เกิน 3 แสนบาท ด้านวงการผลิตชิ้นส่วนเดินสายทาบป้อนชิ้นส่วนให้ จับตาอัดงบก้อนแรก 6,500 ล้าน กรุยทางอีโคคาร์ก่อนเฟสแรก เดือน ก.พ. ปี2555 ผลิตได้ บีโอไอลั่นถ้าคนละสเปกกับอีโคคาร์ต้องขอส่งเสริมใหม่
แหล่งข่าวจากวงการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้ผู้ผลิตชิ้นส่วนหลายรายต่างวิ่งเข้าหาบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น หรือค่ายรถซูซูกิ เพื่อเสนอขายชิ้นส่วนสำหรับประกอบรถประหยัดพลังงานหรือรถอีโคคาร์ ขณะเดียวกันก็มีข่าวจากวงในว่าขณะนี้ค่ายรถซูซูกิ กำลังซุ่มเงียบที่จะยึดไทยเป็นฐานการผลิตรถเล็กเต็มรูปแบบ หลังจากที่ประกาศยึดไทยเป็นฐานการผลิตรถอีโคคาร์ไปแล้วด้วยเม็ดเงินลงทุนทั้งโครงการ 9,500 ล้านบาท ที่พร้อมจะทยอยผลิตได้ในต้นปี 2555 นี้
+ดัน เค-คาร์ ตีคู่อีโคคาร์
ล่าสุดซูซูกิกำลังอยู่ระหว่างเตรียมแผนที่จะทำการผลิตรถ รถเค-คาร์ หรือรถมินิ ที่บรรดาค่ายรถญี่ปุ่นมักเรียกว่าเป็นรถ "มินิอีโคคาร์"ที่มีขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า 1000 ซีซี ในประเทศไทย โดยใช้ฐานการผลิตเดียวกันกับการผลิตรถอีโคคาร์ในนิคมอุตสาหกรรม เหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยองบนพื้นที่ 614 ไร่
โดยโครงการนี้จะเริ่มผลิตได้ในต้นปี 2556 หลังจากที่รถอีโคคาร์ออกสู่ตลาดไปแล้วระยะหนึ่ง โดยจะผลิตเพื่อการส่งออกเป็นหลัก
+ขายไม่เกิน3แสนบาท/คัน
ทั้งนี้การผลิตรถเค-คาร์ จะเดินคู่ขนานไปกับการผลิตรถอีโคคาร์ โดยระยะแรกจะลงทุนก่อน 6,500 ล้านบาท เพื่อเดินหน้าการผลิตรถทั้ง 2 ส่วนให้ได้อย่างน้อย 100,000 คันขึ้นไป ภายใน 5 ปี โดยจะเริ่มต้นที่การผลิตรถอีโคคาร์ก่อนจำนวน 56,000 คันต่อปี ภายใต้แบรนด์ "สวิฟท์" ที่จะเริ่มผลิตได้เดือนกุมภาพันธ์ ปี2555 และอีกส่วนหนึ่งประมาณ 50,000 คันจะเป็นการผลิตรถเค-คาร์ ซึ่งประหยัดกว่ารถอีโคคาร์ ที่จะเปิดตัวได้ภายในปีนี้และจะเริ่มผลิตได้ในต้นปี 2556 คาดว่าขายในราคาไม่เกิน 300,000 บาท/คัน
แหล่งข่าวจากผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์อีกรายกล่าวว่า เป็นหนึ่งรายที่เข้าไปเสนอราคาขายชิ้นส่วนรถรถเค-คาร์ ซึ่งที่ผ่านมาได้เสนอขายชิ้นส่วนรถอีโคคาร์อยู่แล้ว โดยเสนอไปมากกว่า 100 รายการ แต่ซูซูกิซื้อไปไม่ครบทุกรายการ ซึ่งขึ้นอยู่กับการต่อรองระหว่างผู้เสนอขายกับผู้ซื้อ ถ้าผู้เสนอขายรายใดยอมลดราคาลงมามากก็จะขายได้ และยอมรับว่าเจรจาต่อรองกันยากมาก แต่บริษัทก็ไม่ได้เร่งรีบ เพราะรถเค-คาร์ดังกล่าวจะเกิดหลังอีโคคาร์ 1 ปี หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
"โครงการผลิตรถเค-คาร์ ของซูซูกิขณะนี้ยังไม่ได้ยื่นขอรับการส่งเสริมไปยังสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) และไม่น่าจะอยู่ในโครงการเดียวกันกับอีโคคาร์ได้ เพราะเป็นรถที่มีขนาดเครื่องยนต์เล็กกว่า ขณะที่รถอีโคคาร์มีการกำหนดเงื่อนไขชัดเจนแล้ว "
+เค-คาร์ยังไม่ขอส่งเสริมบีโอไอ
ด้านแหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) กล่าวว่า กรณีของซูซูกิถ้าจะลงทุนผลิตรถที่มีขนาดเล็กกว่ารถอีโคคาร์ หรือเป็นรถโมเดลอื่น คนละสเปกกันก็ต้องมายื่นขอส่งเสริมใหม่ หรือจะลงทุนได้ก็ต้องเป็นนโยบายที่บีโอไอกำหนดเงื่อนไขใหม่ออกมา ซึ่งขณะนี้โครงการผลิต รถเค-คาร์ จากค่ายซูซูกิยังไม่ได้ติดต่อเข้ามา
" สำหรับค่ายซูซูกิ ก่อนหน้านี้เข้ามาขอส่งเสริมในนามบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ที่ได้รับการส่งเสริมไปแล้วในการผลิตรถอีโคคาร์และชิ้นส่วน มูลค่าเงินลงทุน 9,500 ล้านบาทมีขนาดกำลังผลิตปีละประมาณ 138,000 คัน โดยจำหน่ายในประเทศ 19% และส่งออก 81% ในตลาดเอเชีย ออสเตรเลียและแอฟริกา ตั้งโรงงานที่จังหวัดระยอง"แหล่งข่าวกล่าวและว่า
การลงทุนดังกล่าวเป็นผลต่อเนื่องหลังจากที่ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2550 บอร์ดใหญ่บีโอไออนุมัติให้เปิดประเภทกิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐาน สากลหรือรถอีโคคาร์ โดยกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขไว้หลักๆ เช่น ผู้ขอรับส่งเสริมจะต้องเสนอการลงทุนเป็นโครงการรวม (Package) ประกอบด้วย โครงการประกอบรถยนต์ การผลิตเครื่องยนต์ และการผลิตหรือจัดหาชิ้นส่วนยานยนต์ และมีขนาดการลงทุนของโครงการรวมไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท ทั้งการประกอบรถยนต์และการผลิตชิ้นส่วน โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและยกเว้นภาษีเงินได้ไม่เกิน 8 ปีในทุกเขตที่ตั้ง ทั้งการประกอบรถยนต์ (จำกัดวงเงินยกเว้นไม่เกินมูลค่าลงทุนของโครงการ) การผลิตเครื่องยนต์ และการผลิตชิ้นส่วนอื่นๆ
+ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งตลาด5%
นอกจากนี้ ยังจะต้องมีปริมาณการผลิตจริงไม่น้อยกว่า 100,000 คันต่อปี ตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไป จะต้องเป็นรถยนต์ที่มีคุณสมบัติด้านการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง มีอัตราการใช้เชื้อเพลิงไม่เกิน 5.0 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ด้านสิ่งแวดล้อมจะต้องมีมาตรฐานมลพิษ EURO 4 หรือสูงกว่า และมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร ส่วนด้านความปลอดภัย จะต้องมีคุณสมบัติในการป้องกันผู้โดยสาร กรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้าและด้านข้างของตัวรถ ตามมาตรฐาน UNECE Reg.94 และ Reg.95 ตามลำดับ เป็นต้น
ปัจจุบันซูซูกิมีรถยนต์จำหน่ายในรุ่น สวิฟท์ ,เอฟเอ็กซ์-4,แกรนด์ วีทาร่า,เอพีวี และ แคร์รี่ โดยตามแผนงานที่วางไว้จะทำการเปิดตัวรถอีโคคาร์ ในเดือนมีนาคม 2555 ขณะที่แผนงานด้านเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายคาดว่าจนถึงสิ้นปี 2554 จะมีทั้งสิ้น 60 แห่งทั่วประเทศ และเพิ่มขึ้นเป็น 100 แห่งภายในปี 2558 นอกจากนั้นแล้วแผนงานรุกตลาดของซูซูกิตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีการวางงบประมาณทางการตลาดไว้ที่ 380 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายในปีนี้เติบโตขึ้น 55% จากปีที่ผ่านมา คาดว่าจนถึงสิ้นปีจะมีตัวเลขยอดขาย 10,000 คัน ด้านแผนงานระยะยาวซูซูกิตั้งเป้าครองส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์ไว้ที่ 5% ภายในปี 2558 โดยมีรถยนต์นั่งขนาดเล็กและรถอีโคคาร์เป็นรถธง
+ซูซูกิขายรถเล็กมากสุดที่ญี่ปุ่น
ด้านนายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า รถเค-คาร์ หรือรถมินิ ขนาดเล็กนั้นมีการผลิตและจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น โดยสัดส่วนตลาดของรถประเภทดังกล่าว จะมีปริมาณการขายจำนวน 1,500,000 คันต่อปี จากจำนวนตลาดรวมรถทั้งหมดที่มีอยู่ 4,000,000 คันต่อปี ซึ่งผู้ที่ครองตลาดคือซูซูกิ และไดฮัทสุ ที่นอกจากจะผลิตออกมาจำหน่ายในแบรนด์ของตนเองแล้ว ยังมีการผลิตเพื่อป้อนแบรนด์ใหญ่ๆอาทิ ไดฮัทสุ ผลิตป้อนโตโยต้า
ปัจจัยที่รถในกลุ่มเค-คาร์ได้รับความนิยมและเติบโตในประเทศญี่ปุ่น เป็นผลมาจากพื้นที่ที่มีจำนวนจำกัด ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศญี่ปุ่นเลือกใช้รถขนาดเล็ก เพราะสามารถจอดได้ง่ายและใช้พื้นที่น้อย ประกอบกับนโยบายโครงสร้างภาษีของญี่ปุ่นมีการสนับสนุนรถยนต์ขนาดเล็กนี้เป็นพิเศษ ทำให้ราคาจำหน่ายไม่สูง และทำให้รถได้รับความนิยม
"ประเทศญี่ปุ่นมีปัญหาทางด้านพื้นที่การจอดรถ ส่งผลให้เกิดรถประเภทเค - คาร์ นี้ขึ้นมา ซึ่งรถดังกล่าวจะมีการกำหนดข้อมูลเทคนิค ไม่ว่าจะเป็นความสูง-กว้าง-ยาว รวมไปถึงขนาดเครื่องยนต์ที่ไม่เกิน 660 ซีซี และมีอัตราโครงสร้างภาษีพิเศษ ทำให้ราคาที่ขายไม่แพง และสามารถตอบสนองพฤติกรรมของคนญี่ปุ่นได้ อย่างไรก็ตามผู้ผลิตที่ประกอบรถประเภทนี้มีเพียง 2 ค่ายหลักๆคือซูซูกิ และ ไดฮัทสุ ส่วนค่ายใหญ่ไม่ว่าจะเป็นนิสสัน ,มิตซูบิชิ หรือโตโยต้าก็ไม่มีใครประกอบรถในรุ่นนี้ "
นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกระแสข่าวของการผลิตรถเค-คาร์ ในประเทศไทย ในตอนนี้ยังไม่รับทราบข้อมูลว่าจะมีค่ายรถค่ายไหนที่จะเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานในการผลิต เนื่องจากมองว่าค่ายรถส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับตลาดอีโคคาร์ก่อน อย่างไรก็ตามอาจจะมีการประกอบรถยนต์ขนาดเล็กขึ้นมา และไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ปกติทั่วไปแต่อาจจะเป็นการใช้มอเตอร์ หรือไฟฟ้า
http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=72604:-3&catid=85:2009-02-08-11-22-45&Itemid=417