ท่านที่เคยอ่านรีวิวของกระผม เรื่อง Honda Civic EF แล้ว คงจะจำกันได้ว่า ตอนที่แม่ผมจะไปเลือกรถนั้น แม่ได้รับคำเตือนว่า ถ้าเอ็งอยากจะใช้รถนานๆ 10-15 ปีขึ้นไป ข้าไม่แนะนำโตโยต้า??
คำเตือนนี้ คงขัดใจหลายๆ ท่านพอสมควร จะเป็นไปได้ไง ถ้ารถมันไม่ดีจริงๆ จะได้รับการยอมรับจนมียอดขายอันดับ 1 ได้หรือ? คำตอบคือ รถทุกรุ่นต้องมีข้อดีข้อเสียในตัวของมันเอง ไม่เว้นแม่แต่เจ้าโต เอาล่ะ ไปดูกันดีกว่าครับ
ในช่วงนั้น พ่อกับแม่เพิ่งแต่งงาน ได้รถคันนี้มาเป็นรถสวัสดิการ ที่บริษัทพ่อซื้อมาให้พ่อใช้ 6 ปี ในฐานะที่พ่อทำงานในตำแหน่งที่ต้องเทียวไปเทียวมาตามกิ่งก้านสาขาของบริษัทบ่อยๆ ก็เลยให้รถคันนี้มาใช้ โดยมีค่าน้ำมันให้ (ตอนนั้นค่าน้ำมันไม่แพงอ่ะครับ) บริษัทพ่อซื้อรถลักษณะนี้กับพนักงานคนอื่นๆ อีก 4-5 คนได้ครับ โดยเป็นรถรุ่นเดียวกันทั้งหมดครับ คือ Toyota Corona T171 หน้ายักษ์ Model Change เป็นรถเปิดตัวใหม่ๆ ราวปีเดียวได้ครับ พอหมดระยะ 6 ปี บริษัทจะเอาคืนไปขายต่อ ตอนแรกพ่อก็จะปล่อย แต่ช่วงนั้นคุณตาก็เกษียณมาได้ระยะหนึ่งแล้ว อยากจะนั่งรถเก๋งบ้าง หลังใช้กระบะและรถมือสองทำมาหากินมาทั้งชีวิต จึงตัดสินใจขาย Isuzu KB คู่ชีพของตาไปให้คนรู้จัก แล้วให้พ่อใช้สิทธิ์พนักงาน ซื้อรถคันเดิมนี้มาเป็นของเรา บริษัทก็ขายให้ในราคาถูกกว่าตลาดเป็นสวัสดิการ เจ้าโคโรน่านี้จึงอยู่กับผมมาถึงเดี๋ยวนี้ (แต่น่าเสียดายว่าคุณตาท่านไม่อยู่เสียแล้วครับ ตอนนี้มันเลยเป็นของที่ผมดูต่างหน้าคุณตา)
ตอนที่รีวิว Civic ผมไม่ร่ายประวัติ เพราะรุ่นนี้เป็นที่รู้จัก แต่กับงานนี้ สำหรับบุคคลภายนอกหรือมือใหม่ที่เข้ามาอ่านอาจมีบางคนไม่คุ้นชื่อ Corona จึงขอร่ายประวัติสักหน่อยครับ (โดยที่ผมจะเน้นไปที่มุมมองตลาดรวมๆ ไม่เจาะจงตลาดไทย เลข พ.ศ. ช่วงที่ผลิต ก็เป็นเลขที่เป็นในตลาดรวมทั่วโลก ไม่ใช่ของประเทศไทย) ว่า Corona จะทำตลาดรถขนาดกลาง (ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ Corolla แต่อย่างใด แม้ชื่อจะคล้ายกันก็ตาม) ปัจจุบันได้เลิกผลิตรถรุ่นนี้ไปแล้ว โดยใช้รุ่น Camry เข้ามาแทนที่ครับ Corona นั้น เป็นหนึ่งในรุ่นประวัติศาสตร์สำคัญของโตโยต้า ในช่วงนั้น โตโยต้ายังไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ต่อมาโตโยต้าพยายามสร้างชื่อในสากล โดยรุ่น Crown ได้สร้างชื่อในความหรูหรา ความสะดวกสบาย อุปกรณ์ที่เทียบชั้นกับรถยุโรปชั้นดีได้ ซึ่งรุ่น Crown ก็ได้รักษาเอกลักษณ์นี้ไว้ถึงปัจจุบัน ส่วน Corona นี้เริ่มผลิตขึ้นในปี พ.ศ. 2500 โคโรน่ารุ่นแรกผลิตในช่วงปี 2500-2503 ครับ
สร้างชื่อด้านความหรูแล้ว ก็พยายามสร้างชื่อในเรื่องมาตรฐานการผลิตและความทนทานครับ ซึ่งเป้าหมายหลักของงานนี้พุ่งมาที่ Corona ดังเช่นตัวอย่างด้านล่าง เป็นโฆษณาของโคโรน่ารุ่นที่ 2 หรือ T20 (2503-2507)
และในปี 2508 โตโยต้า ได้สร้างชื่อกับ Corona รุ่นที่ 3 หรือ T40 (2507-2513) โดยการนำไปทดสอบวิ่งบนทางด่วนเปิดใหม่สาย Meishin 1 แสนกิโลเมตรต่อเนื่อง ทำให้โตโยต้าสร้างชื่อในเรื่องมาตรฐานการผลิตได้สำเร็จในวงกว้าง (อ้างอิงแหล่งข้อมูลจากคุณพี่ J!MMY) ซึ่งก็จริงครับ ผมได้ยินมาตามอินเตอร์เน็ตในปี 2546 ว่าเจอรถคันนั้นขับเป็นแท็กซี่อยู่ใต้ทางด่วนราษฎร์บูรณะ และตัวผมพบเห็นแท็กซี่ RT40 อีกคันเองบนถนนวิภาวดีรังสิตเมื่อปี 2553 และรถบ้านอีกคันเมื่อเดือนที่แล้ว ก็ซาบซึ่งถึงความคลาสสิกได้เต็มๆครับ
ต่อไปก็รุ่นที่ 4 (2513-2516) ออกมาตอนวิกฤติราคาน้ำมันรอบปี 1970 พอดี รถญี่ปุ่นเครื่องเล็กๆ เลยได้อานิสงส์ไปเต็มๆ โดยเฉพาะในตลาดอเมริกัน ซึ่งรถมะกันแต่ละเจ้าตอนนั้นลงเครื่องใหญ่มาก
รุ่นที่ 5 หรือ T120 (2516-2522) ในโฆษณาจะโชว์ว่าพัฒนาความปลอดภัยและความแข็งแรงของตัวถัง และในฝั่งตะวันตกก็เด่นเรื่องเป็นตัวเลือกทีประหยัดน้ำมันดี
รุ่นที่ 6 หรือ T130 (2521-2526) เริ่มเพิ่มเติมความหรูหรา
รุ่นที่ 7 หรือ T140 (2525-2532) ประเทศไทยรู้จักในชื่อ "หน้าแหลม" ตั้งแต่รุ่นนี้ไป โคโรน่ายกระดับขึ้น เพิ่มความหรูหราเต็มขั้นครับ สังเกตได้ชัดจากการที่เขาโฆษณาโดยมีคอนเซปต์แบบ หล่อ เท่ ร้าย แบบเจมส์ บอนด์ และได้ดาราผู้รับบท เจมส์ บอนด์ ในยุคนั้น คือ Roger Moore มาเป็นพรีเซนเตอร์ (แต่แบบคูเป้ และแบบ 5 ประตู หน้าจะไม่แหลมเหมือนเวอร์ชันซีดานที่เมืองไทยรู้จักครับ)
[นอกเรื่อง: สมาชิกทั้งหลายรู้จัก Roger Moore ไหมครับ? เขาเป็นผู้รับบทเจมส์ บอนด์ คนที่ 3 (คนปัจจุบันคนที่ 6) แสดงเจมส์ บอนด์ในภาคที่ 8-14 ในช่วงปี 2516-2528 (ภาคล่าสุดคือภาคที่ 22) ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบภาพยนต์ซีรีส์นี้พอสมควร และได้ดูครบทั้ง 22 ภาคแล้ว ส่วนตัวผม นอกจากภาคที่ "ฌอน คอนเนอรี่" แสดงแล้ว ผมก็ชอบมากอีกภาคหนึ่งคือภาคที่ 11 Moonraker พยัคฆ์ร้ายเหนือเมฆ ครับ ที่เหลือ ก็โอเคดีครับ แต่ยังไม่ประทับใจผมเท่าภาคที่ผมกล่าวไป]
(คำเตือน!!!! คลิปข้าล่างนี้คนที่หวาดกลัวสัตว์เลื้อยคลาน โดยเฉพาะคุณพี่ J!MMY พอถึง 1.00 กรุณากดข้ามไปที่ 1.10 นะครับ
แต่ถ้าดูไปแล้ว Ji.Cl. ขอพูดว่า "ขอโทษครับ" แล้วกระโดดขึ้นรถเกียร์กระปุกและเผ่นไปด้วยอัตราเร็วและอัตราเร่งสูงสุด)
รุ่นที่ 8 หรือ T150 (2526-2530 เขียนไม่ผิดครับ เวลาทับกับรุ่นที่ 7 แม้แต่ในเมืองไทย ชื่อเล่นคือรุ่นตู้เย็น เพราะความแตกต่างของมันคือ รุ่นหน้าแหลม เป็นขับเคลื่อนล้อหลัง ส่วนรุ่นตู้เย็น และรุ่นหลังจากนี้ไป จะเป็นขับเคลื่อนล้อหน้าทั้งหมด)
รุ่นที่ 9 (2530-2535)คือรุ่นที่ผมใช้อยู่ รุ่นแรกจะเป็นตัวนี้ ในไทยเรียกว่า "หน้ายักษ์"
รุ่นไมเนอร์เชนจ์ "หน้ายิ้ม" ครับ
รุ่นที่ 10 (2535-2541)เป็นรุ่นสุดท้ายในเมืองไทยครับ เปิดตัวด้วย "ท้ายโด่ง"
แล้วก็ไมเนอร์เชนจ์เป็นรุ่น "ท้ายแยก" และ Exsior แล้วสำหรับเมืองไทย ก็จบแค่นี้
แต่ในญี่ปุ่น ยังมี Corona ต่ออีกรุ่น คือ Corona Premio เป็นรุ่นที่ 11 และรุ่นสุดท้าย ก่อนจะเลิกการผลิตไป (2539-2544)
แล้วเราก็รุ่นที่ผมใช้ เป็น AT171 เป็นรุ่นที่ 9 ของตระกูล ในประเทศไทยถ้ารู้มาไม่ผิดก็เปิดตัวเมื่อปี 1989 ส่วนคันนี้บริษัทพ่อซื้อมาในปี 1990 ครับ คู่แข่งของเจ้าหน้ายักษ์ ก็จะมี Mitsubishi Galant กับ มี่Honda Accord CA ซึ่งผมรู้จักในฐานะรถ(นายเอกพล ในละคร 3 หนุ่ม 3 มุม...)
ต่อไปว่าด้วยรุ่นย่อย 5 รุ่น
-รุ่นล่าง คือ 1.6 XL AT171 เกียร์ธรรมดา 4 สปีด เครื่องคาร์บู 1.6 ลิตร หน้าต่างหมุนมือ กระจกมองข้างปรับมือ พวงมาลัยเพาเย่อร์
-ตามด้วย 1.6 GL AT171 เกียร์ธรรมดา 5 สปีด เครื่องคาร์บู 1.6 ลิตร หน้าต่างไฟฟ้า กระจกมองข้างปรับมือ พวงมาลัยเพาเย่อร์
-ตามด้วย 2.0 GL ST171 เกียร์ธรรมดา 5 สปีด เครื่องคาร์บู 2.0 ลิตร หน้าต่างไฟฟ้า กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า พวงมาลัยเพาเวอร์
-ตามด้วย 2.0 GL ST171 เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เครื่องคาร์บู 2.0 ลิตร หน้าต่างไฟฟ้า กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า พวงมาลัยเพาเวอร์
-และรุ่นท็อป คือ 2.0 GLi ST171 เป็นเกียร์ธรรมดา หัวฉีด 2.0 ลิตร เติมแก๊สโซฮอล์ได้ ดิสก์เบรก 4 ล้อ หน้าต่างไฟฟ้า กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า พวงมาลัยเพาเวอร์
รุ่นที่บริษัทซื้อไว้ คือ รุ่นท็อปของ 1.6 คือ 1.6 GL แต่ถ้าดูในตารางแล้ว จะเป็นรุ่นที่ 2 จากรุ่นล่างครับ
ภายนอก และภายในเรามาเริ่มจากภายนอก สโลแกนของโคโรน่า หน้ายักษ์ ลากยาวไปถึงเจ้าหน้ายิ้ม คือ ความงามที่ไร้เหลี่ยม แต่เปี่ยมด้วยพลัง ถ้าดูภาพรวมแล้ว รูปทรงรถยังไม่โค้งมนพอจะเป็นลิ่มลู่ลมได้ แต่มันก็ไม่มีเหลี่ยมจริงๆ ที่มุมต่างๆ ถูกขัดเหลี่ยมออกไป กลายเป็นความโค้งมนตลอดคัน ถ้าเทียบกับรถในช่วงนั้น ภายนอกล้ำสมัยมากครับ (เพื่อมุมมองสวยๆ ควรปรับหน้าจอให้กว้างอย่างน้อย 1440 px ครับ)
แต่พอพูดเรื่องออปชั่นภายนอก ลองนึกถึงยุคที่รถเกรดเดียวกับ Camry มีออปชั่นดังต่อไปนี้....
ล้อกระทะ 13 นิ้ว ยังดีที่มีฝาครอบมาให้ (ล้อแม็ก 14 มีเฉพาะเครื่อง 2.0) และยางสเปกมาตรฐานจากโรงงานของรุ่น 1.6 จะเป็น 175/70 SR13
กระจกมองข้างสีดำ ปรับ/พับมือ (ปรับไฟฟ้ามีเฉพาะใน 2.0 และไม่มีพับไฟฟ้า)
ไฟหน้า เป็นแบบฮาโลเจน เป็นระบบธรรมดา ไม่มีมัลติรีเฟลกเตอร์
เป็นธรรมดาที่รถที่เก่าจะมีออปชั่นไม่มากนักครับ ออปชั่นอย่างนี้ค่อนข้างน้อยเลยทีเดียว แต่ออปชั่นภายใน จัดว่าเยอะถูกใจเลยทีเดียวครับ
กุญแจ แยก 2 ดอก ดอกหนึ่ง พ่อไปทำกับร้านประดับยนต์ ใช้เปิดประตู พร้อมสลักเลขรุ่นปีไว้ในกุญแจอย่างภูมิฐานและคลาสสิก อีกดอกใช้สตาร์ท นอกจากนี้ยังมีระบบเซ็นทรัลล็อก เป็นของใหม่ที่ล้ำยุคพอสมควร
เปิดประตูออกมา พบที่เท้าแขนขวาขนาดใหญ่พร้อมสวิตช์ควบคุมกระจกหน้าต่างไฟฟ้าและเซ็นทรัลล็อก ซึ่งเหมือนกันตั้งแต่ 1.6GL จนถึง 2.0GLi เป็นที่เท้าแขนที่มีความสูงกำลังดีทีเดียวครับ แต่เสียนิดหน่อยคือด้านหน้ามันเชิดขึ้น น้ำหนักจึงลงมาที่ข้อศอกเยอะเกินไป แต่ก็ชดเชยด้วยวัสดุที่นุ่มนิ่มยุบตัวลงได้ ภาพรวม ผมถือว่าพอใช้ได้
ประตูหลัง การก้าวเข้า-ออก ไม่ลำบากเลยครับ ก้าวขึ้น-ลงสบ๊ายสบาย มีสวิทช์เปิด-ปิด หน้าต่าง ที่ออกจะกดยากไปนิด เพราะดันวางแบบตั้งฉาก ไม่เอียงเข้าหาผู้โดยสาร แต่ที่เท้าแขนนั้น ใช้เท้าข้อศอกได้ดี แต่ใช้เท้าแขนไม่ได้
มองเข้าไป จะพบเบาะหน้าสักหลาดดูภูมิฐาน มีที่ปรับดันหลังด้านคนขับ ซึ่งต้องชมอย่างยิ่งยวด ว่านั่งสบายมาก ทุกตำแหน่ง เวลานั่งลงจะเหมือนนั่งลงในเบาะ ไม่ใช่นั่งลงบนเบาะ ส่วนวัสดุหุ้มหัวเกียร์ และพวงมาลัย เดิมเป็นยูรีเธน แต่ตอนนี้หุ้มยางอีกทีครับ คุณตาตัวใหญ่ มือใหญ่ ต้องใช้ยางหุ้มไม่งั้นเล็กไปครับ กำไม่ถนัด (ที่ขายๆ กันทั่วไปยังไม่ใหญ่พอ)
ระหว่างเบาะคู่หน้า มีช่องเก็บของ (และที่เท้าแขน แต่ดูๆ ไปแล้วมันไม่ควรเรียกว่าที่เท้าแขนสักเท่าไรนัก เพราะมันเข้าข่าย ที่เท้าแขนอุรังอุตัง แบบใน Corolla Altis ไม่มีผิด มันเตี้ยมาก เหมือนที่เท้าแขนข้างประตู ใน Altis MinorChange จนไม่สามารถเท้าแขนได้จริง นอกจากจะนั่งขับรถเอียงๆ เหมือนท่าที่น้าแพนทำท่าขับรถในคลิป Altis 1.8G Minor Change เพียงแต่เอียงมาอีกข้าง) และใต้เบรกมือขนาดมินิ ก็มีช่องเก็บเล็กๆอีกช่อง
บนหน้าปัด มีไฟเตือนการเปิดประตู ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมถือว่าทันสมัยในช่วงนั้น และไม่มีใน EF ของแม่ผม ส่วนเกจ์วัดรอบกับความเร็ว ผมชอบตรงที่เข็มเล็ก ชี้ละเอียด และเป็นเข็มโปร่งแสง ไม่ใช่เข็มทึบสีขาว ใหญ่ๆ และที่สำคัญ ใต้ไมล์บอกระยะทางทั้งสองที่มีไฟส่องมาจากข้างหลังด้วย และตัวเลขที่แสดงก็จะโปร่งแสง ทำให้เห็นเลขระยะทางได้ชัดมากในยามกลางคืน ต่างจาก EF และทุกคันในบ้านผมเลยทีเดียว (บ้านผมยังไม่มีรถที่ใช้ไมล์ดิจิตอล) แต่ในขณะเดียวกัน สเกลมันดูรกหูรกตายังไงไม่รู้ ส่วนตัวอักษร ไม่รู้อ่ะครับ ผมคุ้นชินกับมันมาตั้งแต่เด็ก กับผมก็เลยอ่านไม่ยาก ท่านทั้งหลายคิดว่ายากไหมอ่ะครับ?
คอนโซลกลาง มีสวิทช์ควบคุมแอร์ (ที่ไม่มีปุ่ม A/C Off ต้องใช้การเลื่อนแถบแอร์ไปสุดฝั่งซ้าย) แบบเลื่อนอย่างเดียวตามสไตล์ และวิทยุเทป สเตอริโอ 4 ลำโพง ซึ่งถือว่าค่อนข้างเป็นออปชั่นที่หรูในยุคนั้น (ออปชั่นในรถระดับล่างกว่า คือ เทปสเตอริโอ 2 ลำโพงหน้า) ซึ่งตอนนี้ เล่นเทปไม่ได้แล้ว แต่คันนี้ผมอยากรักษาอุปกรณ์เดิมๆ ไว้ กำลังหาร้านที่ยังรับซ่อมเทปคาสเซทอยู่ครับ...
แต่เรื่องที่น่าติก็คือ สวิทช์ไฟฉุกเฉิน ไล่ฝ้ากระจกหลัง และช่องจ่ายไฟ ดันไปอยู่ฝั่งคนนั่ง ต้องเอื้อมมือไปโคตรไกลในการที่จะกดสวิทช์
ใต้พวงมาลัย มีช่องแอร์เล็กๆ ให้ช่องหนึ่งครับ
แต่ว่าในการขับขี่ ผมจะปิดแอร์ช่องนี้เอาไว้ เพราะเมื่อเปิดแอร์ช่องนี้เข้า ลมเย็นเฉียบๆมันไม่ได้เป่าขาครับ แต่มันเป่า...
เป่า...
...ซะเย็นเฉียบเลยครับ Ji.Cl. ขอพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ หล่อๆ แบบจอร์จ ทีวีไดเรคต์ว่า อ้า... อันเนื่องมาจากอุปกรณ์ของกระผมนั้น ยังมิเคยได้ออกปฏิบัติการจริง จึงต้องขอเก็บรักษามันไว้โดยการปิดช่องลมเครื่องปรับอากาศช่องนั้นไว้ก่อน เพื่อไม่ให้อุปกรณ์ดังกล่าวต้องเผชิญกับความหนาวเย็นจนเกินเหตุ
(กลับมาที่น้ำเสียงปกติ):
ล่างๆ ของคอนโซลแถมมีมินิตู้เย็นให้อีกครับ แต่หลักการทำงานไม่ใช่แบบตู้เย็นนะ มันแค่เป็น ห้องโพรงแอร์ ที่มีช่องให้แอร์เป่าเข้ามาช่วยให้ของเย็นได้ แต่ไม่เย็นเหมือนแช่ตู้เย็นจริงๆ
ที่นั่งด้านหลัง ก็เป็นสักหลาด พร้อมพนักเท้าแขนที่ดึงลงมาได้สวยงาม และตัวเบาะพับต่อเชื่อมกับกระโปรงหลังแบบ 60:40 แต่พับราบไม่ได้นะครับ ได้แค่นี้...
แต่ไม่ทราบว่าเข็มขัดนิรภัยแถวหลังมันแพงนักหรือครับถึงไม่มีมาให้ ขนาดรถที่โลว์เกรดกว่าบางคันยังให้เลย ซึ่งผมเช็คมาแล้วครับ รุ่นท็อปก็ไม่มี เป็นสิ่งที่น่าติไป
ผู้โดยสารหลังจะมีช่องเก็บของอยู่ครับ ติดอยู่ฝั่งหลังของเบาะหน้า ที่แอบทำจากไวนิลเป็นบริเวณเล็กๆ ซึ่งการให้เบาะกำมะหนี่มาเกือบเต็มขนาดนี้ในรถ 20 ปีก่อนถือว่าหรูครับ แม้แต่รุ่นท็อป 2.0GLi ที่ใช้เบาะกำมะหยี่ลายหรูกว่า แต่ที่เก็บของตรงนี้ก็ยังเป็นไวนิล และมันยังดีกว่าเจ้ารุ่นน้อง ท้ายโด่ง ท้ายแยก ที่ในรุ่น 1.6GLi ไวนิลเกิด การแพร่ กระจายไปครึ่งคัน
ต่อไป มาดูทัศนวิสัย เสา A ใหญ่นิดหน่อย แต่ก็ยังรู้สึกโปร่งครับ
แต่เสา C ใหญ่เกินไปมั้ง? แถมเอียงเข้ามาหาผู้ขับขี่อีก บังกระบะตอนครึ่งซะมิดเลย
กระจกหลัง จากการที่ท้ายมันโด่งขึ้นมาปิดทัศนวิสัยพอสมควร ทำให้กระจกหลังเล็กเกินไป เมื่อเทียบกับรถในช่วงนั้น แต่ถ้าเทียบกับรุ่นต่อๆ มาแล้ว ยังโปร่งกว่ามาก!!!!!!!
ท้ายรถ ใหญ่และดูบึกบึน สวยงามครับ (ไฟถอยอีก 2 ดวงข้างล่าง เป็น Hand-Made ของคุณตาครับ ของแต่งรถผมมีแค่นี้)
การขับขี่ต่อไป มาดูการขับขี่กันครับ คันเร่ง (กับเบรก) อันนี้ผมจะหยิบจับมาขับแต่ละทีต้องปรับตัวสักนิดก่อนจะชิน คือ ตื้นทั้งคันเร่งและเบรก ผมว่าตื้นเกินไปด้วยซ้ำแม้เทียบกับทุกคันที่ครอบครัวผมมี ทั้งๆ ที่เป็นรถญี่ปุ่นทั้งหมด ถ้าผมขับคันอื่นๆ มา แล้วมาขับคันนี้ ช่วงกิโลแรก จะมีรายการ "เร่งหัวหงาย" และ "เบรกหัวทิ่ม" ให้คนนั่งเปิดปากว่าผมเล่นๆ ก่อนจะปรับตัวได้ก็ใช้เวลาสักพัก แต่คลัทช์ พูดได้ว่า ดีมาก เบา และมีระยะจับ-ปล่อยที่ยาว ทำให้สามารถเปลี่ยนเกียร์โดยไม่กระตุกได้ง่าย (ยกเว้น คุณพยายามจะใช้เกียร์สูง กดรอบต่ำเกินไป ชนิดที่รอบอยู่แค่ 1200-1400 รอบ แล้วยังจะขึ้นเกียร์กดรอบอีก อันนี้รถจะกระตุกอย่างแรงเลยทีเดียว) แล้วมีที่พักเท้าสำหรับขับทางไกลอีก นี่ขนาดเกียร์ธรรมดานะ!
เกียร์ เป็นเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ถอยหลัง 1 สปีด ซึ่งโรงงานจงใจทำให้เอียงเข้าหาผู้ขับขี่มาจากโรงงาน ภาพที่เห็น เป็นเกียร์ว่างอยู่ครับ แม้จะดูไม่สมมาตร แต่ก็ถือว่าใช้ได้ดีครับ เข้าเกียร์ 1 กับ 2 ได้โดยไม่ไกลมือนัก
เกียร์อันนี้ เป็นเกียร์ที่มีความหลังอันงดงาม ระหว่างผม กับคุณตา ซึ่งท่านได้เสียไปแล้วครับ ตอนผมยังเด็กๆ ปี 2000 ตอนนั้นผมอยู่ ป.3 คุณตาเริ่มมองเห็นว่า ค่านิยมของคนรุ่นใหม่ มักไหลไปขับแต่เกียร์อัตโนมัติ บางคนถึงกับเหยียดหยามเกียร์ธรรมดา ไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก ไม่เรียนรู้ ไม่คิดขับเกียร์ธรรมดา แต่คุณตาคิดว่า ควรขับเกียร์ธรรมดาให้เป็น แล้วชีวิตจริงจะขับเกียร์อะไร ค่อยว่าอีกที ดังนั้น ต้องให้ผมเริ่มรู้จักเกียร์ธรรมดาให้ได้ก่อน
ว่าแล้วก็เริ่มจาก ให้ผมสังเกต ว่า ตำแหน่งของเกียร์ 5 เกียร์ อยู่ที่ไหนบ้าง (ซึ่งตำแหน่งเกียร์ธรรมดา เพื่อนผมบางคนไม่รู้จักด้วยซ้ำ บางคนหนักถึงขั้นไม่รู้จักแม้แต่ตัว S กับ L บนเกียร์ออโต้ของรถเขาเอง!) แล้วก็สอนการไล่เกียร์ตอนเร่งความเร็ว ตามด้วย การเลือกใช้เกียร์ที่เหมาะสม หลังจากเบรกลงมา ควรใช้เกียร์อะไร แล้วให้ผมลองบนถนนจริง! แต่ไม่ได้ให้ผมขับครับ เวลาตาเอารถไปใช้ ตาขับ แต่เวลาถึงจุดเปลี่ยนเกียร์ ตาจะเหยียบคลัตช์อย่างเดียว แล้วให้ผมเป็นคนยัดเกียร์ให้ครับ ซึ่งคุณตาจะคอยดูทุกครั้ง ถ้าผมยัดผิดตาก็จะมาเปลี่ยนเอง แล้วบอกผมว่า ผิดแล้ว ผมก็ชินกับเกียร์ธรรมดาตั้งแต่รถคันนี้ (แต่มองอีกมุม ให้เด็ก ป.3 ยัดเกียร์กลางถนน ตากล้ามาก!!!!)
โตขึ้นมา ผมหัดเกียร์ธรรมดา แค่การออกตัว กับการเลี้ยงคลัตช์ออกตัวบนที่ลาดชัน ก็จบเลยครับ ที่เหลือก็คือพวกการเปลี่ยนเลน การขับกลางเลน กฎจราจร ฯลฯ
เครื่องยนต์ของรถคันนี้ ให้แรงบิดที่รอบต่ำๆ ได้ดีครับ การเลี้ยงคลัทช์ออกตัวทำได้ง่าย แต่พอออกตัวไปแล้วนี่สิครับ ผมประหลาดใจกับพวงมาลัยของรถคันนี้มาก ระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนี่ยน พร้อมเพาเยอร์ (เพาเวอร์ มีในรุ่น 2.0 เท่านั้น) ซึ่งธรรมชาติของมันจะหนักที่ความเร็วต่ำ แล้วเบาที่ความเร็วสูง แต่เวลาวิ่งทางตรงมันเบาไปไหม? พอวิ่ง 70-80 ขึ้นไป พวงมาลัยเบามาก และแกว่ง แรงกระตุกจากมือเล็กน้อยทำให้พวงมาลัยแกว่งจนพ้นระยะฟรีจนรถเฉซ้ายเฉขวาอยู่เนืองๆ ส่วนระยะฟรี มี แต่ผมมองว่าเป็นเยอะไป (ในคู่มือ บอกว่าระยะฟรีที่ตั้งมาจากโรงงานคือข้างละ 30 มิลลิเมตร เวลาที่คุณจะเลี้ยวข้างหนึ่ง แล้วเลี้ยวไปอีกข้างต่อทันที ระยะฟรีขนาดนี้อาจทำให้งงกับการหมุนพวงมาลัยได้ ดังนั้น อย่าพูดถึงการทดสอบปล่อยพวงมาลัยที่ 150 เหมือนที่ผมเคยทดสอบใน EF ของแม่ผมเลย!
เวลาจะเลี้ยว แน่นอนว่าหนัก EF ของผมก็หนัก แต่กับเจ้านี่ เมื่อรวมกับอาการดื้อโค้ง (แม้ไม่มากนัก) และแรงฝืดอื่นๆ ในระบบบังคับเลี้ยวของรถขนาดตันหนึ่ง มันถาโถมเข้าใส่แขนผู้ขับขี่แบบไม่ปราณี ขนาดเปลี่ยนยางแล้วก็ยังหนัก ซึ่งผมสู้ไม่ได้นัก เวลาเห็นโค้ง ผมต้องสวมบทให้ตัวเองเป็น VSC โดยการแตะเบรกลดความเร็วก่อนเข้าครับ ดังนั้น ความสามารถในการอัดโค้ง ผมขอพูดถึงเท่าที่ผมเคยลองละกัน ว่ามันไม่ค่อยโยนนะ พอๆ กับ EF ครับ (คือจริงๆ แล้ว EF ถือว่าหนึบ และตึงตัง คล้ายๆ Lancer Champ แต่ยางที่ใช้ใน EF อยู่ตอนนี้ 175/70 R13 (แก้มยางหนา) และการที่โช๊คเก่าแล้ว อาจมีน้ำมันซึมๆ มาบ้าง เวลาเข้าโค้งมันยังโยนๆอยู่ ไม่มากนัก แต่ผมว่ารถที่ทางตรงหนึบขนาดนี้ เข้าโค้งควรจะโยนน้อยกว่านี้อ่ะครับ) ผมขอพูดเฉพาะการทรงตัวในความเร็วสูงนะครับ คนที่ต้องการเล่นมือสองรุ่นนี้ ผมแนะนำให้ไปติดเพาเวอร์เสีย หรือไม่ก็ให้ไปเล่นรุ่น 2.0 นะครับ
เบรก เป็นแบบมาตรฐาน หน้าดิสก์เบรก หลังดรัมเบรก ไม่มี ABS แต่เบรกทำหน้าที่ของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ