ถ้าพูดเหมารวมๆ รวมถึง Fiat (ที่เพิ่งกลับเข้าไปปีนี้) หรือ Renault (ไม่ได้ขายมายี่สิบปีแล้ว) ก็มาจากเหตุผลสองอย่างหลักๆ ครับ
1. USA มีกฎหมายเกี่ยวกับรถยนต์ต่างจากประเทศอื่นๆ ค่อนข้างมาก
- อันนี้ตัวอย่างที่ชัดก็คือกฎหมายมลพิษรัฐ California ที่ว่ากันว่า หนึ่งในที่ๆ โหดที่สุดในโลก
- หรือสอง ลองดูรูปสองอันนี้
อันนี้ W123 จาก USA
อันนี้ W123 จากที่อื่น
จุดที่ต่างคือ รถ US นั้น ใช้ไฟวงกลมแบบเปลี่ยนที ต้องเปลี่ยนทั้งโคม แถมยังแยก 1 หลอด 1 โคม โคมอีกด้วย แต่ W123 ในตลาดอื่นๆ ใช้โคมรวมธรรมดา เหตุผลคือ ก่อนปี 1983 รัฐบาล US มีกฎหมายว่า รถทุกคันใน USA จะต้องใช้ไฟแบบโคมกลม ปิดผนึก ห้ามถอดเท่านั้น (ผมจำขนาดไม่ได้) เรียกว่า seal-beam headlamp (กฎหมายนี้ น่าจะเริ่มในยุค 60)
ผลก็คือ การที่รถจากประเทศอื่น จะเข้าไปขายใน US ได้ จะต้องมีเงินทุนสูงมาก เพราะต้องแปลงรถให้เข้ากับกฎหมาย US ซึ่งไม่ค่อยจะเหมือนที่ไหนบนโลกใบนี้ ทำให้บริษัทเล็กๆ อย่าง Citroen ที่เริ่มมีปัญหาการเงินขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถทำตลาดได้ ผิดกับค่ายรถเยอรมัน หรือญี่ปุ่นที่มีเงินทุนเยอะกว่า และมุ่งมั่นมากกว่าในการเจาะตลาด US ครับ
ในกรณี Renault นั้น จริงๆ ช่วงปี 80 Renault เป็นพันธมิตรกับ American Motor (AMC) ทำตลาดรถบางรุ่น ผ่าน AMC-Jeep แต่หลังจากที่ Chrysler เข้าไปซื้อกิจการ AMC แล้วนั้น Renault ก็กลับบ้านครับ
อีกสาเหตุ
2. รสนิยมของคนอเมริกัน เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ มีความแตกต่างกันมากครับ
เอาง่ายๆ ในขณะที่คนยุโรปหลังยุค 1980 หันมาใช้รถ Hatchback กันเยอะ แต่คน US ยังติดรถ sedan อยู่ และขนาดรถและเครื่องยนต์ก็ต่างกันมาก เพราะยุโรปหลายๆ ประเทศ เช่น อิตาลี ถ้ารถยนต์เครื่องใหญ่เกิน 2.0 ภาษีจะแพงมาก แต่ที่ USA เครื่องยนต์ขนาด 2.4 เขาบอกว่าเล็ก เป็นต้น
ดังนั้นการที่ใครสักคนจะนำรถเข้าไปขายในอเมริกา จำเป็นจะต้องมีเงินทุนสูงมากๆ เพื่อที่จะสามารถทำรถรองรับตลาดอเมริกาโดยเฉพาะออกมา และต้องมีต้นทุนที่ต่ำกว่าอีกด้วย เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการพัฒนารถสเปคพิเศษ เป็นสาเหตุว่าทำไม ญี่ปุ่นกับเกาหลี ถึงประสบความสำเร็จในอเมริกา มากกว่ายุโรปครับ (นับเฉพาะรถบ้านๆ นะ เพราะกำไรต่อคันพวกนี้น้อย พวกยุโรปลดต้นทุนสู้เอเชียไม่ได้ เลยได้กำไรน้อยกว่า)