ผู้เขียน หัวข้อ: ซื้อสดVsซื้อเงินผ่อน  (อ่าน 18752 ครั้ง)

ออฟไลน์ redsun

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,101
Re: ซื้อสดVsซื้อเงินผ่อน
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: มกราคม 05, 2012, 04:44:46 »
ลองคำนวณ :

ออฟไลน์ Seatar

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 158
    • อีเมล์
Re: ซื้อสดVsซื้อเงินผ่อน
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: มกราคม 05, 2012, 06:56:48 »
ตั้งกระทู้นี้ได้ความรู้เยอะเลยครับ

ออฟไลน์ หงส์จำปา

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 54
Re: ซื้อสดVsซื้อเงินผ่อน
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: มกราคม 05, 2012, 08:09:14 »
แนวคิดคุณ Lecter the Ripper (เฉพาะกรณีเช่าซื้อเพื่อนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท)
ถ้าเป็นเจ้าของบริษัทที่ทำกำไรต่อปีได้ดีพอสมควร
วิธีนี้ถือเป็นการบริหารบัญชี เพื่อช่วยลดภาระภาษีเงินได้ของบริษัท
ถือเป็นหนทางที่ทุกบริษัทก็ทำกัน

แต่ผมข้อเสริมซักนิดนะครับ กับ กรณีที่พูดถึง เงินที่เหลืออยู่ในมือของเรา
กับการมองว่า กู้นานๆดี เพราะยิ่งนานยิ่งเป็นหนี้น้อยลงเพราะภาวะเงินเฟ้อ
ผมกังวลว่า ถ้าคนที่ไม่เข้าใจจริงๆ เอาแนวคิดนี้ไปใช้ สุดท้ายมันจะเข้าตัวครับ

1. คุณต้องมีวินัยทางการเงินเป็นอย่างมาก ต้องบริหารหนี้ที่มีอยู่อย่างแม่นยำ

2. คุณต้องห้ามลืมว่า เงินสดที่คุณมีอยู่ ไม่ใช่ของคุณ แต่เป็นหนี้ที่คุณได้
    ยืดการชำระออกไป เพื่อให้คุณได้มีโอกาส นำเงินก้อนนี้ไปต่อยอดได้
    ต้องห้ามนำไปใช้จ่ายอย่างอื่น ด้วยหลงคิดว่าเป็นเงินของตนเองโดยเด็ดขาด

3. การนำไปต่อยอด ย่อมมีความเสี่ยง ต้องมั่นใจว่า เงินก้อนนี้
    จะไปต่อยอดในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด และให้ผลตอบแทนที่แน่นอน
    มิเช่นนั้นจะกลายเป็นการไปสร้างหนี้ก้อนใหม่ ซ้ำเติมไปอีก

4. อย่าผ่อนทุกอย่างในชีวิต เพราะเมื่อวันที่คุณสะดุด
    ทุกอย่างมันจะล้มครืนลงมาพร้อมๆกัน
    มันจะหนักหนาสาหัส จนหาทางออกไม่ได้

5. การมองว่ากู้นานๆ ภาวะเงินเฟ้อจะช่วยให้หนี้คุณลดลง
    เราฉลาดเจ้าหนี้ขาดทุน เป็นแค่คำพูดในเชิงกลอุบายทางจิตวิทยา
    แต่จริงๆแล้ว หนี้มันไม่ได้ลดนะครับ หนี้ก็ส่วนหนี้
    เงินเฟ้อก็ส่วนเงินเฟ้อ สองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน
    หนี้ที่ก่อไว้ก็ยังเท่าเดิม แม้ว่าในอนาคตค่าครองชีพของเราจะสูงขึ้น
    แต่ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ไม่ได้แปลว่ารายได้เราจะสูงขึ้นตามไป
    ในอัตราส่วนที่เท่ากันนะครับ ดูง่ายๆ อย่างบ้านเราตอนนี้
    นโยบายค่าแรงขั้นต่ำของรัฐ ทำให้ราคาก๋วยเตี๋ยวชามนึง
    จาก 25-30 วิ่งไปอยู่ที่ 35-40 บาท ก็ราว 30-40%
    แล้วเงินเดือนท่านๆ ณ วันนี้ เพิ่มขึ้น 30-40% รึเปล่าครับ
    บางคนก็ยังเงินเดือนเท่าเดิม ไม่ขึ้นซักบาทซะด้วยซ้ำ
    ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ก็มีแต่จะค่อยๆลดลงตลอดเวลา เช่นกัน
    สมมุติว่าคุณเลือกผ่อนรถไว้ 5 ปี ตอนปี 2551
    อัตราดอกเบี้ย ณ วันนั้น กับวันนี้ ก็ต่างกันแล้วครับ
    แล้วไอ้ดอกเบี้ยที่เราคุยๆกันอยู่ มันเป็นแบบ flat rate ไม่ใช่ effective rate นะครับ
    จริงแล้วเราจ่ายสูงกว่านั้น ลองทำความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้ดูก่อน
    http://topicstock.pantip.com/home/topicstock/2011/06/R10641058/R10641058.html

ผมมีคนรู้จักหลายๆคน ที่เคยคิดแบบนี้ คิดว่าการกู้เงินเป็น smart choice
ส่วนใหญ่มักจบลงที่มีหนี้สินล้นตัว เนื่องด้วยอย่างที่บอกไปข้างต้นว่า
วิธีนี้จำเป็นต้องมีวินัยการเงินอย่างมาก รวมถึงต้องต่อยอดเงินที่มีอยู่ได้จริงๆ
ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่มีวินัยทางการเงิน เงินที่มีก็ไม่ได้เอาไปต่อยอด
แต่ชอบหลงคิดว่าเป็นของตนเองแล้วนำไปใช้จ่ายด้านอื่นๆ
คิดแต่ว่า หนี้สินในอนาคต ก็คือหนี้สินในอนาคต ยังไม่เกิดไม่มีตัวตน เป็นแค่อากาศ
กว่าจะรู้ตัว ก็สายเสียแล้ว

ผมแนะนำว่า ถ้าจะตัดสินใจเป็นหนี้เมื่อใด ก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไปอย่างระมัดระวังนะครับ
ชนชั้นระดับ Land Lord เค้าคงไม่ฉลาดน้อย จนออกกติกาที่ทำให้ตัวเองต้องเสียเปรียบหรอกครับ :)
เห็นด้วยครับกับคุณneo7s "ความไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ"
ผู้คนส่วนใหญ่ลืมคิดไปว่าตัวเขายังเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มีโอกาส เจ็บ ป่วย ตายได้  และถ้าตายไปหล่ะหนี้สินไปตกกับใครครับ ความตายไม่ได้แปลว่าคุณหรือทายาทคุณหมดหนี้นะครับ คิดผิดคิดใหม่ได้นะครับ การคิดแต่เรื่องโลดโผนในโลกเศรษฐกิจอย่างเดียว ทางพระเรียกว่า ขาดสติยั้งคิดครับ ถ้าการเงินยังไม่พร้อมก็ต้องลด ละ เลิก ความอยากครับ

ออฟไลน์ Korn Coconut

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 145
Re: ซื้อสดVsซื้อเงินผ่อน
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: มกราคม 05, 2012, 09:24:07 »
เป็นกระทู้ที่ดี  :)

ออฟไลน์ tookkoo

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 43
Re: ซื้อสดVsซื้อเงินผ่อน
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: มกราคม 05, 2012, 09:47:37 »
โอ้โฮ     ตอบโดน    ได้ใจผมไปเต็มๆ  เลยนะคุณ  neo7s

ออฟไลน์ swan

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 901
Re: ซื้อสดVsซื้อเงินผ่อน
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: มกราคม 05, 2012, 09:53:54 »
ได้ความรู้เยอะดีครั้บ ผมคนหนึงล่ะที่ต้องคิดแล้วคิดอีกหากจำเป็นต้องเป็นหนี้ ผมจะประมาณรายจ่ายทุกอย่าง รวมถึงหนี้สินที่ต้องชำระต่อเดือน แล้วมาคำนวณดูว่า หากผมต้องตกงานติดต่อกันหกเดือน และในช้วงนี้ไม่มีรายได้อื่นใดเข้ามาเลย หากผมคำนวณแล้วสามารถอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน นั่นแหละถึงจะยอมเป็นหนี้ เพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน


promt

  • บุคคลทั่วไป
Re: ซื้อสดVsซื้อเงินผ่อน
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: มกราคม 05, 2012, 10:49:55 »
แนวคิดคุณ Lecter the Ripper (เฉพาะกรณีเช่าซื้อเพื่อนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท)
ถ้าเป็นเจ้าของบริษัทที่ทำกำไรต่อปีได้ดีพอสมควร
วิธีนี้ถือเป็นการบริหารบัญชี เพื่อช่วยลดภาระภาษีเงินได้ของบริษัท
ถือเป็นหนทางที่ทุกบริษัทก็ทำกัน

แต่ผมข้อเสริมซักนิดนะครับ กับ กรณีที่พูดถึง เงินที่เหลืออยู่ในมือของเรา
กับการมองว่า กู้นานๆดี เพราะยิ่งนานยิ่งเป็นหนี้น้อยลงเพราะภาวะเงินเฟ้อ
ผมกังวลว่า ถ้าคนที่ไม่เข้าใจจริงๆ เอาแนวคิดนี้ไปใช้ สุดท้ายมันจะเข้าตัวครับ

1. คุณต้องมีวินัยทางการเงินเป็นอย่างมาก ต้องบริหารหนี้ที่มีอยู่อย่างแม่นยำ

2. คุณต้องห้ามลืมว่า เงินสดที่คุณมีอยู่ ไม่ใช่ของคุณ แต่เป็นหนี้ที่คุณได้
    ยืดการชำระออกไป เพื่อให้คุณได้มีโอกาส นำเงินก้อนนี้ไปต่อยอดได้
    ต้องห้ามนำไปใช้จ่ายอย่างอื่น ด้วยหลงคิดว่าเป็นเงินของตนเองโดยเด็ดขาด

3. การนำไปต่อยอด ย่อมมีความเสี่ยง ต้องมั่นใจว่า เงินก้อนนี้
    จะไปต่อยอดในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด และให้ผลตอบแทนที่แน่นอน
    มิเช่นนั้นจะกลายเป็นการไปสร้างหนี้ก้อนใหม่ ซ้ำเติมไปอีก

4. อย่าผ่อนทุกอย่างในชีวิต เพราะเมื่อวันที่คุณสะดุด
    ทุกอย่างมันจะล้มครืนลงมาพร้อมๆกัน
    มันจะหนักหนาสาหัส จนหาทางออกไม่ได้

5. การมองว่ากู้นานๆ ภาวะเงินเฟ้อจะช่วยให้หนี้คุณลดลง
    เราฉลาดเจ้าหนี้ขาดทุน เป็นแค่คำพูดในเชิงกลอุบายทางจิตวิทยา
    แต่จริงๆแล้ว หนี้มันไม่ได้ลดนะครับ หนี้ก็ส่วนหนี้
    เงินเฟ้อก็ส่วนเงินเฟ้อ สองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน
    หนี้ที่ก่อไว้ก็ยังเท่าเดิม แม้ว่าในอนาคตค่าครองชีพของเราจะสูงขึ้น
    แต่ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ไม่ได้แปลว่ารายได้เราจะสูงขึ้นตามไป
    ในอัตราส่วนที่เท่ากันนะครับ ดูง่ายๆ อย่างบ้านเราตอนนี้
    นโยบายค่าแรงขั้นต่ำของรัฐ ทำให้ราคาก๋วยเตี๋ยวชามนึง
    จาก 25-30 วิ่งไปอยู่ที่ 35-40 บาท ก็ราว 30-40%
    แล้วเงินเดือนท่านๆ ณ วันนี้ เพิ่มขึ้น 30-40% รึเปล่าครับ
    บางคนก็ยังเงินเดือนเท่าเดิม ไม่ขึ้นซักบาทซะด้วยซ้ำ
    ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ก็มีแต่จะค่อยๆลดลงตลอดเวลา เช่นกัน
    สมมุติว่าคุณเลือกผ่อนรถไว้ 5 ปี ตอนปี 2551
    อัตราดอกเบี้ย ณ วันนั้น กับวันนี้ ก็ต่างกันแล้วครับ
    แล้วไอ้ดอกเบี้ยที่เราคุยๆกันอยู่ มันเป็นแบบ flat rate ไม่ใช่ effective rate นะครับ
    จริงแล้วเราจ่ายสูงกว่านั้น ลองทำความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้ดูก่อน
    http://topicstock.pantip.com/home/topicstock/2011/06/R10641058/R10641058.html

ผมมีคนรู้จักหลายๆคน ที่เคยคิดแบบนี้ คิดว่าการกู้เงินเป็น smart choice
ส่วนใหญ่มักจบลงที่มีหนี้สินล้นตัว เนื่องด้วยอย่างที่บอกไปข้างต้นว่า
วิธีนี้จำเป็นต้องมีวินัยการเงินอย่างมาก รวมถึงต้องต่อยอดเงินที่มีอยู่ได้จริงๆ
ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่มีวินัยทางการเงิน เงินที่มีก็ไม่ได้เอาไปต่อยอด
แต่ชอบหลงคิดว่าเป็นของตนเองแล้วนำไปใช้จ่ายด้านอื่นๆ
คิดแต่ว่า หนี้สินในอนาคต ก็คือหนี้สินในอนาคต ยังไม่เกิดไม่มีตัวตน เป็นแค่อากาศ
กว่าจะรู้ตัว ก็สายเสียแล้ว

ผมแนะนำว่า ถ้าจะตัดสินใจเป็นหนี้เมื่อใด ก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไปอย่างระมัดระวังนะครับ
ชนชั้นระดับ Land Lord เค้าคงไม่ฉลาดน้อย จนออกกติกาที่ทำให้ตัวเองต้องเสียเปรียบหรอกครับ :)

เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับกับแนวคิด 5 ประการ ที่คนไทยส่วนใหญ่มองข้าม

เพิ่มให้เป็นข้อที่ 6
6. เราเองต้องสร้างครอบครัว ต้องจ่ายค่านม ค่าเทอมลูก ภาระค่าใช้จ่ายประจำตัวเราเอง ค่าภาษีสังคม
อย่าลืมครับ

ดูที่คนรอบๆ ตัวเราครับ จะรู้เองว่าเป็นอย่างไร
คนที่ซื้อบ้านเกินตัว คนที่ซื้อรถเกินกำลัง

สุดท้ายขายรถ ขายบ้าน

และไม่มีอะไรเหลือเลยตอนนี้

ออฟไลน์ simcity

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,372
Re: ซื้อสดVsซื้อเงินผ่อน
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: มกราคม 06, 2012, 01:55:07 »
ซื้อผ่อนสิครับ ถ้าดอกเบี้ยซื้อรถมันต่ำกว่า อัตราผลตอบแทนที่คุนคิดว่าจะเอาเงินก้อนที่เหลือไปทำอย่างอื่น

สมมุติ ดอกไฟแนนซ์2.5%แต่เงินฝากประจำ3% คุณก็ได้กำไรไปแล้วปีละ0.5% ถ้าไม่อยากคาราคาซังก็ผ่อนสั้นๆ

ผิดแล้วครับ. 2.5% เป็น flat rate จ่ายเต็มตลอดไม่มีการลดต้นลดดอก

เทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากแล้วคือคูณ 2 เท่ากับประมาณ 5 % ครับ

สรุป ขาดทุน 2 % ครับ

ตอบเจ้าของกระทู้ว่า สด หรือ ผ่อนดี

ขึ้นอยู่กับว่าเงินของคุณ สามารถเอาไปทำอย่างอื่นให้งอกเงยได้มากกว่าอัตราดอกเบี้ยมั้ย

สมมติว่าดอกเบี้ยรถ 2.5 % เท่ากับดอกแบงค์ 5 %

ถ้าคุณมีเงินเย็น เอาฝากแบงค์เฉยๆ กินดอก 3 % แบบนี้ซื้อสดโลด

แต่ถ้าคุณทำธุรกิจ แล้วเงินจำนวนนี้ มันสร้างรายได้ให้เรามากกว่า 5 % ต่อปี

แบบนี้ผ่อนดีกว่าครับ อย่าเอาเงินไปจม

หรือบางคนทำธุรกิจ ยังต้องกู้แบงค์ จ่ายดอก 7 % แบบนี้ไม่ควรซื้อสดแน่ๆ เพราะดอกเบี้ยรถถูกกว่า