ผู้เขียน หัวข้อ: เห็นตัวเลขอัตราทดในแต่ละรุ่น... มันคืออะไรเหรอครับ  (อ่าน 60088 ครั้ง)

ออฟไลน์ applebees

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 750
ไม่เข้าใจความหมายเลย ไม่ทราบพอจะอธิบายเป็นภาษาคนไร้ความเข้าใให้พอเห็นแสงสว่างได้ไหมครับ

เวลาเห็นว่าอัตราทด เกียร์เดินหน้า 1 2 ...

หรือเกียร์ถอยหลัง หรือเฟืองท้าย

ไม่เข้าใจเลยน่ะครับ

ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ Alcatraz

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,608
    • อีเมล์
สมมุติ เกียร์ 1 ทด 1.7 แปลว่าเครื่องต้องหมุน 1.7 รอบ เพื่อให้ล้อ หมุน1รอบ

        เกียร์ 5 ทด 0.5 ก็เครื่องหมุนไป .5 รอบเพื่อให้ล้อได้หมุน1รอบ

ออฟไลน์ LimitedEdition

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,410
อัตราทด นั่นคืออัตราทดของเกียร์แต่ละเกียร์ครับ

ลองนึกภาพก่อนว่า รถจะวิ่งได้ หมายความว่าเครื่องยนต์สร้างกำลัง
ส่งผ่านไปที่เกียร์ เกียร์ส่งผ่านไปที่เฟืองท้าย เฟืองท้ายไปหมุนเพลา เพลาไปหมุนล้อ

สมมติว่ารถคันนั้นมีเกียร์เดียว อัตราทด 1.000 ลืมเรื่องเฟืองท้ายไปก่อน แปลว่าเครื่องยนต์หมุน 1,000 รอบต่อนาที
ก็จะไปหมุนเฟืองเกียร์ 1,000 รอบต่อนาที ไปหมุนเฟืองท้าย 1,000 รอบต่อนาที ไปหมุนเพลา 1,000 รอบต่อนาที
และสุดท้ายไปหมุนล้อ 1,000 รอบต่อนาที แล้วความเร็วรถจะเป็นเท่าไหร่ล่ะ? ก็ต้องคำนวณเอาว่าล้อเส้นรอบวงเท่าไหร่
แล้วถ้าล้อหมุน 1,000 รอบต่อนาทีมันจะพาไปได้กี่กิโลเมตรใน 1 ชั่วโมง

ทีนี้ถ้ารถคันนั้นมีเกียร์เดียว ก็เร่งแว้ดเดียวถึงเรดไลน์แล้วเป็นความเร็วสูงสุด ไปต่อไม่ได้
ลองนึกภาพขับรถแล้วใส่เกียร์ 1 คาไว้ เร่งไปยังเรดไลน์ความเร็วก็ได้แค่แถวแถว 60 กม./ชม. เท่านั้น
อยากให้ไปได้เร็วกว่านั้น แต่ไม่อยากทำให้เครื่องหมุนทะลุเรดไลน์ กินน้ำมันมหาศาล จะทำอย่างไร?
คำตอบคือ ใส่เกียร์เพิ่ม รถถึงได้มีเกียร์ 1-2-3-4-5-6 อะไรก็ว่าไป

แล้วใส่เกียร์เพิ่มช่วยให้รถวิ่งเร็วขึ้นได้ยังไง? ก็ต้องใส่เกียร์ต่อต่อมาให้มีอัตราทดต่ำลงเช่น
เกียร์ 1 ที่เราสมมติกันไว้ว่าเป็น 3.000 เกียร์ 2 เป็น 2.400 เกียร์ 3 เป็น 1.700 เกียร์ 4 เป็น 1.000 เกียร์ 5 เป็น 0.880 เป็นต้น
ถ้าอ่านให้เป็นก็จะทราบว่า เกียร์ต้นต้นนี่ เครื่องยนต์ปั่นจี๋แต่ล้อหมุนไม่เร็วเท่าเครื่องยนต์ เป็นอย่างนั้นไปเรื่อยเรื่อยจนกระทั่ง
เกียร์ 4 ล้อจะหมุนเร็วเท่าเครื่องยนต์ และหลังจากนั้น ล้อจะหมุนเร็วกว่าเครื่องแล้ว เกียร์ 5 กับ 6 นี่แหละ ที่เรียกว่า Overdrive
ทำให้เราสามารถขับรถเดินทางไกล ความเร็วสูงได้ แต่รอบต่ำ เงียบสนิท ประหยัดน้ำมัน ไม่สึกหรอมาก แต่อย่าหวังอะไรกับอัตราเร่งแซง

ลองเข้าใจประมาณนี้ดูก่อนละกันนะครับ สงสัยอะไรถามเพิ่มเติมได้

ออฟไลน์ PREM

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,194
ขอถามต่อยอดหน่อยครับ

แล้วรถที่ทดเกียร์มาจัดๆ แต่เฟืองท้ายต่ำๆ (อย่าง Camry 2.0 ทดเกียร์ 4 มา 1.02 เฟืองท้าย 3.12)
เทียบกับรถที่ทดเกียร์ต่ำๆ แต่เฟืองท้ายจัด (รถส่วนใหญ่ ทดเกียร์ 4 แค่ 0.70 เฟืองท้าย 4.5)

มันจะมีความแตกต่างกันมั้ยครับ ด้านอัตราเร่งตีนต้น-ตีนปลาย คันที่เฟืองท้ายต่ำจะปลายไหลกว่ารึเปล่า? อัตราการกินน้ำมันจะต่างกันมั้ย
เพราะเอาอัตราทดเกียร์ x เฟืองท้ายก็ได้ออกมาเท่ากัน (สมมุติให้รถทั้งสองเหมือนกันนะครับ ต่างกันแค่เกียร์)


2014 Mazda CX-5 2.5 S
2016 Volvo XC60 D4 
2019 Honda Jazz RS+
2020 Volvo V60 T8 Inscription
2022 Mazda CX-30 SP

ออฟไลน์ applebees

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 750
อัตราทด นั่นคืออัตราทดของเกียร์แต่ละเกียร์ครับ

ลองนึกภาพก่อนว่า รถจะวิ่งได้ หมายความว่าเครื่องยนต์สร้างกำลัง
ส่งผ่านไปที่เกียร์ เกียร์ส่งผ่านไปที่เฟืองท้าย เฟืองท้ายไปหมุนเพลา เพลาไปหมุนล้อ

สมมติว่ารถคันนั้นมีเกียร์เดียว อัตราทด 1.000 ลืมเรื่องเฟืองท้ายไปก่อน แปลว่าเครื่องยนต์หมุน 1,000 รอบต่อนาที
ก็จะไปหมุนเฟืองเกียร์ 1,000 รอบต่อนาที ไปหมุนเฟืองท้าย 1,000 รอบต่อนาที ไปหมุนเพลา 1,000 รอบต่อนาที
และสุดท้ายไปหมุนล้อ 1,000 รอบต่อนาที แล้วความเร็วรถจะเป็นเท่าไหร่ล่ะ? ก็ต้องคำนวณเอาว่าล้อเส้นรอบวงเท่าไหร่
แล้วถ้าล้อหมุน 1,000 รอบต่อนาทีมันจะพาไปได้กี่กิโลเมตรใน 1 ชั่วโมง

ทีนี้ถ้ารถคันนั้นมีเกียร์เดียว ก็เร่งแว้ดเดียวถึงเรดไลน์แล้วเป็นความเร็วสูงสุด ไปต่อไม่ได้
ลองนึกภาพขับรถแล้วใส่เกียร์ 1 คาไว้ เร่งไปยังเรดไลน์ความเร็วก็ได้แค่แถวแถว 60 กม./ชม. เท่านั้น
อยากให้ไปได้เร็วกว่านั้น แต่ไม่อยากทำให้เครื่องหมุนทะลุเรดไลน์ กินน้ำมันมหาศาล จะทำอย่างไร?
คำตอบคือ ใส่เกียร์เพิ่ม รถถึงได้มีเกียร์ 1-2-3-4-5-6 อะไรก็ว่าไป

แล้วใส่เกียร์เพิ่มช่วยให้รถวิ่งเร็วขึ้นได้ยังไง? ก็ต้องใส่เกียร์ต่อต่อมาให้มีอัตราทดต่ำลงเช่น
เกียร์ 1 ที่เราสมมติกันไว้ว่าเป็น 3.000 เกียร์ 2 เป็น 2.400 เกียร์ 3 เป็น 1.700 เกียร์ 4 เป็น 1.000 เกียร์ 5 เป็น 0.880 เป็นต้น
ถ้าอ่านให้เป็นก็จะทราบว่า เกียร์ต้นต้นนี่ เครื่องยนต์ปั่นจี๋แต่ล้อหมุนไม่เร็วเท่าเครื่องยนต์ เป็นอย่างนั้นไปเรื่อยเรื่อยจนกระทั่ง
เกียร์ 4 ล้อจะหมุนเร็วเท่าเครื่องยนต์ และหลังจากนั้น ล้อจะหมุนเร็วกว่าเครื่องแล้ว เกียร์ 5 กับ 6 นี่แหละ ที่เรียกว่า Overdrive
ทำให้เราสามารถขับรถเดินทางไกล ความเร็วสูงได้ แต่รอบต่ำ เงียบสนิท ประหยัดน้ำมัน ไม่สึกหรอมาก แต่อย่าหวังอะไรกับอัตราเร่งแซง

ลองเข้าใจประมาณนี้ดูก่อนละกันนะครับ สงสัยอะไรถามเพิ่มเติมได้


โอเคเข้าใจขั้นแรกแล้วครับ สอนต่อได้เลยครับ อิอิ

ต่อไปก็จะมีเฟืองท้ายเข้ามาเกี่ยวใช่ไหมครับ...

ออฟไลน์ NINENOI

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,732
  • Nine & Knight
ขอบคุณครับคุณเนย ได้ความรู้ขึ้นมาเลยก่อนหน้านี้ผมเข้าใจแบบพื้นๆเทียบกับเกียร์ของจักรยานเอา เหลือเฟืองท้ายเช่นกันครับยังไม่เข้าใจ
ถ้าเราซื้อของที่ไม่จำเป็น สุดท้ายเราต้องขายของที่จำเป็น

ออฟไลน์ ch>.<

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 102
อัตราทด นั่นคืออัตราทดของเกียร์แต่ละเกียร์ครับ

ลองนึกภาพก่อนว่า รถจะวิ่งได้ หมายความว่าเครื่องยนต์สร้างกำลัง
ส่งผ่านไปที่เกียร์ เกียร์ส่งผ่านไปที่เฟืองท้าย เฟืองท้ายไปหมุนเพลา เพลาไปหมุนล้อ

สมมติว่ารถคันนั้นมีเกียร์เดียว อัตราทด 1.000 ลืมเรื่องเฟืองท้ายไปก่อน แปลว่าเครื่องยนต์หมุน 1,000 รอบต่อนาที
ก็จะไปหมุนเฟืองเกียร์ 1,000 รอบต่อนาที ไปหมุนเฟืองท้าย 1,000 รอบต่อนาที ไปหมุนเพลา 1,000 รอบต่อนาที
และสุดท้ายไปหมุนล้อ 1,000 รอบต่อนาที แล้วความเร็วรถจะเป็นเท่าไหร่ล่ะ? ก็ต้องคำนวณเอาว่าล้อเส้นรอบวงเท่าไหร่
แล้วถ้าล้อหมุน 1,000 รอบต่อนาทีมันจะพาไปได้กี่กิโลเมตรใน 1 ชั่วโมง

ทีนี้ถ้ารถคันนั้นมีเกียร์เดียว ก็เร่งแว้ดเดียวถึงเรดไลน์แล้วเป็นความเร็วสูงสุด ไปต่อไม่ได้
ลองนึกภาพขับรถแล้วใส่เกียร์ 1 คาไว้ เร่งไปยังเรดไลน์ความเร็วก็ได้แค่แถวแถว 60 กม./ชม. เท่านั้น
อยากให้ไปได้เร็วกว่านั้น แต่ไม่อยากทำให้เครื่องหมุนทะลุเรดไลน์ กินน้ำมันมหาศาล จะทำอย่างไร?
คำตอบคือ ใส่เกียร์เพิ่ม รถถึงได้มีเกียร์ 1-2-3-4-5-6 อะไรก็ว่าไป

แล้วใส่เกียร์เพิ่มช่วยให้รถวิ่งเร็วขึ้นได้ยังไง? ก็ต้องใส่เกียร์ต่อต่อมาให้มีอัตราทดต่ำลงเช่น
เกียร์ 1 ที่เราสมมติกันไว้ว่าเป็น 3.000 เกียร์ 2 เป็น 2.400 เกียร์ 3 เป็น 1.700 เกียร์ 4 เป็น 1.000 เกียร์ 5 เป็น 0.880 เป็นต้น
ถ้าอ่านให้เป็นก็จะทราบว่า เกียร์ต้นต้นนี่ เครื่องยนต์ปั่นจี๋แต่ล้อหมุนไม่เร็วเท่าเครื่องยนต์ เป็นอย่างนั้นไปเรื่อยเรื่อยจนกระทั่ง
เกียร์ 4 ล้อจะหมุนเร็วเท่าเครื่องยนต์ และหลังจากนั้น ล้อจะหมุนเร็วกว่าเครื่องแล้ว เกียร์ 5 กับ 6 นี่แหละ ที่เรียกว่า Overdrive
ทำให้เราสามารถขับรถเดินทางไกล ความเร็วสูงได้ แต่รอบต่ำ เงียบสนิท ประหยัดน้ำมัน ไม่สึกหรอมาก แต่อย่าหวังอะไรกับอัตราเร่งแซง

ลองเข้าใจประมาณนี้ดูก่อนละกันนะครับ สงสัยอะไรถามเพิ่มเติมได้


แจ่มมากครับ ขอบคุณครับ
ขออนุญาติถามเพิ่มนิดหน่อยอย่างที่พี่สมมติ เกียร์ 1 เป็น 3.000 นี้ถ้าเครื่องยนต์เดิน 1000 รอบต่อนาที ล้อจะหมุนแค่ 333.33 รอบแบบนี้เลยรึเปล่าครับ

ถ้าเป็นไปได้มีอย่างนึงที่ผมเห็นในห้อง USER Reviews เห็นพูดถึงการ kick down เวลาเร่งแซงกันบ่อยๆช่วยขยายความทีได้ไหมครับว่ามันหมายถึงอะไร ทำอย่างไรส่งผลอย่างไรกับรถยนต์  รบกวนหน่อยนะครับ  :)

ออฟไลน์ LimitedEdition

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,410
แวะมาต่อ ก่อนเข้านอนครับ ตอนนี้เที่ยงคืนพอดีที่ฟิลาเดลเฟีย

ขอเขียน Disclaimer ไว้ก่อนว่า หลังจากจุดนี้ไป เป็นความเข้าใจของผมเองล้วนล้วน
ไม่ได้ไปอ่านจากทฤษฎีมาแบบที่ตอบไปช่วงแรกนะครับ ผิดถูกอย่างไร คิดเห็นอย่างไร ถกกันได้ครับ

พูดถึงเรื่องเฟืองท้าย ผมเข้าใจว่ามันมีขึ้นมาเพราะมีปัจจัยอยู่สองประเด็น

1. รถสมัยก่อนขับเคลื่อนล้อหลัง เครื่องวางตามยาวด้านหน้า เกียร์ก็วางตามยาวต่อจากเครื่องมา
เพลาที่ออกจากท้ายเกียร์ ก็เป็นเพลากลางไหลไปตามความยาวของรถ ทีนี้พอมันจะไปหมุนล้อ
มันก็ต้องเปลี่ยนทิศทางไปหมุนเพลาที่ต่อมาจากล้อแทน ก็อาศัยเฟืองท้าย ที่เรียกกันว่า เฟืองดอกจั่น
มาเปลี่ยนทิศทางจากเพลากลาง ให้ไปออกเพลาที่ล้อทั้งสองข้างแทน

และเพราะเฟืองท้ายมันอยู่ที่ท้ายรถ เราก็เลยเรียกติดปากกันว่าเฟืองท้าย เฟืองท้าย
ทั้งทั้งที่รถขับหน้า ขับสี่ อะไรก็มีเฟืองท้ายทั้งนั้น เพราะจริงจริงแล้วมันคือ Final Gear
หรือเฟืองส่งกำลังตัวสุดท้ายก่อนลงไปถึงล้อ

2. ถ้าจะให้เฟืองเกียร์กลายเป็นเฟืองขับเคลื่อนเลย แสดงว่าเฟืองเกียร์จะต้องมีขนาดเล็กมากมาก
รถถึงจะแล่นไปได้เร็ว พอเฟืองเล็กมาก ความเปราะก็ตามมา เพราะต้องเข้าใจก่อนว่า ฟันเฟืองแต่ละซี่
มีหน้าที่ส่งแรงขับเคลื่อนจากเคลื่อนยนต์ ไปหมุนล้อ พารถหนักเป็นตันไปข้างหน้า ถ้าเฟืองเล็กมากก็คงแตกซะก่อนครับ
ถ้าใครเคยรองแกะเฟืองท้ายดู จะพบว่าขนาดมันใหญ่โตมโหฬารเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยน้อยก็ประมาณจานข้าวใบใหญ่ได้ครับ

วิธีคิดคำนวณความเร็วการหมุนของล้อ ในกรณีมีเฟืองท้ายเพิ่มเข้ามาก็ไม่มีอะไรมาก
จากตัวอย่างเดิมที่เราบอกกันไว้ว่า เกียร์ 4 สมมติอัตราทด 1.000 แสดงว่าเครื่องยนต์หมุน 1000 รอบ/นาที ล้อหมุน 1000 รอบ/นาที
พอมีเฟืองท้ายเข้ามาคั่นกลาง สมมติว่าอัตราทด 4.000 ก็แสดงว่าเครื่องยนต์หมุน 1000 รอบ/นาที ที่เกียร์ 4 ล้อหมุนแค่ 400 รอบ/นาที
ดังนั้นเวลาคิด ก็เอาอัตราทดมาคูณกันได้เลย เช่น ตัวอย่างเดิมที่เกียร์ 1 ณ รอบเครื่องยนต์ 1000 รอบ/นาที ล้อจะหมุนอยู่ที่ความเร็วรอบ
1000 / 3.000 / 4.000 = 83.33 รอบ/นาที ทีนี้ขนาดล้อและยางมีเส้นรอบวงเท่าไหร่ เอาไปคำนวณต่อเป็นหน่วยกิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ครับ

 
ขอถามต่อยอดหน่อยครับ

แล้วรถที่ทดเกียร์มาจัดๆ แต่เฟืองท้ายต่ำๆ (อย่าง Camry 2.0 ทดเกียร์ 4 มา 1.02 เฟืองท้าย 3.12)
เทียบกับรถที่ทดเกียร์ต่ำๆ แต่เฟืองท้ายจัด (รถส่วนใหญ่ ทดเกียร์ 4 แค่ 0.70 เฟืองท้าย 4.5)

มันจะมีความแตกต่างกันมั้ยครับ ด้านอัตราเร่งตีนต้น-ตีนปลาย คันที่เฟืองท้ายต่ำจะปลายไหลกว่ารึเปล่า? อัตราการกินน้ำมันจะต่างกันมั้ย
เพราะเอาอัตราทดเกียร์ x เฟืองท้ายก็ได้ออกมาเท่ากัน (สมมุติให้รถทั้งสองเหมือนกันนะครับ ต่างกันแค่เกียร์)


ไม่มีผลครับ ถ้าอัตราส่วนคูณมาได้เท่ากัน ก็รอบเครื่องยนต์เท่ากัน
พอรอบเท่ากัน แรงบิดและแรงม้าก็เท่ากันหมด เพราะตัวอย่างที่ยกมาต่างกันนิดเดียวเองครับ
แต่ถ้าเราลองไปนึกถึงเกียร์และเฟืองท้าย W123 เมื่อก่อน ที่อัตราทดต่ำจัดเลย เกียร์ก็ทดมาห่าง
ขับแล้วในเมืองไม่ค่อยมีแรง ไม่ปรู๊ดปร๊าด แต่พอความเร็วลอยลำแล้ว รอบเครื่องยนต์อยู่ในช่วง power band พอดี
คราวนี้ปลายไหลมาเทมา ผมว่าข้อนี้หลายท่านคงจะเคยเจอกับตัวเองมาบ้างล่ะ พวกเบนซ์ 220 ทั้งหลายที่ดูอุ้ยอ้ายในเมือง
พอออกต่างจังหวัด ช่วง 120-180 กม./ชม. นี่ไหลเป็นน้ำประปาท่อแตกเลย เพราะทดไว้ต่ำต่ำเนี่ยแหละ


แจ่มมากครับ ขอบคุณครับ
ขออนุญาติถามเพิ่มนิดหน่อยอย่างที่พี่สมมติ เกียร์ 1 เป็น 3.000 นี้ถ้าเครื่องยนต์เดิน 1000 รอบต่อนาที ล้อจะหมุนแค่ 333.33 รอบแบบนี้เลยรึเปล่าครับ

ถ้าเป็นไปได้มีอย่างนึงที่ผมเห็นในห้อง USER Reviews เห็นพูดถึงการ kick down เวลาเร่งแซงกันบ่อยๆช่วยขยายความทีได้ไหมครับว่ามันหมายถึงอะไร ทำอย่างไรส่งผลอย่างไรกับรถยนต์  รบกวนหน่อยนะครับ  :)

เข้าใจถูกแล้วครับ

ส่วนเรื่อง Kick-down มันเป็นวิธีที่เอาไว้ใช้กับรถเกียร์อัตโนมัติครับ
เวลาเราต้องการลดตำแหน่งเกียร์ลง เพื่อเร่งแซง ถ้าเป็นรถเกียร์ธรรมดาเราจะติดคำว่า เชนจ์เกียร์ กัน
(ซึ่งที่ถูกต้องเรียกว่า Shift-down เพราะถ้าบอกว่า เชนจ์เกียร์ (Change gear) ก็เท่ากับว่าเปลี่ยนเกียร์เฉยเฉย เปลี่ยนไปไหนก็ได้)
ถ้าเป็นรถเกียร์ออโต้ เราจะกดปุ่ม O/D ก็ได้ (ถ้าวิ่งอยู่เกียร์สูงสุด), เลื่อนคันเกียร์ก็ได้, เข้าโหมดบวกลบก็ได้, คลิกที่พวงมาลัยก็ได้
หรือถ้าจะสะดวกกว่านั้น ก็ใช้วิธี Kick-down คือ ตบคันเร่งลงไปประมาณครึ่งนึงอย่างรวดเร็ว กล่องจะสั่งให้เปลี่ยนเกียร์ลงทันที 1 ตำแหน่ง
และถ้าอยากเรียกอัตราเร่งแบบเค้นสุดกำลัง ก็ Kick-down ตบจนสุดเลย รถรุ่นเก่าเก่าจะมีสวิทช์ Kick-down แบบ hardcore ติดอยู่ที่ตำแหน่งจมสุดของคันเร่ง
มาแนวนี้ กล่องไม่ต้องประมวลผลให้มากเรื่อง เหมือนถูกกดปุ่มสั่งการ เกียร์ตบลง 2 ตำแหน่งทันทีครับ

ขับรถเกียร์ออโต้ต้องเรียนรู้การคุมน้ำหนักเท้าที่คันเร่งครับ ถ้าเล่นเป็นจะรู้จังหวะกับมันได้ดี
ขยับเท้าให้มันเปลี่ยนเกียร์ขึ้น รอบจะได้ไม่สูง เพิ่มน้ำหนักให้มันทำ Kick-down หนึ่งจังหวะ สองจังหวะ
พอทำได้คล่องแล้ว มือแทบจะไม่ต้องไปยุ่งกับสารพัดปุ่มและโหมดที่ทำออกมาไว้หลอกเด็กเลย

ออฟไลน์ MC Stradale

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,520
เก็บความรู้ครับ

ออฟไลน์ ch>.<

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 102
หรือถ้าจะสะดวกกว่านั้น ก็ใช้วิธี Kick-down คือ ตบคันเร่งลงไปประมาณครึ่งนึงอย่างรวดเร็ว กล่องจะสั่งให้เปลี่ยนเกียร์ลงทันที 1 ตำแหน่ง

ขอบคุณมากครับ
สงสัยเพิ่มนิดหน่อยครับ คือเปลี่ยนเกียร์ลงทันที 1 ตำแหน่ง นี้หมายถึงอัตราทดที่ลดลง 1 ตำแหน่งใช่ไหมครับ ไม่ใช่จากเกียร์ 4 ไปเกียร์ 3
คือจากด้านบนผมเข้าใจว่าเกียร์ยิ่งต่ำอัตราทดยิ่งมากรถจะไปได้ช้า เกียร์สูงๆอัตราทดจะน้อย รถจะไปได้เร็วขึ้น


inkirby

  • บุคคลทั่วไป
สงสัยเพิ่มนิดหน่อยครับ คือเปลี่ยนเกียร์ลงทันที 1 ตำแหน่ง นี้หมายถึงอัตราทดที่ลดลง 1 ตำแหน่งใช่ไหมครับ ไม่ใช่จากเกียร์ 4 ไปเกียร์ 3
คือจากด้านบนผมเข้าใจว่าเกียร์ยิ่งต่ำอัตราทดยิ่งมากรถจะไปได้ช้า เกียร์สูงๆอัตราทดจะน้อย รถจะไปได้เร็วขึ้น

Kick-down 1 ตำแหน่งคือถ้าเปลี่ยนจากเกียร์ 4 จะไปเกียร์ 3 ครับ
อธิบายแบบนี้ครับ : เกียร์ 4 มีความเร็วสูงสุดมากกว่าเกียร์ 3 นั้นจริงครับ คือเกียร์ 4 อัตราทดต่ำว่าเกียร์ 3
แต่เนื่องจากว่าอัตราทดต่ำว่านั่นแหละครับ ทำให้ความเร็วจะขึ้นอย่างช้าๆ

คิดง่ายๆ ว่าเกียร์ต่ำ (อัตราทดสูง) อย่างเกียร์ 1, 2 นี่ความเร็วขึ้นไวมากครับ แต่ก็ขึ้นได้นิดเดียวก็ถึงขีดแดงแล้ว
แต่เกียร์สูง (อัตราทดต่ำ) อย่างเกียร์ 4, 5 นี่ ความเร็วจะขึ้นช้าครับ แต่ขึ้นได้เยอะมาก จนในที่สุดก็จะเร็วกว่าเกียร์ต่ำครับ
ถ้าเอารถเกียร์ 1 มาวิ่งแข่งกับรถเกียร์ 5 โดยที่อย่างอื่นเหมือนกันหมด
ออกตัวปุ๊บ รถเกียร์ 1 ทิ้งขาดเลยครับ แต่ก็จะถึงความเร็วสูงสุดของเกียร์เร็วมาก (สมมติว่า 50 km/h)
รถเกียร์ 5 นี่เร่งไม่ขึ้นครับ แต่เร่งเรื่อยๆ ความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนแซงรถเกียร์ 1 เพราะความเร็วสูงกว่าครับ (สมมติสัก 150 km/h)

สรุปคือเกียร์ต่ำ อัตราเร่งดี แต่ความเร็วสูงสุดจะน้อย ส่วนเกียร์สูง อัตราเร่งไม่ค่อยมี แต่ความเร็วสูงสุดจะมากครับ
นี่เลยเป็นเหตุผลว่า ทำไมรถถึงมีหลายเกียร์ คือเพื่อให้ออกตัวได้เร็ว และวิ่งได้ความเร็วมากๆ ครับ
(รวมถึงเกียร์สูงเครื่องจะร้อนน้อยกว่าเกียร์ต่ำที่ความเร็วเท่ากัน เพราะรอบเครื่องต่ำกว่าครับ)

//ความเข้าใจผมเองล้วนๆ

ออฟไลน์ ch>.<

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 102
[
Kick-down 1 ตำแหน่งคือถ้าเปลี่ยนจากเกียร์ 4 จะไปเกียร์ 3 ครับ
อธิบายแบบนี้ครับ : เกียร์ 4 มีความเร็วสูงสุดมากกว่าเกียร์ 3 นั้นจริงครับ คือเกียร์ 4 อัตราทดต่ำว่าเกียร์ 3
แต่เนื่องจากว่าอัตราทดต่ำว่านั่นแหละครับ ทำให้ความเร็วจะขึ้นอย่างช้าๆ

คิดง่ายๆ ว่าเกียร์ต่ำ (อัตราทดสูง) อย่างเกียร์ 1, 2 นี่ความเร็วขึ้นไวมากครับ แต่ก็ขึ้นได้นิดเดียวก็ถึงขีดแดงแล้ว
แต่เกียร์สูง (อัตราทดต่ำ) อย่างเกียร์ 4, 5 นี่ ความเร็วจะขึ้นช้าครับ แต่ขึ้นได้เยอะมาก จนในที่สุดก็จะเร็วกว่าเกียร์ต่ำครับ
ถ้าเอารถเกียร์ 1 มาวิ่งแข่งกับรถเกียร์ 5 โดยที่อย่างอื่นเหมือนกันหมด
ออกตัวปุ๊บ รถเกียร์ 1 ทิ้งขาดเลยครับ แต่ก็จะถึงความเร็วสูงสุดของเกียร์เร็วมาก (สมมติว่า 50 km/h)
รถเกียร์ 5 นี่เร่งไม่ขึ้นครับ แต่เร่งเรื่อยๆ ความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนแซงรถเกียร์ 1 เพราะความเร็วสูงกว่าครับ (สมมติสัก 150 km/h)

สรุปคือเกียร์ต่ำ อัตราเร่งดี แต่ความเร็วสูงสุดจะน้อย ส่วนเกียร์สูง อัตราเร่งไม่ค่อยมี แต่ความเร็วสูงสุดจะมากครับ
นี่เลยเป็นเหตุผลว่า ทำไมรถถึงมีหลายเกียร์ คือเพื่อให้ออกตัวได้เร็ว และวิ่งได้ความเร็วมากๆ ครับ
(รวมถึงเกียร์สูงเครื่องจะร้อนน้อยกว่าเกียร์ต่ำที่ความเร็วเท่ากัน เพราะรอบเครื่องต่ำกว่าครับ)

//ความเข้าใจผมเองล้วนๆ


CLEAR!! ขอบคุณครับ  :)