เกี่ยวเต็มๆ เนื้อๆ เน้นๆ เลยครับเพราะอะไรเรามาดูกัน
ในขณะที่เครื่องยนต์ติดเครื่องจะวิ่งหรือจอดอยู่เฉยๆก็ตามระบบไฟฟ้าในรถทั้งหมดจะได้จากแหล่งพลังงานซึ่งก็คือ
ไดชาร์จ (ภาษาชาวบ้าน) ภาษาวิชาการเรียกว่า Alternator หรือ Generator และตัว Alternator หลักการทำงานสำหรับ
สร้างกระแสไฟฟ้าก็คือ การหมุนขดลวด(rotor) ตัดสนามแม่เหล็ก(stator) แล้วเอาอะไรมาหมุน ก็กำลังเครื่องยนต์ไงครับ
โดยส่งกำลังผ่านสายพานที่มาปั่นพูลเลย์ไดชาร์จ(Alternator) นั่นเอง นั่นคือ Alternator ต้องกินกำลังเครื่องยนต์โดยตรงเพื่อ
มาผลิตไฟฟ้าๆ ที่ได้ก็จะเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ ต้องเอามาผ่านวงจร เรคติไฟเออร์ด้วยไดโอดอีกทีให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรง ขนาด
๑๒ โวลท์ จึงจะสามารถใช้ในรถได้อีกทีเรียกว่าเป็นการจ่าย load ทางไฟฟ้านั่นเอง แล้วมันจะกินกำลังเครื่องตอนไหน
อย่าลืมว่าหลักการๆกำเนิดไฟฟ้าในที่นี้คือ การหมุนขดลวดตัดสนามแม่เหล็ก ในขณะที่เครื่องยนต์กำลังปั่นไฟใช้ในรถนั่นเอง
จะมีแรงเคลื่อนไฟฟ้าเกิดขึ้นมาพร้อมกันอีกทางหนึ่งจากการที่ หมุนขดลวดตัดสนามแม่เหล็กในขณะจ่าย load
ซึ่งเราเรียกมันว่า back EMF (Electro Motive Force) แต่ว่า back EMF ที่เกิดขึ้นนี้จะมีทิศทางการหมุนของสนามแม่เหล็กสวนทาง
กับการหมุนของการผลิตไฟ พูดง่ายๆก็คือเกิดแรงต้านขึ้นของการหมุนเพลาไดชาร์จ และแรงนี้จะมากขึ้นเมื่อใช้ load มากขึ้นนั่นเอง
คือทำให้เครื่องยนต์ใช้แรงมากขึ้นในการหมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เครื่องก็กินน้ำมันมากขึ้นเพื่อเอาแรงไปหมุนให้ชนะ back EMF
กำลังของเครื่องก็ตกลงแทนที่จะเอาไปขับเพลาให้รถวิ่ง ยิ่งโหลดมากขึ้นเท่าไหร่ (ใช้ไฟในรถมากขึ้น) สนามแม่เหล็กที่วิ่งสวนทางก็มากขึ้นทุกที
เปรียบเสมือนคนแบกของขึ้นเขาย่อมต้องออกแรงหนักมากเพื่อเอาชนะแรงโน้มถ่วง แต่ถ้าบนหลังเราเพิ่มก้อนอิฐให้มากขึ้นทีละก้อนๆ
คนแบกก็ต้องออกแรงมากขึ้นทุกทีๆ
เคยเห็นตามไซท์งานที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ในการเชื่อมไม๊แล้วเขาใช้เครื่องปั่นไฟมาเชื่อมไฟฟ้า เวลาที่ลวดเชื่อทำงานเครื่องปั่นไฟจะหมุนแท่ดๆๆ หรือแทบดับเครื่องนั่นล่ะแบบเดียวกัน