ผู้เขียน หัวข้อ: เกจ์วัดโวลท์ (Volt Meter) จำเป็นมั้ยครับ .... เราจะรู้ได้ยังไง ว่าแบตจะหมดเมื่อไหร่  (อ่าน 54998 ครั้ง)

ออฟไลน์ YenChar

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,179
อยากทราบความเห็นครับ
ผมว่า ผมจะติดเกจ์วัดโวลท์ หรือที่เค้าเรียกกันว่า Volt Meter
กับรถที่บ้าน ทั้ง 3 คันเลย

เพราะทุกวันนี้ มีปัญหามากๆครับกับโรงจอดรถที่บ้าน
หากคันที่อยู่นอกสุดแบตหมด คัันที่สอง คันที่สามก็จะออกไม่ได้ (จอดเรียงกัน)
อีกประเด็นคือ ถ้าเราขับออก ตจว. แล้วจู่ๆ แบตเสื่อม ดับเครื่องแล้วสตาร์สไม่ติด
กลัวจะมีปัญหา
ถึงแม้ว่า ผมจะจดบันทึกไว้ตลอดว่ารถเปลี่ยนแบตเมื่อไหร่ และจะเปลี่ยนทันทีที่ครบ 2 ปี
แต่ก็ยังมีบ้าง ที่ใช้ได้ 1 ปี 10เดือน แล้วแบตเสื่อม หรือ 1 ปีนิดๆ ก็หมดสภาพซะแล้ว

ผมเลยมีความเห็นว่า จะเอาไปติดเกจ์วัดโวลท์ซะ จะได้รู้ ว่าแบตมีปัญหาหรือไม่ จะเสื่อมเมื่อไหร่
มันช่วยได้มากน้อยแค่ไหนครับ?? มีใครทำบ้างครับ??
มันจะมีข้อดีข้อเสียยังไงบ้างครับ

ออฟไลน์ youngbear

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,333
 ;D ;D ;D........อาการแบตเริ่มเสื่อม :-
-  สตาร์ทผิดปกติ  จากเดิมเพียงหนึ่งครั้งก็ติด  เป็นสตาร์ทอ่อนแรงต้องสตาร์ท 2-3 ครั้งจึงติดเครื่องได้
-  ซื้อ mutimeter ( 150-300 บาท )ติดโรงรถไว้วัดโวลท์ พอช่วยได้ครับ  วัดไฟแบตดูเองเมื่อเกิดสงสัยได้ทุกเวลา  โดยใช้เกณฑ์นี้ :-
             จอดค้างคืน เช้าก่อนสตาร์ท วัดได้   13 - 14 v สภาพแบต  80 - 90 %
             สตาร์ทอ่อนแรงผิดปกติ    จะวัดได้   10 - 12 v ...............  60 - 70 % ควรตรวจเติมน้ำกลั่นก่อนช๊าจไฟ  8 - 10 ช.ม.(low)
             สตาร์ทไม่อยากจะหมุนแล้ว   วัดได้ต่ำกว่า  9 v ...............ต่ำกว่า50 % ต้องเปลี่ยนแบตใหม่
-  หากไม่ต้องการทำตามข้างต้น  ก็ติด volt meter ที่ร้านประดับยนต์ได้เลยครับ  แต่สิ่งที่คุณจะได้จาก meter ก็เพียงรับรู้ว่า ขณะเครื่องยนต์
   ติดอยู่นั้น  alternator กำลังช๊าจไฟเข้าแบตในขณะนั้น ช๊าจอยู่กี่โวลท์หรือกี่แอมแปร์เท่านั้นเองครับ  จะไม่บอกว่าแบตเก็บประจุไฟที่แท้
   จริง  ซึ่งคุณก็ยังหนีปัญหาเดิมไม่ได้ที่ว่า คันหน้าแบตหมด คันหลังก็ยังวุ่นเช่นเดิมครับ  8)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 13, 2012, 17:38:41 โดย youngbear »

ออฟไลน์ YIM

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,015
  • ไม่น่ารัก เราไม่มอง!!
    • อีเมล์
อยากรู้วิธีวัดด้วย multimeter อ่ะครับ ว่ามันต้องจี้ตรงไหน อะไรยังไง ขอบคุณครับ
JDM เท่านั้น จะครองโลก!

ออฟไลน์ 6162002

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,089
อยากรู้วิธีวัดด้วย multimeter อ่ะครับ ว่ามันต้องจี้ตรงไหน อะไรยังไง ขอบคุณครับ
ก็จี้คร่อมขั้ว + - ธรรมดาเลยครับ รถรุ่นเก่าๆสายไฟมันจะเห็นชัดๆ ก็แทงๆลงไปได้แน่นอน แต่รุ่นใหม่ไม่แน่ใจว่ามันมีอะไรปิดรึเปล่า แต่จี้ไปได้เลยครับ
 
ผมเคยทำ เพราะพอดีเจ้าไมตี้เอ็ก มันต้องไปปรับกล่อง Regulator หรืออะไรไม่รู้ ที่เป็นตัวบังคับว่าจะให้มันชาร์จไฟเข้ากี่โวลต์ขณะเครื่องยนต์ทำงาน (ต่ำไปลมแอร์เบา  ถ้าสูงไป น้ำกลั่นในแบตที่เติมไว้เยอะหน่อย มันจะเดือดล้นออกมา ไปโดนสายไฟหน้าขาดอ่ะครับ เซ็งเลย)   เลยต้องติดเครื่อง ต่อโวลต์มิเตอร์แล้วค่อยๆปรับไปอ่ะครับ

ส่วนไอ่ที่ติดในรถ ผมว่าไม่ค่อยจำเป็นครับ เพราะมันวัดตอนเราติดเครื่องแล้ว มันเป็นแรงดันของตัวชาร์จ ซึ่งอยู่แถวๆ 14 โวลต์อยู่แล้วอ่ะครับ

ส่วนจะรู้ว่าแบตหมดรึเปล่า โดยส่วนตัวเข้าใจว่าต้องวัดเป็น แอมป์ ออกมาครับ ใช้โหลดค่านึง วัดตอนซื้อครั้งแรก ได้เท่าไรก็จำไว้
ถ้าหลังๆวัดแล้วมันต่ำกว่าตอนแรกลงมาเหลือซัก 70% ก็ต้องสังเกตุอาการตอนสตาร์ทดีๆแล้วครับ (ขึ้นอยู่กับว่าใส่แบตไปใหญ่แค่ไหน เทียบกับขนาดเครื่องอ่ะครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 14, 2012, 00:45:30 โดย 6162002 »

ออฟไลน์ MomantuM

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 189
ใช้แบต GS รุ่นที่มี plus ตามท้ายก็ไดครับ มันจะมีรูดูไฟแบตอยู่ ผมใช้กับรถอุตสาหกรรมหลายคันเลย
แต่ถ้าเป็น forklift ที่สตาร์ทบ่อยๆใช้งานน้อยๆ (จัหวะชาร์ตไฟคืนหม้อน้อย) ก็เสียเร็วทุุกลูกครับ

ออฟไลน์ 6162002

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,089
ใช้แบต GS รุ่นที่มี plus ตามท้ายก็ไดครับ มันจะมีรูดูไฟแบตอยู่ ผมใช้กับรถอุตสาหกรรมหลายคันเลย
แต่ถ้าเป็น forklift ที่สตาร์ทบ่อยๆใช้งานน้อยๆ (จัหวะชาร์ตไฟคืนหม้อน้อย) ก็เสียเร็วทุุกลูกครับ
ราคาแพงกว่ารุ่นปกติเยอะไหมครับ อยากได้บ้าง >_<

ออฟไลน์ MomantuM

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 189
ราคาเท่าลูกปรกติครับ แล้วเกทวัดไฟ(เรียกว่าช่องส่องไฟดีกว่า)มันก็ไม่ๆด้ละเอียดครับ
แสดงแค่ 3 สถานะ คือสีฟ้าไฟเต็ม สีขาวไฟอ่อน สีดำหรือไม่มีสีไม่มีไฟ มันสะดวกมากเวลาใช้เยอะๆครับ

ออฟไลน์ niamo

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 15
    • อีเมล์
แบตของ GS รุ่น Maintenance Free ที่มีช่องให้ดูไฟสถานะของ Batt

ผมเคยใช้อยู่ครั้งนึงครับ จน Batt หมดรถตาย Start ไม่ติด ก็เห็นมันเป็น

สีน้ำเงิน(ไฟเต็ม) อยู่ตลอด เลยไม่คิดจะใช้อีกเลยครับ

ออฟไลน์ mckyparty

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 748
    • อีเมล์
จำเปนรึเป่าไม่รู้แต่ พี่เบ้นซ์ก้อมีมาให้เปนอุปกรณ์มาตรฐาน

เมื่อก่อนก้อติดครับ เกจ์นู่นนี่ เป็นเครื่องบินเลย แต่พอเปลี่ยนรถใหม่ ยังไม่อยากให้มีอะไรมาเกะกะ คอยลุ้นเอา ตื่นเต้นดี 5555
จริงๆผมใช้ multimeter จิ้มๆเอา ได้หลายคันด้วยครับ

ออฟไลน์ power2002

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 689
  • ประหยัดได้ด้วยเท้าตัวเอง!
เอาจริงๆ  ใช้มัลติมิเตอร์วัด ก็ยังไม่ได้ผลครับ   มัลติมิเตอร์ใช้แค่ให้รู้ว่ามีไฟอยู่กี่ V เท่านั้นครับ  ไม่สามารถบอกได้ว่า แบตฯเสื่อมหรือไม่ครับ

เครื่องมือที่จะใช้ทดสอบว่าเสื่อมหรือไม่นั้นต้องเป็นเครื่องมือเฉพาะครับ จะสามารถวัดแบตฯแต่ละรุ่นแต่ละขนาดได้ครับ ว่าสภาพยังพอที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ไหวหรือไม่

หรือ ถ้าจะวัดแบบพอได้ ก็ไปซื้อเครื่องตรวจ ถพ.  (ความถ่วงจำเพาะ)ที่ศึกษาภัณฑ์ มาวัดครับ แต่ก็จะได้แค่รู้ว่าแต่ละเซลส์มีค่าเป็นกรดอยู่เท่าไหร่

และไม่สามารถใช้กับแบตฯพวก dry cell ได้ครับ 


แบตฯเรื่องเสื่อมลองสังเกตุอาการง่ายๆ  นะครับ       ถ้ามีอาการตามนี้ แล้วไม่อยากลุ้นก็เปลี่ยนแบตฯซะนะครับ
- วิ่งระยะทางยาวๆ  จอดรถ ดับเครื่อง ไม่เกิน 10 นาที แล้วสตาร์ท จะไม่มีแรงสตาร์ท    ---  อันนี้รอให้แบตฯเย็น แล้วค่อยสตาร์ทอีกครั้งโดยปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าของรถให้หมดทุกชิ้น จะสามารถสตาร์ทแล้วไปต่อได้

- แบตฯ มีแรงสตาร์ทบ้าง ไม่ค่อยมีแรงบ้าง   ฮึ้ด -เงียบ  ,  ฮึ้ด - ชึ่ง   อันนี้ ก็ใกล้จะลาโลก



ช่วงนี้อากาศร้อน  เช็คแบตฯ กันด้วยนะครับ เพราะเป็นช่วงที่เราใช้ไฟฟ้ากับระบบปรับอากาศมากที่สุด แบตฯจะจ่ายไฟมากเกินปกติ 
ถ้าเป็นแบตฯแบบเติมน้ำกลั่น (รวมแบบmaintainance free ด้วยนะครับ) ต้องหมั่นเปิดจุกเติมน้ำกลั่นเสมอครับ




อุปกรณ์วัดโวลท์ -- ผมมองเป็นอุปกรณ์ ที่ทำให้เรารู้ว่า ระบบไฟฟ้า เรายังใช้งานได้อยู่ตามปกติหรือไม่ก็เท่านั้นเองครับ   ต้องผู้เชี่ยวชาญและใช้มันประจำถึงจะได้ใช้ประโยชน์จากมันจริงๆ ครับ  ;)

ออฟไลน์ nudragon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,871
  • MT Mania!!
ผมพกมัลติมิเตอร์ไว้ในกล่องเครื่องมือประจำรถครับ

ออฟไลน์ tarapaca

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 5
จำเป็นหรือเปล่า ผมว่าอาจจะไม่จำเป็น แต่ถ้ามีก็ดี คล้ายๆกับเข็มวัดความร้อนในรถบางรุ่นนั่นล่ะครับ ประโยชน์ของมันจะเป็นตัวบอกประจุไฟในแบ็ต (ก่อนสตาร์ท) รวมไปถึงแรงดันไฟที่ชาร์จเข้าแบ็ต (หลังสตาร์ทรถแล้ว) ที่จะคาดการณ์ได้ถึงการทำงานของไดชาร์จ  สายพาน ได้ครับ

ออฟไลน์ diow_1991

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 938
    • อีเมล์
รถผมติดเครื่องเสียง ชอบฟังเพลงเวลาดับเครื่องยนต์ด้วย ก็เลยซื้อมาใส่

แบบเสียบที่จุดบุหรี่ครับ ติดง่่ายแค่เสียบตัวเลขก็ขึ้นละ อันละ 380 บาท

popdemonic

  • บุคคลทั่วไป
สำหรับผมไม่จำเป็นครับ

ออฟไลน์ YenChar

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,179
ขอบคุณสำหรับทุกๆความเห็นครับ

ได้ความรู้มากมายจริงๆ

ออฟไลน์ nekoyaki

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 283
ความเสื่อมของแบตจำได้เลา ๆ ว่า จะต้องวัดค่า CCA ประกอบด้วย ...

ขออนุญาตยกมาจาก http://www.aveo-club.com/forum/index.php?topic=17071.0 ครับ

อ้างถึง
การตรวจเช็คกำลังไฟของแบตเตอรี่รถยนต์

การวัดค่าต่างๆ ในตัวแบตเตอรี่มีหลายค่าที่ต้องวัดเพื่อทราบ ถึงประสิทธิภาพของการทำงานของแบตเตอรี่ นอกเหนือจากการวัดค่าแรงดันไฟ Volatage no-load แล้วค่าอื่นๆ ก็มีความสำคัญเช่นกัน แต่ถ้าจะมาจำเพาะเจาะจงถึงเรื่องกำลังไฟสำหรับการติดหรือการสตาร์ทเครื่องยนต์ สิ่งที่สามารถบอกถึงประสิทธิภาพในเรื่องนี้คือ การวัดค่า CCA (Cool Cranking Ampere) ซึ่งบางท่านเข้าใจว่าวัดโวลต์แล้ว จะทราบ กระแสไฟ นั้นถูกต้องแต่ มัน .....ไม้ช่าย......ตัวเดียวกันครับ

ซึ่งถ้าไปเช็คตามร้านทั่วไปที่ไม่มีเครื่องมือพิเศษ ก็อาจจะบอกว่าแบตเสื่อมหรือไม่ก็จะจับแบตไปทำการ recharge ถ้าหลังจากชาร์จแล้ว ยังเหมือนเดิมก็แสดงว่า แบตเสื่อมสภาพ
แต่ในปัจจุบัน มีเครื่องมือพิเศษเป็นอุปกรณ์ทีใช้ในการวัดประสิทธิภาพของแผ่นธาตุในแบตเตอรี่ ว่ายังมีสภาพพร้อมที่จะทำปฎิกิริยากับน้ำกรดเพื่อสร้างกระแสไฟ ให้เกิดค่ากำลังไฟครับ
แบบฝรั่งว่าไว้คือ
What is Cold Cranking Ampere (CCA) Rating?
The Cold Cranking Ampere (CCA) rating is the industry rating that measures the cranking power a battery has available to start an engine at 0&ordm; F. The Battery Council International defines it as the number of amperes a lead acid battery at 0&ordm; F can deliver for 30 seconds and maintain at least 1.2 volts per cell.
สรุปแบบให้คนไทยรู้เรื่องคือ
นิยาม CCA (cold cranking amp) คือ ค่ากระแสไฟสูงสุดที่แบตลูกนั้นๆ สามารถจ่ายกระแสออกมาได้ในช่วงที่มีการสตาร์ทรถ ช่วงสั้นๆ 5-10 วินาที
ซึ่งค่า cca ของแบต แต่ละรุ่นนั้นมีค่ามาตรฐานที่แตกต่างกัน แต่ทุกยี่ห้อจะต้องมีค่าไม่ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ตามระบบสากล
เช่น แบตรุ่น ปิกอัพ ขนาด 70 แอมป์ หรือท้องตลาดจะเรียกว่า รุ่น 70 z นั้น ตามระบบสากลเรียกรุ่นนี้ว่า รุ่น 75D 31 ซึ่งมีค่ามาตรฐาน cca ต้องไม่ต่ำกว่า 440 แอมป์ ซึ่งถ้าใช้อุปกรณ์วัดค่า cca แล้วพบว่า ต่ำกว่ามาตรฐาน อย่างน้อย 20% เครื่องจะเตือนและแจ้งว่า ควรที่จะเปลี่ยนแบตใหม่ได้แล้ว
เพราะมิฉะนั้นท่านอาจจะพบเหตุ แบตหมดได้ในวันใดวันหนึ่ง ดังนั้นจะเห็นว่า ค่าโวลท์ หรือ ค่า ถ.พ.น้ำกรดนั้น มิได้เป็นตัวบอกว่าแบตลูกนั้นจะใช้งานได้ดีหรือไม่เสมอไป

เพราะมีหลายท่านอาจจะพบว่า นำแบตไปชาร์จจนโวลท์เต็ม ขนาด 12.6-12.8 โวลท์แล้ว แต่ทำไมยังไม่สามารถสตาร์ทรถติดได้ นั้นก็ เพราะแผ่นธาตุนั้นเสื่อมแล้ว ไม่สามารถสร้างกระแสไฟได้
หรือบางทีเราลืมเปิดไฟหรื่ค้างคืนไว้ พอเช้ามาสตาร์ทรถไม่ติด ถ้าไปเข็คตามร้านทั้วไป อาจจะบอกว่าแบตหมด เสื่อมแล้ว เพราะเขาวัด แต่เฉพาะโวลท์ของแบต ไม่สามารถวัดค่า cca ได้
ซึ่งถ้าใช้เครื่องวัดเครื่องจะแจ้งว่า good recharge หมายถึง สภาพแผ่นธาตุยังคงใช้งานได้แต่ค่าโวลท์นั้นต่ำลง (เพราะเราลิมเปิดไฟค้างคืนไว้) ถ้าเรานำไป recharge ใหม่ก็จะใช้งานได้ดังเดิม
การวัดค่าต่างๆ ในตัวแบตเตอรี่มีหลายค่า ที่ต้องวัดเพื่อทราบถึงประสิทธิภาพของ การทำงานของแบตเตอรี่ นอกเหนือจากการวัดค่าแรงดันไฟ Volatage no-load แล้วค่าอื่นๆ ก็มีความสำคัญเช่นกัน
แต่ถ้าจะมาจำเพาะเจาะจงถึงเรื่องกำลังไฟสำหรับการติดหรือการสตาร์ทเครื่องยนต์ (รวมทั้งการชดเชยกำลังไฟที่ระบบต้องการในช่วงสั้นๆ) สิ่งที่สามารถบอกถึงประสิทธิภาพในเรื่องนี้คือ การวัดค่า CCA (Cool Cranking Ampere)
เมื่อค่าที่วัดได้ เปรียบเทียบกับค่าที่ระบุจากแบตเตอรี่ และจากผู้ผลิตรถยนต์ ไม่ตรงกัน อาจก่อปัญหาได้ เช่นถ้าค่าที่วัดได้ต่ำกว่าที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดให้ใช้ อาจทำให้แบตเตอรี่ไม่มีกำลังพอที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ ซึ่งเหตุการณ์เกิดได้บ่อยกับรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่เป็นเวลานาน(หรือ บางค่ายรถนิยมเอาแบต Recycle มาใส่ให้ในรถใหม่ป้ายแดง) และไม่มีการ ตรวจเช็คอย่างถูกต้อง พอใช้ไปไม่นานก็ทำให้ต้องขอพ่วงไฟเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์จารถคันอื่นๆ

ตรวจเช็ครถยนต์ครั้งต่อไป อย่าลืมให้ช่างเช็คค่า CCA ของแบตเตอรี่เพื่อความสะดวก ปลอดภัยในการใช้รถยนต์(เราควรบันทึกค่า CCA ของแบตลูกนั้นเป็นประวัติด้วย มันจะลดค่าลงเรื่อยๆ ครับ)

ออฟไลน์ nutpich

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 22
เท่าที่อ่านมา ถ้าจะติดเกจ์วัดไฟ ท่านน่าจะเหมาะกับตัวนี้
http://www.overclockzone.com/forums/showthread.php/1694794

สะดวก ง่าย รวดเร็ว ราคาถูก ติดตั้งได้ด้วยตัวเอง ถอดแล้วไปเสียบอีกคันก็วัดค่าได้แล้ว
เป็น ดิจิตอลด้วย

ปล.ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับผู้ขายนะ

ออฟไลน์ pockethifi

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 5
    • wutthichai.com
    • อีเมล์
ผมว่าถ้ารถเก่าแล้วเร่ิมจำเป็นครับ จะได้รู้ตัวล่วงหน้า

สมัยขับรถคันเก่า อายุรถเกือบสิบปี เปลี่ยนแบตไปหลายรอบแล้ว
ช่วงอายุรถประมาณ 6หรือ 7 ปีขึ้นไปแบตจะเสื่อมเร็วกว่าปกติ
เท่าที่จำได้มักไม่ถึงสองปีครับ  ถ้าให้เดา ก็เดาว่าชิ้นส่วนหลายชิ้นกินไฟมากขึ้น แบตเลยเสื่อมเร็วขึ้น
ถ้าติดมิเตอร์วัดไฟจะได้รู้ว่าแบตเสื่อมหรึอยัง จะได้ไม่ต้องไปพ่วงสตาร์ทให้เสียเวลา

ถ้าติดเครื่องเสียงเยอะหน่อย(แอมป์สองตัว)
เวลาฟังเพลงเดิมๆแล้วเสียงมันแปลกๆ ไม่หวาน ไม่ไพเราะเหมือนเดิม
ตรวจน้ำกรดในแบตจะพบว่าระดับน้ำกรดลดต่ำกว่าขีดล่างเสมอ
อธิบายไม่ได้ว่าทำไมแต่ผมสังเกตุว่าพอมันมันเป็นแบบนี้  สักสามถึงสี่เดือนต่อมาแบตก็จะเสื่อมจนต้องเปลี่ยน
เคยมีความคิดจะติดโวลท์มิเตอร์เช่นกัน แต่ก็ลืมๆไปเพราะไม่ว่างไปทำ 

ออฟไลน์ mckyparty

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 748
    • อีเมล์
เอาจริงๆ  ใช้มัลติมิเตอร์วัด ก็ยังไม่ได้ผลครับ   มัลติมิเตอร์ใช้แค่ให้รู้ว่ามีไฟอยู่กี่ V เท่านั้นครับ  ไม่สามารถบอกได้ว่า แบตฯเสื่อมหรือไม่ครับ

เครื่องมือที่จะใช้ทดสอบว่าเสื่อมหรือไม่นั้นต้องเป็นเครื่องมือเฉพาะครับ จะสามารถวัดแบตฯแต่ละรุ่นแต่ละขนาดได้ครับ ว่าสภาพยังพอที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ไหวหรือไม่

หรือ ถ้าจะวัดแบบพอได้ ก็ไปซื้อเครื่องตรวจ ถพ.  (ความถ่วงจำเพาะ)ที่ศึกษาภัณฑ์ มาวัดครับ แต่ก็จะได้แค่รู้ว่าแต่ละเซลส์มีค่าเป็นกรดอยู่เท่าไหร่

และไม่สามารถใช้กับแบตฯพวก dry cell ได้ครับ 


แบตฯเรื่องเสื่อมลองสังเกตุอาการง่ายๆ  นะครับ       ถ้ามีอาการตามนี้ แล้วไม่อยากลุ้นก็เปลี่ยนแบตฯซะนะครับ
- วิ่งระยะทางยาวๆ  จอดรถ ดับเครื่อง ไม่เกิน 10 นาที แล้วสตาร์ท จะไม่มีแรงสตาร์ท    ---  อันนี้รอให้แบตฯเย็น แล้วค่อยสตาร์ทอีกครั้งโดยปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าของรถให้หมดทุกชิ้น จะสามารถสตาร์ทแล้วไปต่อได้

- แบตฯ มีแรงสตาร์ทบ้าง ไม่ค่อยมีแรงบ้าง   ฮึ้ด -เงียบ  ,  ฮึ้ด - ชึ่ง   อันนี้ ก็ใกล้จะลาโลก



ช่วงนี้อากาศร้อน  เช็คแบตฯ กันด้วยนะครับ เพราะเป็นช่วงที่เราใช้ไฟฟ้ากับระบบปรับอากาศมากที่สุด แบตฯจะจ่ายไฟมากเกินปกติ 
ถ้าเป็นแบตฯแบบเติมน้ำกลั่น (รวมแบบmaintainance free ด้วยนะครับ) ต้องหมั่นเปิดจุกเติมน้ำกลั่นเสมอครับ




อุปกรณ์วัดโวลท์ -- ผมมองเป็นอุปกรณ์ ที่ทำให้เรารู้ว่า ระบบไฟฟ้า เรายังใช้งานได้อยู่ตามปกติหรือไม่ก็เท่านั้นเองครับ   ต้องผู้เชี่ยวชาญและใช้มันประจำถึงจะได้ใช้ประโยชน์จากมันจริงๆ ครับ  ;)

ถ้าตอบตามนี้ ไม่ผิด แต่ไม่ถูกทีเดียวนะครับ การใช้งานจริงกับการเอาหลักวิชาการมาโชว์เท่ๆแต่ใช้งานจริงลำบากเหลือเกิน มันน่าคิดครับ
เราสามารถใช้ อะไรก้อได้ที่วัดโวลท์ได้ เช็คการเสื่อมของแบตได้ครับ ไม่งั้นจะมีไว้ทำแมวอะไรครับพี่น้อง
เช็คง่ายๆครับ
-ตอนรถจอดยังไม่สตาร์ทเครื่อง วัดไฟ อาจจะอยู่ที่ 11-12-13v ได้ในหลายๆกรณี ช่างมัน แบบนี้ยังดูไม่ออกครับ ว่าแบตเริ่มไปรึยัง
-เริ่มบิดกุญแจสตาร์ท มีการดึงไฟจากแบตไป ตรงนี้คือจุดสำคัญครับ เกจ์ตกแน่ครับ แต่จะตกเท่าไร อันนี้จะเป็นตัวบอกสุขภาพแบตท่านครับ อย่างก่อนแบตจะกลับบ้านเก่า พอบิดกุญแจเหลือมาที่ 1-3v ก้อมีครับ แต่พอเราไม่สตาร์ทต่อ คือพอแล้ว มันเด้งไป 12v เหมือนจะหลอกเราให้ตายใจครับ ถ้าตามปกติ แบตยังสุขภาพดี มันจะลดลงไม่มากครับ
-พอเครื่องติด ไฟนิ่งที่ 13-14v ถ้านิ่งก้อเริ่ด ถ้าไม่นิ่งก้อไล่ดูกันต่อไป เป็นการเช็คสภาพไดชาร์จคร่าวๆไปในตัวครับ ยิ่งมีโหลด เปิดไฟหน้า เปิดเครื่องเสียง ตกลงเหลือเท่าไร เราจะได้รู้ครับ


ออฟไลน์ bongza

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 2
    • ฮอบบี้อิเล็ก
ถ้าสตาร์ทเครื่องแล้ว 11.X ยาวๆก็เข้าร้านแบตไปเช็คได้เลยครับ