จริงๆแล้วผมว่าควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ อย่างเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง ฟื้นตัวได้ดีกว่าที่จะมานั่งอุ้มกับแบบนี้นะ
ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ
จริงอยู่เศรษฐกิจจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เองตาม ทฤษฎี Invisible Hand ของ Adam Smith ครับ
แต่กว่าจะถึงวันนั้น ประชาชนชั้นแรงงาน นายทุน หรือ นักการเมืองทนรอไม่ไหวหรอกครับ
ตามประโยคที่ว่า "In long run, we all are dead."
จึงต้องมีเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาช่วย ไล่เรียงตั้งแต่ไม้อ่อนอย่าง อัตราดอกเบี้ย ค่าเงิน อัตราเงินเฟ้อ
จนถึงวันนี้ที่จำเป็นจะต้องใช้ไม้แข็งอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบแบบตรงๆแบบนี้เลยครับ
และตอนต้มยำกุ้ง เราไม่ได้รอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเองนะครับ มีเครื่องมือหลายอย่างถูกนำมาใช้
เพียงแต่เราไม่ได้ช่วยสถาบันการเงินที่ล้มไปเท่านั้นครับ
QE3 มันคืออะไร ยังไงหรอครับ ทำไมมีผลกระทบต่อค่าครองชีพขนาดนั้น
Quantitative Easing
มันเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องหรือเม็ดเงินเข้าไปในระบบเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจครับ
พูดให้ง่ายๆก็คือการพิมพ์แบงก์ใช้เพิ่มแบบดื้อๆนั่นเอง มันจะส่งผลให้ค่าเงินที่อัดฉีดออกมาอ่อนตัว ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
ดังนั้นCommoditiesที่มีผลกับเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นแบบติดจรวด เพราะเงินด้อยค่าลง คนก็ต้องไปหาสินทรัพย์อื่นที่ปลอดภัยจากภาวะเงินเฟ้อ
และรอบนี้ดันมีมาตรการคล้ายๆกันออกมาทั้งจากฝั่งยุโรปและอเมริกาในช่วงติดๆกันซะด้วย
น้ำมันอาจจะแพงขึ้น แต่ก็คงจะพอชดเชยได้บ้างจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นเช่นกันครับ
.-_-.
การอัดฉีดสภาพคล่องหรือเม็ดเงินเข้าไปในระบบเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อาจทำได้โดยการลดดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อก่อให้เกิดการลงทุน และเพิ่มเงินในระบบ หรือขายพันธบัตรรัฐบาลครับ
มันก่อให้เกิดเงินเฟ้อแน่ๆ แต่ไม่น่ามากขนาดหน้ามือหลังมือ ตามความคิดผมนะครับ
ถาม จขกท.ครับ ผมไม่เชี่ยวในเรื่อง econ แต่พอรู้บ้าง BOT สามารถพิมพ์แบ็งออกมาดื้อๆเลยหรอครับ ที่เคยเรียนมานี่คือต้องrelate กับทองคำของประเทศรึเปล่าครับ
อัตราดอกเบี้ยของอเมริกา ต่ำเตี้ย ติดดินมานานแล้วครับ และก็ยังจะคงต่ำกว่านี้ไปอีกเป็นปีๆ
แต่ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นการลงทุน จนมีผลให้เกิดการจ้างงานมากขึ้นได้ครับ
อัดฉีดเงินเจ้าไปตรงๆ โดยที่หวังว่ามันจะฟื้นขึ้นมาได้บ้างนะครับ