เอาแล้วครับ เริ่มให้ข่าวกันแล้ว
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/auto-mobile/auto-mobile/20121219/482595/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2.htmlผู้ผลิตรถติงโครงสร้างภาษีใหม่ให้เวลาน้อย
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ค่ายรถพร้อมรับภาษีใหม่ แม้บางรายการเพิ่มขึ้น ชี้เพิ่มปิกอัพมีแค็บสร้างรายได้เข้ารัฐชัดเจน ติงเวลาปรับตัว 3 ปี สั้นเกินไปไม่ครอบคลุมอายุรถ
ภาครัฐมีแนวคิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์มาหลายปีแต่ที่ผ่านมา ยังไม่สามารถดำเนินการได้ โดยมีการระดมความคิดเห็นจากภาครัฐและเอกชนหลายครั้ง รวมทั้งมีความพยายามนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลายครั้ง แต่ถูกตีกลับเพื่อให้ศึกษาเพิ่มเติมใหม่ อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ครม. ได้อนุมัติโครงสร้างใหม่เรียบร้อยแล้ววานนี้ (18 ธ.ค.)
โครงสร้างภาษีใหม่มีแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ถูกกำหนดด้วย ปริมาณความจุกระบอกสูบ และกำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า) มาเป็นการกำหนดด้วยปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ควบคู่กับปริมาตรกระบอกสูบซึ่งลดเหลือ 2 ระดับ คือ ไม่เกิน 3,000 ซีซี และ ตั้งแต่ 3,001 ซีซี ขึ้นไป โดยในส่วนของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จะมีผลต่อภาษีที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง เช่น รถยนต์นั่ง ค่ามาตรฐานตั้งต้น คือ 151-200 กรัม/กม. แต่หากคันใดปล่อยได้ 101-150 กรัม/กม. จะเสียภาษีลดลง 5% แต่หากปล่อยมากกว่า 200 กรัม/กม. ก็จะเสียภาษีเพิ่มขึ้น 5% ส่วนรถในกลุ่มปิกอัพ และอนุพันธ์ เช่น พีพีวี มี 2 อัตรา คือ ไม่เกิน 200 กรัม/กม. และ สูงกว่า 200 กรัม/กม.
นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดส่วนอื่นเพิ่มเติม เช่น ภาษีรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ อี 85 จากเดิมเริ่มต้น 22% ก็ปรับขึ้นเป็น 25% รถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) จากเริ่มต้น 20% เพิ่มขึ้นเป็น 25% รถพีพีวี (Pick up Passenger Vehicle) เพิ่มจาก 20% เป็น 25% ปิกอัพแบบมีแค็บจาก 3% เพิ่มเป็น 5% รถไฮบริดจากอัตราเดียว 10% มีการปรับเพิ่มตามขนาดเครื่องยนต์ และรถอีโค คาร์ จะปรับลดจาก 17% เหลือ 14% หากปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 100 กรัม/กม. และหากใช้เครื่องยนต์อี 85 จะได้ลดเพิ่มเหลือ 12%
นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชียแปซิฟิก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคจอริ่ง จำกัด กล่าวว่า หลักการโดยรวมของโครงสร้างภาษีใหม่ถือว่าไม่ได้ผิดไปจากความคาดหมายมากนัก เนื่องจากมีการพูดคุยกันมายาวนานในแนวทางนี้ โดยเฉพาะการใช้ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาเป็นหลักเกณฑ์ หากคันไหนปล่อยน้อยก็จะได้ลดภาษี แต่ปล่อยมาก จะเสียภาษีเพิ่ม อย่างไรก็ตามเห็นว่าภาษีบางรายการที่เพิ่มขึ้นก็อาจจะไม่ดีนัก เช่น รถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในตลาด เนื่องจากประหยัดค่าใช้จ่าย รวมไปถึงรถปิกอัพแบบมีแค็บและรถไฮบริด
ปรับตัว 3 ปี น้อยเกินไป
ทั้งนี้ เห็นว่าแนวคิดโดยรวมภาครัฐน่าจะต้องการจัดเก็บภาษีให้ได้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน แต่ก็ยังมีช่องทางให้ผู้ประกอบการคือ ต้องพัฒนาเครื่องยนต์ให้เผาไหม้ได้สะอาดมากขึ้น ซึ่งเห็นว่าในส่วนของผู้ผลิตรถยนต์สามารถพัฒนาได้
แต่ระยะเวลาที่ภาครัฐให้ปรับตัว (lead time) 3 ปี คือเริ่มบังคับใช้ในปี 2559 นั้น เร็วเกินไป"ก่อนหน้านี้เอกชนขอรัฐปรับตัว 5 ปี ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่ไม่ได้มากอะไร เพราะว่าในต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งใช้เวลาถึง 10 ปี"
การที่ภาคเอกชนต้องการเวลาในการปรับตัวมากกว่านี้ เพราะว่าโดยปกติอายุของรถยนต์จะอยู่ในระดับ 5-10 ปี ดังนั้นหามีการปรับเปลี่ยนในช่วง 3 ปี ทำให้ต้องลงทุนใหม่จำนวนมากสำหรับรถที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าผู้ผลิตก็ต้องเร่งปรับตัวให้ทัน
นายประพัฒน์ เชยชม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การปรับภาษีบางรายการ เช่น รถปิกอัพ แบบมีแค็บเพิ่มขึ้น จะทำให้ภาครัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่ มียอดขายจำนวนมาก ขณะที่ภาคประชาชนก็เชื่อว่าจะรับได้เนื่องจากระดับภาษีที่เพิ่มขึ้น 3% ไม่มากนัก
"เข้าใจว่ารัฐเองก็คงอยากจะได้เงินเพิ่ม แต่อีกมุมหนึ่งก็คงต้องการจัดกลุ่มให้ชัดเจน เพราะปัจจุบันรถแบบมีแค็บ กับรถแบบไม่มีแค็บ เสียภาษีเท่ากัน แต่ใช้งานต่างกัน ปิกอัพไม่มีแค็บใช้บรรทุกของ แต่รถมีแค็บมีไม่น้อยที่ใช้งานส่วนตัวในชีวิตประจำวัน"
ในส่วนของการนำปริมาณ คาร์บอนไดออกไซด์มาเป็นตัวกำหนดนั้นเห็นว่า เป็นสิ่งที่ดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนควรสนับสนุน
ลด อีโค คาร์ จูงใจลดคาร์บอนไดออกไซด์
ขณะที่รถ อีโค คาร์ ซึ่งมีแนวคิดลดภาษีลงจาก 17% เหลือ 14% หากปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่า 100 กรัม/กม. และ 12% หากสามารถใช้เชื้อเพลิงอี 85 ได้ด้วยนั้น เห็นว่าเป็นความท้าทายของผู้ผลิตรถยนต์ที่จะพัฒนาไปให้ถึงจุดดังกล่าว
"อีโค คาร์ เป็นรถที่ได้รับความนิยมอย่างสูงนับตั้งแต่เปิดตัว และจะเติบโตเพิ่มมากขึ้น เชื่อว่าจะมีรถกลุ่มนี้วิ่งอยู่เกลื่อนถนน ดังนั้นหากสามารถทำให้เป็นรถที่สะอาดได้ ก็จะเป็นผลดีต่อสังคมโดยรวม รัฐจึงมีมาตรการจูงใจออกมา"
ทั้งนี้ อีโค คาร์ มีข้อกำหนดสิ่งหนึ่ง คือ จะต้องมีอัตราสิ้นเปลืองไม่ต่ำกว่า 5 ลิตร/100 กม. แต่โดยปกติแล้วอี 85 จะมีอัตราสิ้นเปลืองเชิงปริมาณมากกว่าอี 20 ที่อีโค คาร์ ใช้ในปัจจุบัน ดังนั้นการทำให้อี 85 มีอัตราสิ้นเปลือง 5 ลิตร/100 กม. จึงถือว่าเป็นเรื่องยากในปัจจุบัน
นายศุภรัตน์ กล่าวว่า แต่ในเชิงเทคโนโลยีถือว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ และก็เชื่อว่าผู้ทำตลาดก็คงจะต้องมองหาแนวทางการพัฒนา เพราะอัตราภาษีล่อใจ และหากคู่แข่งทำได้ จะทำให้เกิดการเสียเปรียบในการแข่งขัน
ด้านแหล่งข่าวกล่าวว่า การปรับโครงสร้างภาษีที่มีการปรับเปลี่ยนในบางส่วน เช่น พีพีวี ปิกอัพ มีแค็บ รวมถึง อี 85 ที่เพิ่มภาษี จะทำให้รัฐได้ภาษีเพิ่มโดยตรง เนื่องจากรัฐต้องการรายได้ หลังจากที่ใช้งบประมาณมารไปมากในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ รถ อี 85 ที่ผ่านมา ผู้ซื้อส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้เชื้อเพลิงตรงตามเป้าหมาย เนื่องจากสถานีบริการมีน้อย ขณะที่ผู้บริโภคเองบางรายก็ไม่มั่นใจในการใช้งาน
สามปี เร็วเกินไป
ปีที่แล้วก้ว่าน้ำท่วม
สรุป ก็ชั้นจะเครื่องเดิม เกียร์เดิม ใครจะทำไม กิ้วกิ้ว