ผู้เขียน หัวข้อ: ประสบการณ์ใช้จริง camry 2.0 g ด้านความประหยัดน้ำมัน  (อ่าน 96755 ครั้ง)

ออฟไลน์ phatsawi

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 46
    • อีเมล์
รับรถมาเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. ครับ ขับใช้งานจนถึงวันนี้ 1 ม.ค.56  วิ่งไปประมาณ 202 ก.ม. อัตราเฉลี่ยน้ำมันทั้งหมด 9.6 ครับ โดยที่เส้นทางที่ใช้แบ่งเป็น 2 แบบครับ
1. วิ่งในเมือง (อยุธยา) สภาพเกาะเมืองคือถนนค่อนข้างเล็ก ขับไปก็จะหยุดบ่อย ไฟแดงเยอะ แต่ติดจุดนึงประมาณ 30 วิ วิ่งได้เต็มที่ไม่เกิน 50 กม/ชม. ทำได้ประมาณ 8 - 10.5 km/l นั่งคนเดียว ผมหนักประมาณ 60 โล ทริปนึงประมาณ 10 กม.
2. วิ่งนอกเมืองสายเอเซีย ระยะทางยาว ๆ ประมาณ 20 โล คนเดียวเช่นกัน ความเร็วไม่เกิน 100  ผมทำได้ประมาณ 13.9  km/l
ข้อสังเกต
A. ถ้าเดินเครื่องจอดเฉย ๆ น้ำมันจะลงไวมาก
B. ผมว่าถ้าขับปกติ ก็กินน้ำมันประมาณ Altis 1.6 ก่อน MC (ในเมืองนะ)
C. เวลาติดไฟแดงแล้วออกตัว ถ้าออกตัวแบบปกติคือเหยียบมันธรรมดาให้เกียร์มันเปลี่ยนเป็น 2-3 ไว ๆ แล้วเลี้ยงรอบไว้ จะประหยัดกว่า ออกตัวเอื่อย ๆ เหยียบ ๆ ปล่อย ๆ
ลักษณะการขับ
ผมไม่ขับไวเลยครับ เหมือนแค่เอาเท้าไปวางไว้เฉย ๆ พยายามรักษารอบไม่ให้เกิน 2,000 แต่เบรกค่อนข้างเยอะ เพราะยุดยาบ้านผม หมาแมว สก๊อย สกั้ง เยอะแยะไปหมด ถ้าขับทางไกล จะรีบทำความเร็ว แต่รอบจะวิ่งอยู่ไม่เกิน 2,500 เพื่อให้แตะที่ร้อย แล้วจะคลึงอยู่อย่างนั้นตลอดทาง
สรุป
ความพอใจในด้านความประหยัด ผมให้ 7.5 พอ  เพราะจอดติดเครื่องแล้วกินมาก ๆ เนี่ยแหล่ะที่ไม่ชอบเป็นอย่างยิ่ง ลดลงแบบน่าใจหายมากครับ และยิ่งถ้าเข้าเกียร์ถอยหลังแล้วขึ้นเนินนะ (แค่เนินเข้าบ้าน) มันหล่นวูบไปประมาณ .2-.3 ทันที ถ้าใครมีทริคเด็ดๆ  ที่จะทำให้ขับในเมืองแล้วประหยัด ๆ เนี่ย มาแชร์กันหน่อยนะครับ

ออฟไลน์ Ji.Cl.

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 675
    • อีเมล์
Re: ประสบการณ์ใช้จริง camry 2.0 g ด้านความประหยัดน้ำมัน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 01, 2013, 14:45:58 »
คือผมคิดว่า เรื่องเกจน้ำมันตกวูบน่ะ ไม่ใช่การกินน้ำมันจริงหรอครับ ผมว่าเป็นที่ที่ตั้งของเซนเซอร์น้ำมันมากกว่า

รถ Nissan Sunny NEO ผมเคยขับ ซัดโค้งขวา น้ำมันตกวูบ ออกโค้งขวาซัดโค้งซ้ายต่อ น้ำมันกลับมาเท่าเดิม

เลยมองได้ว่าเซนเซอร์น่าจะติดเยื้องๆ ไปทางฝั่งขวาของถัง พอรถเหวี่ยงมันก็จะจับเพี้ยน



ไม่เคยขับ Camry 2.0 แต่เท่าที่ฟังผมคิดว่าน่าจะเป็นกรณีเดียวกัน คือเซนเซอร์น่าจะค่อนไปหลังรถ

พอถอยขึ้นเนินน้ำมันก็เทไปหน้า เลยลด, ตอนหยุดรถก็เหมือนกัน เพราะต้องเบรก เกจเลยตก แล้วสักพักก็จะคืนมา



ว่าแต่ Camry 2.0 นี่ถ้าผมจำไม่ผิดมันเติมน้ำมัน 91 ไม่ได้ใช่เปล่าครับ?

ออฟไลน์ phatsawi

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 46
    • อีเมล์
Re: ประสบการณ์ใช้จริง camry 2.0 g ด้านความประหยัดน้ำมัน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มกราคม 01, 2013, 14:55:41 »
เติมได้ครับ 91 ถึง e 20 ครับ  แต่ผมเติม โซฮอล 95 ครับ

ออฟไลน์ Slipknot`

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 20,771
  • *** HLM.COM ***
Re: ประสบการณ์ใช้จริง camry 2.0 g ด้านความประหยัดน้ำมัน
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มกราคม 02, 2013, 00:22:35 »
จับดม LPG เลยครับ

ประหยัดมากๆ


promt

  • บุคคลทั่วไป
Re: ประสบการณ์ใช้จริง camry 2.0 g ด้านความประหยัดน้ำมัน
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มกราคม 03, 2013, 22:24:39 »
ขอแบบ เติมเต็มก่อนวิ่ง จับระยะทาง และเติมเต็มหลังวิ่ง

นำค่ามาหารกันครับ

ขอบคุณครับ

YF-19

  • บุคคลทั่วไป
Re: ประสบการณ์ใช้จริง camry 2.0 g ด้านความประหยัดน้ำมัน
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 18:25:32 »
อยู่ในเกณฑ์ ปกติของเครื่อง 2.0 ครับ

จอดติดเครื่องเฉยๆ ก็ย่อมเปลืองน้ำมันเป็นธรรมดาครับ

รถหนัก 1.5 ตัน กับเครื่อง 2.0 ยังไงก็กินกว่า รถ c segment เครื่องเท่ากันครับ

พยายามประหยัดเกิน ก็เครียดเปล่าๆครับ ;D ;D ;D

ออฟไลน์ phatsawi

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 46
    • อีเมล์
Re: ประสบการณ์ใช้จริง camry 2.0 g ด้านความประหยัดน้ำมัน
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มกราคม 05, 2013, 07:43:17 »
ออกรถวันแรก วิ่งไป 1 km เข้าปั้ม ปตท. เติม โซฮอล 95 จนหัวจ่ายตัด วิ่งไป 290 km เข้า ปตท. เติมจนหัวจ่ายตัด ได้น้ำมัน 31 ลิตร เฉลี่ย 9.35 หน้าจอเฉลี่ย 9.6  km/l ครับ

promt

  • บุคคลทั่วไป
Re: ประสบการณ์ใช้จริง camry 2.0 g ด้านความประหยัดน้ำมัน
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มกราคม 06, 2013, 20:46:43 »
รถใหญ่ ใช้งานทั่วไปในเมือง (ไม่ได้วิ่งทางไกล)

ได้ 9.35 กม. ต่อลิตร ก็ถือว่าประหยัดครับ

ออฟไลน์ Eddy5659

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,591
Re: ประสบการณ์ใช้จริง camry 2.0 g ด้านความประหยัดน้
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มกราคม 06, 2013, 21:06:05 »
ผมว่ารอให้พ้นช่วงรันอิน ตัวเลขน่าจะเชื่อถือได้มากกว่านี้นะครับ
ของผมก็ 2.0 กต่เป็นโมเดลที่แล้วก็ทำตัวเลขอยู่ระหว่าง 8.9-9.6 km/l ในเมือง ทางไกลอยู่ที่ประมาณ 10.9-12.5 km/l
โมเดลใหม่ผมเชื่อว่าประหยัดขึ้นแน่นอน จากน้ำหนักตัวที่ลดลง

ปล. เครื่อง 2.0 ตัวนี้เติม 91 ไม่ได้นะครับ ต้อง 95 โซฮอล์ 95 หรือ E20
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 07, 2013, 03:48:06 โดย Eddy3585 »
2007 Toyota Vios
2009 Toyota Hilux Vigo
2010 Toyota Camry
2011 Ford Ranger
2011 Isuzu Dmax
2011 Toyota Hilux Vigo
2015 Ford Ranger
2015 Ford Everest 2.2 Titanium
2015 Ford Everest 3.2 Titanium+
2016 Toyota Hilux Revo 2.4 J m/t (5 คันจะที่รัก)
2017 BMW 320d iconic

ออฟไลน์ phatsawi

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 46
    • อีเมล์
Re: ประสบการณ์ใช้จริง camry 2.0 g ด้านความประหยัดน้ำมัน
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มกราคม 06, 2013, 21:08:43 »
อ้าว หรอครับ ผมเห็นฝาถังแปะไว้ 91 อ่ะครับ

ออฟไลน์ Eddy5659

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,591
Re: ประสบการณ์ใช้จริง camry 2.0 g ด้านความประหยัดน้ำมัน
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: มกราคม 07, 2013, 03:51:59 »
อ้าว หรอครับ ผมเห็นฝาถังแปะไว้ 91 อ่ะครับ

เหรอครับ แต่เป็นเครื่องเดิมเกียร์เดิม ซึ่งโมเดลที่แล้วเติม 91 ไม่ได้ หรือมีการปรับจูนให้ใช้ 91 ได้ อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆครับ
ลองศึกษาคู่มืออีกทีครับเพื่อความชัว ผมอาจจะให้ข้อมูลผิดก็ได้ครับ
2007 Toyota Vios
2009 Toyota Hilux Vigo
2010 Toyota Camry
2011 Ford Ranger
2011 Isuzu Dmax
2011 Toyota Hilux Vigo
2015 Ford Ranger
2015 Ford Everest 2.2 Titanium
2015 Ford Everest 3.2 Titanium+
2016 Toyota Hilux Revo 2.4 J m/t (5 คันจะที่รัก)
2017 BMW 320d iconic

ออฟไลน์ phatsawi

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 46
    • อีเมล์
Re: ประสบการณ์ใช้จริง camry 2.0 g ด้านความประหยัดน้ำมัน
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: มกราคม 17, 2013, 16:42:21 »
update
หลังจากใช้มาประมาณ 20 วัน เช็ค 1,000 โล ไปแล้ว
ตอนนี้ค่าเฉลี่ยน้ำมัน อยู่ที่ 11.3 ครับ  โดยใช้เส้นทางเดิมครับ  คือที่ว่ามันประหยัดขึ้นนี่ผมไม่แน่ใจนะครับว่าเป็นเพราะพ้น Run IN เหมือนอย่างเขาว่าหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ คือ
 รู้จักมันมากขึ้น....ทำให้รู้ว่าการไต่ระดับไปยัง 80 - 100 นั้น ทำได้ 2 อย่างคือ อย่างแรก ค่อยๆ ไป ให้ตัวไฟสีฟ้ามันขึ้นทีละขีด (ซึ่งนานมาก แล้วก็คงน่าถีบสำหรับคนที่ขับตามหลังด้วย)  กับอีกวิธีคือ กดไปเลยครับ แต่ไม่มิดนะ ทิ้งระยะน้ำหนักเท้าสม่ำเสมอ ไฟจะขึ้นไวมากแป๊บเดียว 4 ขีด ก็แช่ไว้ประมาณ 2 วิ แล้วยกขานิดนึงให้ไฟขึ้นไปขีด 5 แช่ไว้ 2 วิ แล้วยกอีกนิดไฟขึ้นไปขีด 6 ทำแบบนี้ จะไม่ทำให้คันหลังลำคาญ แต่ต้องสมาธิดี ๆ และไม่ใช่ไปนั่งเพ่งไฟ เด๋วจะจวกตูดคันหน้าเอา เลีย ๆ มันไปจนถึงระดับที่ต้องการที่นี้ก็คลึงไว้อย่างนั้น  วิธีนี้ทำให้การเดินทางสายเอเซียที่มีระยะทางประมาณ 20 กิโล ผมได้ค่าเฉลี่ยน้ำมันที่ 16.2 ความเร็ว 80 - 100 แต่ส่วนใหญ่อยู่ที่ 90 ครับตอนจอดถึงที่หมายครับ  ส่วนขับในเมืองแบ่งตามมาตรฐานของคนอื่นนะครับดังนี้
1. ชานเมือง รถไม่ติดไปได้เรื่อย ๆ แต่ถนนแคบ อาจมีเบรคบ้างเวลาเจอทางชำรุด ใช้ความเร็วไม่เกิน 50 km/h ระยะทาง 10 กิโล ค่าเฉลี่ย ตอนจอด 12.3 ครับ
2. ในเมืองช่วง Busy Time เช้า และเย็น ไฟแดง 4  จุด ติดทุกจุดเพราะมันเขียวแค่ 45 วิ (อิอิ) ติดทีนึง 1 นาที - 3  นาที ประมาณนั้น ระยะทาง 10 กิโลเหมือนกัน ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 40 KM/L ค่าที่ได้ 8.6,9.2,10.1,11 เวียนว่ายตายเกิดอยู่ประมาณนี้
3. ในเมืองเวลาประสาทแดก...คือโดนปาดหน้าแบบหน้าด้าน ๆ หรือพวกไอ้เด็กแว๊นขับส่ายตูดตรงหน้า แล้วกดพรวดเดียวจี้ตูดแมร่ง (พร้อมนั่งมองหน้ารอกระสุนปืน) ;D ระยะทาง 10 km เร่งบ้างหยุดบ้าง ล่อไปประมาณ 6-9 ครับ (อันนี้สันดานไม่ดีนะครับ แต่แค่อยากให้รู้ว่าบางอารมณ์รถมันก็ตอบสนองได้เหมือนกัน)

สรุป  ผมไม่มีความรู้หรอกครับเรื่อง Run In แต่ที่รู้คือถ้าเรารู้จัก หรือพยายามทำความเข้าใจกับมัน จะให้รถมันตอบสนองเราแบบใดก็ได้ ดีบ้าง ไม่ค่อยดีบ้าง อันนี้คือต้องยอมรับและจดจำไว้ 

ข้อสังเกต การขับแล้วปล่อยไหล ประหยัดขึ้นเยอะ ไม่เบรกจนรถหยุด หรือเบรกซะหัวทิ่มแล้วเร่งเครื่องต่อนี่ก็ประหยัดเยอะ

แล้วจะคอยอัพเดทเส้นทางประหลาด ๆ ให้ทราบต่อไปนะครับ


surin

  • บุคคลทั่วไป
Re: ประสบการณ์ใช้จริง camry 2.0 g ด้านความประหยัดน้ำมัน
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: มกราคม 18, 2013, 22:28:22 »
อยากได้ครับแต่ไม่มีปัญญา ;D ;D

ออฟไลน์ Pasakorndvm

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,307
Re: ประสบการณ์ใช้จริง camry 2.0 g ด้านความประหยัดน้ำมัน
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: มกราคม 26, 2013, 01:02:59 »
สิ้นเปลืองเท่านี้ก็ปกตินะครับ รถสวย คันใหญ่ แต่อยากให้แรงอีกนิด
'19 Honda Civic EL