ส่วนตัวผมคิดอว่าอยู่ที่การบำรุงรักษาและวิธีการใช้เกียร์ หรือการสตาร์ทรถที่ถูกต้องครับ
ที่เกียร์พังก่อนเครื่อง ผมว่าเป็นเพราะการบำรุงรักษาหรือการใช้เกียร์ออโต ทำไม่ถูกวิธี
ส่วนเครื่องยนต์ส่วนใหญ่จะบำรุงรักษากันถูกต้องกว่า
เกียร์ออโต น้ำมันเกียร์ควรเปลี่ยนประมาณทุก 2 ปีหรือ 3 ปี หรือ หกหมื่นกิโล ซึ่งต้องไปดูตามคู่มืออีกทีครับ
รวมทั้งเกรดหรือเบอร์ด้วยว่าใช่เบอร์อะไร แล้วหากว่าสภาพการใช้งานของเรา มันโหด เช่นขับรถทางไกลแล้วใช้ความเร็วสูงเป็นประจำ
หรือ ขับในสภาพการจราจรติดขัดประจำ หรือสภาพถนนมีฝุ่นเยอะ หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศร้อนเช่นในเมืองใหญ่ ๆ
หรือ ใช้งานน้อย วันละไม่กี่กิโล เช่นไม่เกิน 20 กิโล จอดเฉย ๆ ไว้สองสามวัน
แล้วขับสองสามวัน หรือจอดมากกว่าขับ ถ้าเป็นอย่างนี้ถือว่ารถใช้งานหนักครับ ทั้งน้ำมันเกียร์ น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรคอาจจะต้องเปลี่ยนถ่ายก่อนระยะที่คู่มือกำหนด คู่มือรถบางยี่ห้อบางรุ่นก็จะบอกเงื่อนไขนี้ไว้ แต่บางยี่ห้อก็ไม่บอกครับ
ซึ่งมันก็เป็นสาเหตุที่อาจจะทำให้น้ำมันเกียร์เสื่อมก่อนกำหนดและส่งผลให้เกียร์มีปัญหาได้ครับ
อีกอย่างนึงที่พบเจอได้บ่อย ๆ คือ ช่างที่ศูนย์ ไม่เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ให้เมื่อถึงกำหนดตามคู่มือ ( เจอมากับตัวเองด้วยครับ )
อย่างอื่นเปลี่ยนให้ แต่น้ำมันเกียร์ไม่ได้เปลี่ยน น้ำมันเบรคก็ด้วยครับ เรื่องพวกนี้ ช่างมักลืมหรือไม่ใส่ใจให้ลูกค้านะครับ
ดังนั้นเจ้าของรถ ควรจะทำรายการตามคู่มือไปเองเมื่อเอารถเข้าเช็คระยะทุกครั้ง ดูตามคู่มือเลยครับ แล้วเอารายการของเราไปเทียบกับรายการที่ช่างทำเสียก่อนจะดีที่สุดครับ พอทำเสร็จแล้วเจ้าของรถก็ควรตรวจก่อนรับรถด้วย พูดถึงเรื่องนี้ก็เลยขอฝากกรณีเปลี่ยนน้ำมันเครื่องด้วยก็แล้วกันครับ
ขอให้เจ้าของรถตรวจระดับน้ำมันเครื่องทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายเสร็จแล้ว มีไม่น้อยเลยครับที่ช่างไม่รู้เรื่อง เติมน้ำมันเครื่องให้เกินระดับนะครับ
อันนี้จะส่งผลร้ายต่อเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์มีแรงดันสูงกว่าปกติ และอาจเสียหายได้ครับ หรือถ้าไม่ร้ายแรงมากหรือเกินระดับไปไม่มากก็ส่งผลต่ออัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยครับ
อีกเรืองครับ การใช้เกียร์ออโต มันมีวิธีการใช้ที่ถูกต้อง ตั้งแต่การสตาร์ทรถเกียร์ควรจะอยู่ที่ตำแหน่งใด การจอดรถเกียร์ควรอยู่ที่ตำแหน่งใด การเปลี่ยนเกียร์ ต้องทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง เป็นต้น เจ้าของรถควรศึกษาให้ดีนะครับ ถ้าใช้ไม่เป็นเกียร์ก็พังครับ