มามองกันในแง่มุมของผู้บริโภคบ้างนะครับ
1.ระบบภาษีที่มีอยู่จัดเก็บแบบไม่เหมาะสม รัฐตั้งระบบVATแต่มีเงื่อนไขว่า VATซื้อสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเป็นภาษีต้องห้ามมิให้นำมาเครดิตหรือขอคืนภาษี ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วคุณจะสนใจหรือครับว่าผู้ขายออกVATมาเท่าไหร่?ในเมื่อรัฐก็ไม่ได้ให้อะไรจูงใจผู้บริโภคเลย
2.ผู้บริโภคไม่สามารถทราบได้ว่าผู้นำเข้าสำแดงราคาเท่าใดเพราะคงไม่มีใครอยากให้ผู้ซื้อรู้ต้นทุนของตัวเอง ขนาดAuthorized Dealerก็ไม่ยอมให้รู้เหมือนกันดังนั้นจะให้ผู้บริโภคช่วยดูแลคงไม่ได้ในกรณีนี้
3.ถ้าAuthorized Dealerหรือบริษัทแม่ดูแลผู้บริโภคชาวไทยอย่างเหมาะสมก็คงไม่มีใครอยากไปซื้อกับผู้นำเข้าอิสระครับ ตัวอย่างที่เคยประสบก็มีมากมายทั้งไม่ยอมRecallสินค้า เวลาเคลมจานเบรคหรือโช้คหรือสิ่งที่มี2ข้างก็ให้เคลมทีละข้าง การเคลมก็ตั้งเงื่อนไขเพิ่มเติม เห็นผู้บริโภคชาวไทยไม่ค่อยอยากมีเรื่องและเห็นปริมาณไม่มากเหมือนประเทศใหญ่ๆก็เยไม่ได้ให้ความสำคัญแบบเต็มที่ เหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคหลายคนเปลี่ยนใจจากAuthorized Dealer ทำไมไม่หันมาดูการบริการของตัวเองบ้าง ขนาดผมยังเอือมระอาที่ต้องออกแรงถึงจะได้รับการตอบรับครับ
ระบบภาษีบ้านเราซับซ้อนที่สุดแล้วละครับ ไม่เชื่อไปถามตัวแทนขายSoftwareจัดการองค์กรในเมืองไทยได้เลย หลายๆคนบอกผมว่าต้องทำCustomizedหรือProgramเพิ่มเติมเองเพราะSAP Oracle Microsoft Navisionเค้าไม่ได้ทำไว้รองรับระบบภาษีจุกจิกของบ้านเราครับ
ผมคิดในทางเดียวครับพี่วีเลยครับ
เพราะยกตัวอย่างแค่รถที่ผมใช้อยู่ พอหลังจากมีเกรย์มาร์เก็ตแล้วราคาของMBTH ต้องทำราคากดต่ำมาสู้กับเกรย์อีกเยอะเลยครับ
ยกตัวอย่างรถของผมเอง E250 CGI AV MBTH(CKD) ออกมาที่ราคา 4.49ล้านบาท(ตอนที่เปิดตัว)
แต่ปัจจุบันราคาก่อนที่จะเปลี่ยนโฉมคือ 3.99 ล้านบาท เพราะทางMBTHต้องการมาสู้กับเกรย์ แถมมี Options พวกจอCommand9" ฯลฯ (อันนี้สามารถชดเฉยในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อด้านกาลเวลาได้) ทำให้รู้ว่าราคาต้นทุนจริงๆคงไม่สูงเท่านี้ คงบวกเพิ่มในหลายอย่างตามแผนการตลาดของบริษัทนั้นๆ
ถ้ามองในแง่ของผู้บริโภค เมื่อมีเกรย์มาร์เก็ต(ถ้าไม่นับรถจดประกอบทั่วไป)เข้ามาผมว่าทางผู้บริโภคมีแต่ได้กับได้ครับ
1.ทำให้ไม่เกิดการผูกขาดทางการค้า
2.ราคาจะต้องมีการแข่งขันกันมากขึ้น ทำให้บริษัทแม่ต้องหากลยุทธ์มาต่อกรกับเกรย์
3.ศูนย์บริการมีการแข่งขันกันมากขึ้น ไม่ว่าจะAuthorized หรือเกรย์ ก็มีทั้ง Service ที่ดีและไม่ดีตามปกติ
4.ราคาอะไหล่ของรถแต่ละรุ่นจะเริ่มไม่สูงเหมือนแต่ก่อน
ยกตัวอย่างเช่น โช๊ค W221 S-class ผ่าน MBTH ประมาณ 1.5 แสนบาท เมื่อเทียบกับแหล่งที่หาซื้อในรูปของ OEM ยี่ห้อเดียวกันแต่ไม่มีตราเบนซ์ 7หมื่นบาท
ซึ่งส่วนต่างดังกล่าวถือว่ามากพอสมควรเลยทีเดียว ตอนนี้ใช้งานมา5หมื่นกว่าkmแล้วก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
แต่อยากให้รูปแบบการจัดเก็บภาษีรถยนต์ได้มีการปรับปรุงใหม่เหมือนกันครับ เพราะเทคโนโลยีปัจจุบันของรถมันมีมากเหลือเกิน CC หรือ แรงม้า แทบไม่มีผลต่อการบริโภคน้ำมันเลย ยกตัวอย่างเช่น E300BlueHybrid , BMW Active3-5-7 , Porsche E-Hybrid ที่เป็นรถ Hybrid ที่บางรุ่นประหยัดมากกว่า Vios บ้านๆทั่วไป
ปล่อย CO2 น้อยกว่ารถตลาดมากมาย บ้างรุ่นได้ถึง 25km/l ก็มี การบริโภคน้ำมันก็ลดน้อยลงอีกด้วยครับ
เหมือนที่พี่จิมมี่เคยให้สัมภาษณ์ในรายการTVเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ก็เป็น idea ที่ไม่เลวเลยครับ ในเรื่องของภาษี Carbon