ในละครแต่งงานคือตอนจบแต่ในชีวิตจริงการแต่งการคือการเริ่มต้นชีวิตคู่ ดังนั้นอย่าเริ่มต้นด้วยการติดลบด้วยการไปกู้หนี้ยืมสินมาแต่งงานผมเห็นมาหลายคู่ละ ฉิบหายไม่ว่าเอาหน้าไว้ก่อน พวกนี้หลังแต่งต้องมาใช้หนี้กันหัวบานไม่ก็ลำบากทางบ้าน บางคนเพิ่งเรียนจบอยากมีเมียละงานการยังไม่ทำเลยเดือดร้อนทางบ้านอีกอยากมีครอบครัวแต่ต้องคอยพึ่งคนอื่นตลอด
ในส่วนของผมตอนแต่งผมแทบไม่มีตังเลยผ่อนบ้าน 1 หลัง รถสามห่วงเก่าๆ 1 คัน กับช่วยทางบ้านส่งน้องเรียนโทอีก 2 คนเรียกได้ว่าเดือนชนเดือนต้องรอเงินโบนัสเท่านั้นได้มา 1.2 แสน ทองก็มีแค่ 2 บาทที่เหลือก็หยิบยืมไปก่อน ผมประกาศไว้ตอนแรกว่าผมมีปัญญาผูกแขนเท่านั้นจะไม่มีการกู้ยืมหรือเป็นหนี้อะไรเด็ดขาดใครอยากจัดงานก็ออกตังกันมา
ญาติๆก็ลงขันกันหล่ะครับเพราะผมเป็นหลานคนโตของทั้งฝั่งพ่อแม่และไม่มีงานใหญ่ๆที่เป็นมงคลมานานแล้วได้เป็นโต๊ะจีน 80 โต๊ะซะงั้น
แม่ยายคืนตังเอามาให้ตั้งตัว 2.5 หมื่นพ่อผมให้มาอีก 2.5 หมื่นเอาไปโป๊ะรถซะเลยจบไปหนึ่งภาระ
เรื่องสินสอดเป็นอะไรที่ต้องคุยกันดีๆนะครับ บางคนคบกันมาตั้งหลายปีมาเลิกกันตอนนี้แหละเรื่องสินสอดเรื่องการจัดงานเรื่องซอง อู๊ยมีเรื่องให้ทะเลากเยอะ พื้นฐานทางบ้านแต่ละบ้านไม่เหมือนกันบางบ้านแทบเรียกได้ว่าขายลูกสาวกิน
เคยคุยกับรุ่นน้องขำๆอยู่เรื่องแบบนี้แหละเค้าบอกว่าเป็นค่าน้ำนมลูกเต้าเค้าเลี้ยงมา (แล้วตูเกิดจากกระบอกไม้ใผ่??? พ่อแม่ตรูก็เลี้ยงมาเหมือนกัน) เอาลูกสาวเค้ามาแล้วต้องเลี้ยงให้ดี (อ้าว จ่ายเงินค่าเงินค่าสินสอดแล้วยังต้องเลี้ยงอีกเหรอ ยิ่งกว่าซื้อรถอีกดาวน์แล้วผ่อนตลอดชีพ) อย่าตีราคาผู้หญิงเป็นสิ่งของสิ (อ้าว แล้วที่เมิงบอกเอาสินสอดเอานู้นนี่นั่นหล่ะไม่ใช่ราคาเหรอ) มันเป็นประเพณี (เค้าดูความตั้งใจของฝ่ายชายให้ว่าจะสามารถประคับประคองครอบครัวให้อยู่รอดได้แล้วเค้าก็คืนบางส่วนหรือทั้งหมดหรือทบเข้าไปให้ไปตั้งตัวไม่ใช่เอาหมด) นี่น้องนะพี่จะมาเถียงหนูทำไมไม่ได้มาแต่งกับหนูซะหน่อย (จบ ยอม เถียงแพ้อีกล่ะ)