ระบบช่วยจอดรถในระบบช่วยจอดมันสามารถช่วยจอดแบบเข้าช่องจอดหรือจอดริมฟุตบาทก็ได้ (แต่ไม่มีระบบช่วยออกจากที่จอดริมฟุตบาท หรือผมใช้ไม่เป็นก็ไม่รู้นะลองกดแล้วมันไม่ไป)
สามารถเลือกรูปแบบการจอดโดยการกดปุ่มเปิดระบบช่วยจอด กดครั้งแรกจะเป็นแบบจอดริมฟุตบาท กดอีกครั้งจะเป็นแบบเข้าช่องจอด
ส่วนการเลือกฝั่งที่จะจอดเลือกได้โดยเปิดไฟเลี้ยว และเราก็ทำแค่เพียงเหยียบเบรกเพื่อความคุมความเร็วขณะจอด
และคอยเปลี่ยนเกียร์เมื่อมันบอกให้เราเปลี่ยนจะเดินหน้าหรือถอยหลังมันก็จะบอกให้เราทำตาม แต่หากเราไปจับหรือฝืนพวงมาลัย ระบบจะหยุดการทำงานทันที
และรถคันนี้ไม่สามารถจอดขว้างใส่เกียร์ว่างได้ หากจอดรถที่เกียร์ N จะไม่สามารถล็อครถได้ ต้องใส่เกียร์ P เท่านั้น
ผมยังไม่ได้ลองหาวิธีปลดล็อคเกียร์ N เพื่อใช้สำหรับตอนลากรถเลย อ่านในคู่มือเจอแล้วแต่ยังหาจุดที่จะงัดฝาครอบกระปุกเกียร์ตรงคอนโซลกลางไม่เจอเลย
อีกอย่างกลัวว่างัดไปแล้วตัวล็อคมันจะหักเลยไม่กล้าทำต่อ เลยปล่อยๆไปก่อน ไว้ฉุกเฉินจะใช้ค่อยว่ากันอีกที
ระบบช่วยจอดอัตโนมัติเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนเป็นเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรลไดเร็คอินเจคชั่น เทอร์โบ (TDi) ขนาดความจุ 1968cc, 4 สูบ, 148hp(105kW) ที่ 3500-4000rpm, แรงบิต 320Nm ที่ 1750-3000rpm (ตามใบ Spec)
คู่กับเกียร์อัตโนมัติ DSG 6 Speed มี Paddle Shift ที่พวงมาลัย ขับคลื่อน 2 ล้อหน้า ผมสังเกตที่อุปกรณ์ต่างที่ในห้องเครื่องจะพบกับสัญลักษณ์ VW AG และ Audi ทุกชิ้นที่มองเห็นได้
ตามท่อตามฝาครอบต่างๆ มีฉนวนกันความร้อนที่ใต้ฝากระโปรงรถและแบตเตอร์รี่ ส่วนหัวเกียร์ก็จะหุ้มด้วยหนัง
ผมเคยดูคลิปห้องเครื่องของ Golf GTD Mk7 ฝาครอบเครื่อง กรองน้ำมันเครื่อง ที่พักหม้อน้ำ ที่ตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่องสีเหลือง
แม้แต่เหล็กค้ำฝากระโปรงก็มีพลาสติกสีเหลืองเหมือนกันกับ Octavia เลย ไม่รู้ว่าถ้าแต่งแล้วจะแรงได้เหมือน Golf GTD รึเปล่า ^_^
การขับขี่และอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันต้องบอกได้เลยว่าการขับรถคันนี้เป็นอะไรที่มีความสุขมากเลยครับ ทุกครั้งที่ได้ขับมัน เร่งได้อย่างใจสั่ง เสียงเครื่องยนต์ขณะที่วิ่งด้วยความเร็ว 80-110km/h เงียบจนคิดว่าขับ 40km/h
พวงมาลัยรถยนต์ตอบสนองได้ดีทั้งที่เป็นพวงมาลัยแบบไฟฟ้า โดยที่ความเร็วต่ำก็เบาสบายมือ ที่ความเร็วสูงก็กระชับและเพิ่มความมันใจ ผู้หญิงก็ขับได้แบบสบายๆ ผู้ชายขับก็ไม่เบาจนเกินไป
ที่ความเร็วสูงตัวรถก็นิ่งยิ่งเพิ่มความมั่นใจในการขับรถของผมมาก จนบางครั้งลืมไปว่าเราขับเกินกว่า 140km/h ไปแล้ว ส่วนรัศมีวงเลี้ยงก็ไม่กว้างมาก (5.2m) กลับรถได้สบายๆ
ไม่เคยต้องกังวลเรื่อกลับรถเลย อีกทั้งระบบเบรกก็ช่วยได้มั่นใจกดไปไม่มีหัวทิ่มเลยหยุดแบบเนียนๆ
และก็ผมมีประสบการณ์ประเดิมระบบ ESC อยู่ครั้งหนึ่งผมขับรถไปตอนกลางคืน ที่ความเร็วประมาณ 120km/h มีแมวเดินออกมาจะเกาะกลางถนนเดินอยู่ที่เลนขวา
ผมเห็นมันในระยะไม่น่าจะเกิน 10 m ด้วยความที่ถนนตรงนั้นมืดและไม่มีไฟส่องทาง เห็นตอนที่ไฟหน้ารถสาดไปถึงพอดี ผมเลยตัดสินใจเบรกและหักหลบ
พอผมเริ่มเบรกและหักหลบผมก็ไม่ทันได้สังเกตว่าระบบ ESC มันทำงานรึเปล่าเพราะตอนนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก ในทันทีที่ผมเบรกและหักหลบไปพร้อมๆกัน
รถเคลื่อนจากเลนขวามาอยู่ซ้ายและกลับมาอยู่แถวๆกึ่งกลางของสองเลน ได้แบบพอดีๆ ไม่พุ่งเลยไปลงที่ข้างทาง มีเพียงอาการท้ายปัดเล็กน้อย
และตัวรถก็กลับมาทรงตัวได้แบบปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอดตัวไปทั้งผม รถ และแมว
ช่วงล่างไม่แข็งจนกระด่างหรือนิ่มจนย้วยจนเกินไป แข็งแบบพอดีๆ อาจมีกระด่างไปบ้างแต่เพราะล้อ 18 ด้วยผมจึงไม่แปลกใจเท่าไหร่
การเข้าโค้งที่ความเร็วสูงๆก็ไม่ค่อยมีอาการหน้าดื้อมากเท่าไหร่นักพอที่จะควบคุมได้ เวลาเจอเส้นคาดถนน หรือเส้นชลอความเร็ว ก็มีการสะเทือนมาถึงเท้าด้วยเล็กน้อย
และการวิ่งในถนนคอนกรีตก็อาจมีความรู้สึกของพื้นถนนและเสียงของรอยต่อถนนเข้ามาให้รู้สึกบ้างเล็กน้อยเช่นกัน แต่จะนิ่งและเงียบบนถนนลาดยาง
และในเส้นถนนบรมฯถึงเพชรเกษมจะมีพวกสะพานให้เจอและผ่านอยู่บ่อยๆ ผมลองวิ่งผ่านโดยที่ไม่เบรกดู พอถึงจุดยุบตัวของรถที่ความเร็วสูง ไม่มีการเสียการทรงตัวหรือเสียการควบคุมแต่อย่างใด
สามารถขับต่อไปได้โดยเพียงแค่รู้สึกวูบหรือยวบตัวของรถเท่านั้น ยังคงรักษาการทรงตัวของรถไว้ได้ด้วยดี
คลิปที่ผมทดสอบทำ kick down test ที่เกียร์ D จากจอดรถถึง 200km/h เวลาที่ทดสอบเป็นเวลากลางคืน ถนนโล่งและเป็นทางตรงยาว
Kick Down Test อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันส่วนเรื่องอัตราการกินน้ำมัน ตั้งแต่ใช้มา ผมเติมเต็มถังทุกครั้ง และเริ่มจับระยะใหม่ทุกครั้งที่เติม ผลที่ได้จะใกล้เคียงกับ การแสดงผลที่หน้าจอของตัวรถมากๆ
จากผลการเติมน้ำมัน ผมเอาที่ 5 ถังล่าสุดโดยถึงวัน (2/2/57) เต็มถังที่ 50 ลิตร ทุกครั้งจะเติมที่ปั้มบางจาก และไม่แนะนำเติมใบโอดีเซล มีป้ายอยู่ที่ฝาปิดถังน้ำมัน
ส่วนเส้นทางการขับ ส่วนใหญ่จะวิ่งทางไกล ออกต่างจังหวัดเสียส่วนมาก ไปชลบุรี, สระบุรี, ปากช่อง-เขาใหญ่, โพธาราม และจะวิ่งนนท์บุรี-บางบัวทอง-ราชบุรี บ่อยที่สุด
ส่วนการวิ่งในเมืองที่รถติดๆ ผมจะเจอบ่อยก็คือเส้นรัตนาธิเบศร์ แคลาย ลาดพร้าว พหลโยธิน ที่เคยติดนานสุดคือ ขับจากท่าอิฐไปเดอะมอลล์งามฯ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ
เรามาลองดูกันครับว่า หลังจากใช้รถไปตามที่ผมบอกไป ค่าใช้จ่ายของเจ้า Octavia มันกินน้ำมันขนาดไหน โดยที่คิดตามสูตรนี้
อัตราการกินน้ำมัน [km/l] = ระยะทางที่วิ่ง / จำนวนลิตรที่ใช้ไป
ค่าใช้จ่ายต่อระยะทาง [บาท/km] = จำนวนเงินที่เติมน้ำมัน / ระยะทางที่วิ่งได้
ราคาน้ำมันที่เติมคือ 29.99 บาท ทุกครั้ง
1. เติมไป 1,210 บาท วิ่งไป 675km เหลือที่สามารถวิ่งได้ ไม่ได้จดไว้ จำนวนน้ำมันที่ใช้ 40.34 ลิตร จะได้ 16.73km/l คิดเป็นกิโลละ 1.79 บาท/km
2. เติมไป 980 บาท วิ่งไป 475km เหลือที่สามารถวิ่งได้ 200km จำนวนน้ำมันที่ใช้ 32.67 ลิตร จะได้ 14.53km/l คิดเป็นกิโลละ 2.06 บาท/km
3. เติมไป 1,200 บาท วิ่งไป 550km เหลือที่สามารถวิ่งได้ 180km จำนวนน้ำมันที่ใช้ 40.01 ลิตร จะได้ 13.74km/l คิดเป็นกิโลละ 2.18 บาท/km
4. เติมไป 1,250 บาท วิ่งไป 580km เหลือที่สามารถวิ่งได้ 60km จำนวนน้ำมันที่ใช้ 41.68 ลิตร จะได้ 13.91km/l คิดเป็นกิโลละ 2.15 บาท/km
5. เติมไป 1,160 บาท วิ่งไป 633km เหลือที่สามารถวิ่งได้ 110km จำนวนน้ำมันที่ใช้ 38.68 ลิตร จะได้ 16.36km/l คิดเป็นกิโลละ 1.83 บาท/km
คิดรวมทั้ง 5 ครั้งเอามาหาค่าเฉลี่ยกัน
อัตราการกินน้ำมันเฉลี่ยจะได้ 14.45km/l
ค่าใช้จ่ายต่อระยะทางเฉลี่ยจะได้ 2.00บาทค่าใช้จ่ายของมันก็ประมาณนี้ คิดว่าที่ได้ค่าเฉลี่ยเยอะ ผมคิดน่าจะเป็นเพราะผมขับเพลินไปหน่อย เหยียบ 120-180km/h บ่อยไปนิด กับทำ top speed 3-4 ครั้ง
คิดว่าหลังจากนี้จะพยายามขับให้ช้าลง จะได้ประหยัดมากขึ้น เพราะถ้าขับที่ 80 km/h รอบเครื่อง จะอยู่ที่หนึ่งพันห้าร้อยเท่านั้น
เพียงแค่เท่านี้ผมก็แทบจะฟินฯทุกครั้งที่ขับมันแล้ว ขับสบายตัว และสบายกระเป๋ามากๆ ^_^
สรุปผมคิดว่าในรถยนต์ยุโรปนำเข้ามาในราคาขนาดนี้ และได้ของติดรถมามากขนาดนี้ ได้ทั้งความคุ้มค่าในการใช้งาน ทั้งความสนุกในการขับ
ด้วยความที่เป็นรถครอบครัวที่ปลอดภัยมั่นใจในการขับผมว่าคุ้มค่ามากแล้วล่ะครับ ^_^ ส่วนเรื่องอื่นๆที่เป็นข้อไม่ดีของมันก็คือเรื่องเบาะหนัง Alcantara
ที่ผมกังวลเรื่องการดูแลรักษาและทำความสะอาดมัน ถ้ามีใครทำอะไรหกเลอะบนเบาะผมคงจะคลั่งแน่ๆ เพราะมันคงไม่ได้ทำความสะอาดได้ง่ายๆ
และก็เรื่องค่าบำรุงรักษารถ การซ่อมรถเมื่อรถมีปัญหา ราคาอะไหล่ และการรอการซ่อมหรือเคลมอะไรก็ตาม มันคงจะทำให้ผมไม่มีความสุขไปพักใหญ่แน่ๆ
ก็ได้แต่หวังว่ารถของผมจะไม่พบเจอปัญหาอะไรให้ปวดหัว ไม่ถูกทิ้งหรือถูกปล่อยให้ลอยแพจากศูนย์บริการหรือตัวแทนจำหน่าย ผมก็พอใจล่ะ
และผมก็จะพยายามดูแลก่อนเอาไปใช้งานให้ได้มากเท่าที่ผมพอจะทำได้ก็น่าจะพอ เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาให้ปวดหัวในอนาคต
สำหรับใครที่สนใจอยากมีรถครอบครัวแต่ แอบแรง มั่นใจได้ทุกช่วงความเร็วและถนนไม่ทุรกันดารมากไป ผมว่าคุณควรมองเจ้า Octy ของผมไปลองเปรียบเทียบดูล่ะกันนะครับ
ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบ ผมเขียนมาหลายวันมาก ผมว่างก็มาเขียนเพิ่มเรื่อยๆ อาจไม่ปะติดปะต่อกันนะครับ และคิดว่าแค่นี้น่าจะพอเป็นข้อมูลได้ไม่มากก็น้อย
และก็ผมกลัวว่าเดี๋ยวคนอ่านคิดว่าผมเป็นหน้าม้ามาเขียนเชียร์จนออกนอกหน้าจนเกินไป ขอบคุณครับ ^_^
ปล.หากท่านใดที่อ่านแล้วมีปัญหาสงสัยหรือจะให้ผมเพิ่มเติมข้อมูลตรงไหนสามารถถามและบอกได้นะครับ ถ้าผมตอบได้ผมยินดีตอบครับ