ต้องถามก่อนครับว่า"ทำไมถึงอยากค้ารถ"
ขายรถยนต์คันนึงไม่ได้กำไรเยอะอย่างที่หลายคนคิด
บางยี่ห้อ บางรุ่น แทบจะเหลือกำไรแค่พอจ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเงินเดือนพนักงานแค่นั้นเองครับ
ดีลเลอร์รถยนต์ค่อนข้างจะแตกต่างจากดีลเลอร์สินค้าชนิดอื่นอยู่เหมือนกันครับ
สินค้าชนิดอื่น สำหรับสินค้า1ชิ้น คุณก็จะขายของได้1ครั้งสำหรับสินค้าชิ้นนั้น
แต่กับรถยนต์ไม่ใช่แบบนั้น
รถยนต์1คัน คุณจะสามารถ"ขาย"ได้อย่างน้อยถึง 11 ครั้ง ในรถยนต์คันเดียวกัน
นอกจากขายรถแล้ว คุณจะต้องขาย"บริการ"ให้กับลูกค้าด้วย
นั่นหมายความว่าคุณต้องมีความอดทนพอที่จะดูแลลูกค้ารายเดิมไปอีกอย่างน้อย 3ปี หรือ 100,000 กม. แล้วแต่ว่าระยะใดระยะหนึ่งถึงก่อน
เพราะกำไรที่จะทำให้ดีลเลอร์อยู่ได้อย่างแท้จริงแล้วมันมาจาก"ฝ่ายบริการ"หลังการขาย
ถ้าลูกค้าพอใจในบริการก็จะทำให้เกิดการซื้อซ้ำ ได้ลูกค้าที่มีความภักดีต่อบริษัทของเรา
เคยมีคนมาเล่าให้ฟังเหมือนกันครับ.....
มีลูกค้าระดับเจ้าสัวคนหนึ่งแกใช้รถะดับ 10,000,000 ล้านบาท
วันดีคืนร้ายรถยนต์เกิดเป็นอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ รถเสียอยู่กลางถนน
แกก็โทรมาเม๊งใส่ศูนย์บริการ ทางศูนย์ก็ส่งรถยกไปเอารถคันที่ว่าเข้ามาตรวจสอบ
พร้อมทั้งส่งรถระดับ 5,000,000 บาทไปรับแกเข้ามาที่ศูนย์บริการด้วย
พอแกมาถึง ผจก.ศูนย์บริการก็ออกไปต้อนรับ
เชื่อมั๊ยครับว่าสิ่งแรกที่ท่านเจ้าสัวทำคืออะไร
ปากุญแจรถใส่หัว ผจก.จนเลือดซิบ แล้วยืนด่าดังลั่นศูนย์ เพียงเพราะไม่เอารถระดับ 10,000,000 บาทไปรับแก
เพราะแค่นั้นแกถึงกับเลิกซื้อรถยี่ห้อนี้กับดีลเลอร์นั้นไปเลย แล้วย้ายไปซื้อกับอีกดีลเลอร์หนึ่ง
กลับมาเรื่องของเรากันต่อครับ
ถ้าคุณเลือกยี่ห้อรถที่เป็นเจ้าตลาด สิ่งหนึ่งที่คุณจะสบายใจได้ คือ เมื่อคุณเปิดปุ๊บก็จะมีรถมาเข้าศูนย์บริการปั๊บ
ทำให้พอมีรายได้มาเลี้ยงดูบริษัทในระดับหนึ่ง
แต่คุณก็ต้องเจอกับการแข่งขันที่สาหัสมากมาย
เจอกฎข้อบังคับมหาศาล
เจอการลงทุนที่สูงลิ่ว
ตอนนี้ถ้าจะเปิดยี่ห้อหลัก T H N ยังไม่รวมค่าที่ก็น่าจะมีซัก 100-200 ล้าน
นี่ยังไม่รวมเงินที่ต้องเตรียมไว้ซื้อรถยนต์มาขาย อะไหล่มาสต็อค
2อย่างที่ว่าก็น่าจะอีกประมาณ 40 - 60 ล้าน อยู่ที่ว่าคุณจะบริหารสต็อคได้ดีขนาดไหน
สมมุติว่าใช้เงินซัก 150 ล้านบาท ค่าดอกเบี้ยก็วันละ 30,000 บาทแล้วครับ
ถ้าเป็นแบรนด์ระดับรองลงมา ก็น่าจะมีประมาณ 40 - 60 ล้านบาทสำหรับการลงทุน
ค่าสต็อคอีกประาณ 10 - 30 ล้าน
ส่วนจะเลือกยี้ห้ออะไรมาขายนั้น ลองเข้าไปคุยกับตัวเจ้าหน้าที่เค้าก่อนดีกว่าครับ
ส่วนใหญ่พอคุยกันแล้วเค้าก็จะหาคนที่มีวิสัยทัศน์ไปในทางเดียวกัน
อีกอย่างหนึ่งคือ พื้นที่นั้นมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดโชว์รูมเพิ่มขึ้นหรืเปล่า
ทุกยี่ห้อย่อมอยากขยายเครือข่ายครับ เพียงแต่เค้าก็ต้องดูว่ามันมีความเป็นไปได้ขนาดไหนที่ ธุรกิจจะสามารถอยู่รอดได้
รถยนต์มันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวก็มีรุ่นใหม่ออกมาอยู่เรื่อยๆ ตามห้วงเวลาที่เหมาะสมของ"กันและกัน"
ดังนั้นเรื่องผลิตภัณฑ์ที่จะนำมาขาย บ.แม่เค้าย่อมต้องพยายามส่งสินค้าลงตลาดอยู่แล้วครับ