เคลือบแก้วเป็นงานบริการมากกกว่า เพราะจะพ่วงด้วย มาเคลือบได้อีกกี่เดือน ล้างดูดฝุ่น ขัดสีรถได้กี่ครั้ง สมมุติบ้านคุณอยู่ ชานเมือง แล้วไปเข้าร้านเคลือบใน กลางเมือง จะมีเวลาไป ขัดสีดูดฝุ่นฟรีรึครับ
ลำพังเคลือบ ไม่กี่เดือนก็หลุดแล้ว แต่ก่อนผมเห็น มีไฟส่องตอนทำด้วยตอนที่โฆษณา ไอ้เราก็นึกว่าเป็นการพ่นแลคเกอร์เกรดพิเศษผสมด้วยแก้วละเอียดมั้ง แล้ว อบ ที่ไหนได้ น้ำยา 2 ขวดมาผสมกันแล้ว การทำมันก็เหมือนกับเราเคลือบสีรถ สรุปมันก็คือเคลือบสีรถนั่นเอง แต่ใช้น้ำยา 2 ขวดมาผสมกัน ทำเองที่บ้านก็ได้ ราคา แค่พันกว่าบาทเอง ใช้ได้ตั้ง 2 ครั้ง
ผมว่าจะจ่ายหมื่นกว่าบาทรึถึงสามหมื่นกว่าแล้วแต่ขนาดของรถ สู้เข้าอู่ดีๆ พ่นแลคเกอร์เกรดดีๆ ดีกว่าเห็นๆ ใสกว่าทนกว่า มีมิติมากกกว่า
ชื่อมันก็บอกแล้วว่าเคลือบ มันก็คือเคลือบ แป๊บเดียวก็หลุดแล้ว แรกๆมันก็เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอน ไม่กี่เดือน มันก็เหมือนเดิม
ลงแว๊กยังลื่นกว่าอีก
ถ้าเจอที่ราคาแพงๆ กับรถขนาดกลางๆ ก็ 2 หมื่นขึ้น ผมจะจ่ายเงินขนาดนี้ ผมเอา รถไปพ่นแลค์เกอร์ชั้นเคลียร์โค๊ตดีๆไปเลยดีกว่า ใสกว่ากันเยอะ สีรถจะใสขึ้นอยู่กับแลค์เกอร์ที่เคลือบ แลคเกอร์ดีๆ จะใส แลคเกอร์ใส เมื่อไหร่ แสง ทะลุได้ดีโดยมองไม่เห็น สีของแลอคเกอร์
ลองเอาน้ำประปาใส่แก้ว กับเอาน้ำกรองที่สะอาดใส่แก้ว น้ำกรองที่สะอาดจะใสมากๆ แลคเกอร์เกรดดีๆมันก็เป็นอย่างนั้น
แลคเกอร์ที่ดีๆจะแข็ง และจะไม่เหลืองเมื่อถูกแดดเผา อย่างรถสีขาวที่หมองเหลืองนั้นไม่ใช่เพราะสีมันหมองแต่เป็นที่แลคเกอร์หน้าผิวของมันหมอง พอลงยาขัดเคลือบมันก็ขัดชั้นของแลคเกอร์ที่เหลืองออกไป สีรถก็ขาวไม่อมเหลือง เหมือนเดิม
เคลือบแก้ว แค่ชื่อ มันตั้งชื่อขึ้นมาเพื่อทางการค้า มันไม่ได้จะแก้วอะไรเลย มันมันแค่แป๊บเดียเองไม่กี่เดือนเอง ที่มัน ยังมันอยู่ได้ ฝุ่นกรด คราบน้ำมันยังไงก็เกาะติด พอเกาะปั๊บมันก็ดึงไอ้ที่เคลือค่อยๆหลุดไป จากกการล้างรถทุกครั้ง
หลายคนบอกว่า ถ้าไม่มีเวลา ล้างรถเคลือบแล้วดี ไม่มีทางเป็นไปได้เลยครับที่คราบโคลนจะไม่เกาะ เกาะล้านเปอร์เซนต์ แน่นอนอยู่แล้ว สุดท้ายต้องล้างรถอยู่ดี
จุดประสงค์หลักของคนที่เคลือบคือต้องการเงาทั้งนั้น เรื่องเงานั้นเงาจริง แต่ แค่ช่วงสั้นๆเองไม่กี่เดือน ถ้าจะเอา เงาตลอดชีพ ต้องพ่นแลคเกอร์เกรด ดีๆเท่านั้น ถึงจะเงาตลอดชีพได้ บวกกับ ขัดเคลือบเป็นประจำ รถก็จะไม่มีขนแมวได้แอ้มเลย แต่แลคเกอร์ที่ดีๆนั้นแข็งเป๊กเลย เอาเหรียญขูดยังไม่เข้าเลย ใสยังกับแก้วจริงๆ
+1000000 ครับ ก็แค่การตลาด แก้วจะไปติดอยู่บนสีรถซึ่งเป็นสารโพลิเมอร์ได้อย่างไร?
ของพวกนี้มันขึ้นกับการขัดเตรียมผิว ยิ่งผิวเรียบ ยิ่งเงา หลังล้างรถ ลงดินน้ำมัน ผมเอายาน้ำยาขัดรถ (Polish) กับ Rotary Buffer และฟองน้ำดีๆ ขัดไล่จากหยาบ ไปละเอียดสุด ไม่ต้องลงสารเคลือบใดๆก็เงาสุดๆแล้ว หลอกชาวบ้านได้เลยว่าลงแว้กซ์กระปุกละห้าพัน จะลงแว็กซ์ก็เพียงเพื่อป้องกันผิวแล้คเกอร์ที่เราขัดจนเงาแว้บแล้วไม่ให้โดนทำร้ายจากมลภาวะ แต่แว้กซ์ไม่ได้ช่วยให้ผิวสีเงาเพิ่มมากเท่าไรนัก จริงอยู่มันอาจจะช่วยให้สีรถดูฉ่ำและลึกขึ้น แต่การเตรียมผิวที่ดีมากๆจะให้ความเงาที่ชัดเจนกว่า ผมมองแว็กซ์หรือสารเคลือบขั้นสุดท้าย (LSP) เป็นเพียงตัวป้องกันผลงานขอเราให้เงา ทน นาน ซะมากกว่า
ปล. แต่ผมไม่รู้จริงๆครับว่าสมัยนี้มีคนเอารถใหม่ๆไปพ่นเคลียร์แล้คเกอร์ทับอีกชั้นนึง?? เค้าทำกันด้วยเหรอครับ???
ผมเคยเอาไปทำครับ แต่ซื้อรถมือสองมา ทีแรกชนแก้มมา เพื่อนผมเป็นอู่สีตีราคาให้ประกัน แล้วทำเรื่องเบิกทีหลัง แต่ก่อน แก้ม หน้า ประกันรับอู่ได้อยู่ที่ 1800-3000 บาท
ผม ให้อู่เพื่อนทำให้ ตีประกันไป 3500 มันไม่ยอม ตีเครมได้ 3200 บาท ทำก่อนแล้วค่อยไปทำเรื่องเบิกวางบิลเองเงินกับมันทีหลัง
ตอนนั้นค่าแลคเกอร์อย่างเดียวล่อไป สองพันต้นๆ แล้วแหละครับ แต่ใช้ไม่หมด ยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้ดีกว่านกแก้วอีกด้วย พ่นแก้มและทำสีใหม่ออกมา ดันเงากว่า สีเดิมรถอีก กลายเป็นของใหม่เงาวับเลย มองดูเหมือนสีเพี้ยน แต่ สีไม่เพี้ยน ที่มองดูว่าเพี้ยนเพราะแลคเกอร์ที่เคลือบ รถเป็นสีดำผสมสีง่ายเพี้ยนยาก สีติดรถก็ค่อนข้างดีอยู่แล้วเพราะรถยุโรป
ผมเลย สาดสีมันทั้งคันเลยดีกว่า แลคเกอร์ดีๆจะเป็นแห้งช้าครับ ทุกวันนี้ รถพ่นออกมาจากโรงงานเป็นแบบกึ่งแห้งช้าทั้งนั้น พวกอู่สีก็ใช้กึ่งทั้งนั้น แลคเกอร์ดีๆ ก็ต้องจับกับสีดีๆด้วย ไม่งั้นเวลาพ่นแลคเกอร์ๆจะย่นและดึงสี แลคเกอร์แห้งช้า แค่พ่นมันก็เยิ้มใสแล้วไม่ออกขุ่นๆ พอ เข้าห้องอบ พอมันแห้ง สีรถเนี่ย เห็นลึกเลยครับ สีรถมีมิติ มากขึ้น และแลคเกอร์จะแข็งปั๊กเลย แข็งพอๆกับ พวกแลค์เกอร์ทาไม้ปาเก้เลยทีเดียว แต่ใสกว่ามาก แล้วพ่นเสร๊จไม่ต้องขัดยาเลยเพราะมัน มันแว๊บมากๆ ไม่ต้องมานั่งขัดยาด้วย
ที่ยืนยันเพราะว่าทำมากับรถตัวเอง