อย่างไรก็ดี หากคิดสัดส่วนรายได้ที่รัฐได้รับต่อมูลค่าปิโตรเลียมที่ผลิตได้ทั้งหมด จะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 27.8% เท่านั้น ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ 64% ในขณะที่ผู้ประกอบการภาคเอกชนได้รับกำไรคิดเป็นสัดส่วนถึง 26% ของมูลค่าปิโตรเลียมทั้งหมด ดังนั้นแล้วถ้าหากว่าประเทศไทยสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างการเก็บภาษีปิโตรเลียมได้ ก็จะทำให้ประเทศไทยมีรายได้จากทรัพยากรปิโตรเลียมซึ่งถือว่าเป็นทรัพยากรของชาติได้มาก และทำให้ภาครัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น
คณะสมัชชาปฏิรูปร่วมกับแผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดีเล็งเห็นความสำคัญของการปฏิรูประบบภาษีปิโตรเลียมของไทย จึงได้ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยเรื่อง ระบบการคลังปิโตรเลียมของไทย: บทสำรวจและการวิเคราะห์ โดย ผศ.ดร. ภูรี สิรสุนทร และ อาจารย์ ณพล สุขใส คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำรวจระบบภาษีปิโตรเลียมของไทยในปัจจุบัน และหาคำตอบว่าจะสามารถปฏิรูประบบภาษีปิโตรเลียมของประเทศไทยได้อย่างไร เพื่อให้ภาครัฐสามารถมีรายได้เพิ่มขึ้นจากทรัพยากรปิโตรเลียมซึ่งถือเป็นทรัพยากรสาธารณะ ในขณะเดียวกันก็ยังต้องคงไว้ซึ่งแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนในการดำเนินการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยด้วย ....
http://v-reform.org/v-report/thai-petroleum-financial-report/ประเด็นมันอยู่ที่นี่แหละครับ 27.8 % (แล้วแต่รอบ ที่จะเปิดใหม่รอบ 21) กับ 64 % ทีนี้สัญญาที่ผู้ลงทุนทำคือต้องขายผลผลิตให้ ปตท.แต่เพียงผู้เดียวในราคาที่ตกลงกัน ในเมื่อผู้ลงทุนได้กำไรมากเนื่องจากต้นทุนต่ำจ่ายเพียง 27.8 % ให้ภาครัฐ ในขณะที่ทั่วโลกขั้นต่ำ 64 %) ทำให้ ปตท.ซื้อน้ำมันคืนในราคาต่ำ แต่ขายในประเทศในราคาตลาดโลก กำไรอยู่ที่ไหน ? อย่างนี้ถ้าเมืองไทยต้องใช้น้ำมันในราคาตลาดโลกก็นำเข้า 100 % ซิครับ สงวนน้ำมันในประเทศไว้ใช้ในอนาคตแล้วสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติก็ไม่เสียหาย