ผู้เขียน หัวข้อ: สอบถามเกี่ยวกับระบบขับเคลื่อนของรถยนต์และการเกิดอาการเสียการทรงตัวต่างๆครับ  (อ่าน 4543 ครั้ง)

ออฟไลน์ pakorn_george

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 42
    • อีเมล์
ขับสี่,ขับหน้า,ขับหลัง
ตัดเรื่องระบบช่วยเหลือต่างๆออกนะครับ
จากหัวกระทู้ระบบขับเคลื่อนต่างๆ แบบไหนมีจุดเด่นยังไงบ้างครับ
และหากเกิดอาการเสียการทรงตัวต่างๆ oversteer , understeer ระบบขับเคลื่อนแบบใดง่ายต่อการแก้อาการที่ว่ามานี้ได้ง่ายที่สุดครับ

ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
ความรู้สึกส่วนตัวของผมนะครับ ผมชอบรถขับหลังมากกว่าขับหน้านะ
เวลาเข้าโค้งสำหรับรถขับหลัง ผมจะมั่นใจกว่าขับหน้าครับ
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของการทรงตัว ผมจะไปเน้นที่ลมยางต้องเป๊ะ พอดี ๆ กับการใช้งาน
คือถ้าขับทางไกลผมจะเติมลมให้มากกว่ามาตรฐานสักสองปอนด์ครับ
และอีกอย่างนึงก็คือผมจะสลับยางทุกหมื่นกิโล

ออฟไลน์ rokrok

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 380
understeer แก้ง่ายสุดครับ เพราะไม่ต้องทำไรเลย หักพวงมาลัยเพิ่มหรือชะลอลงก็เข้าที่

oversteer มาทีนี่หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเลยครับ

ส่วนขับหน้าขับหลังมันไม่ได้เกี่ยวกะว่ารถจะมีอาการ over หรือ under นะครับ มันอยู่ที่การเซ็ตและการกระจายน้ำหนัก

CLS ขับหลังก็ underแหลก, fortuner ขับสี่นี่ยิ่งunder เข้าไปใหญ่เลยครับ

เพราะรถบ้านส่วนใหญ่จะเซ็ตให้ under อยู่แล้วครับ เพราะว่ามันแก้อาการง่ายสำหรับคนขับรถทั่วไป (ขับหลังก็underเป็นส่วนใหญ่นะครับ ยกเว้นจะไปกดคันเร่งแรงๆกันเองอะนะมันเลยท้ายปัด)

ส่วนว่าอันไหนแก้อาการง่ายสุดผมว่า ขับหน้านะครับ ขับง่ายสุดละ

ออฟไลน์ CJ.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,944
ตามที่ข้างบนแหละครับ

ผมใช้รถขับหลังอยู่ ถ้าไม่อัดโค้งจริงๆ ก็ไม่เจอ Over นะครับ เพราะปกติผมขับเร็วอยู่ แต่อัดทางตรงก็เลยไม่เจอ

แต่ถ้าอัดมากๆ หรือปิดพวกระบบควมคุมแล้ว อันนี้จะอาการมากน้อยอยู่ที่แรงเหยียบกับแรงเครื่องแล้วล่ะ
2005 Jaguar XJ Super V8
2005 Mercedes-Benz C230 Kom. Sports Coupe
2011 Aston Martin DBS
2013 Jaguar XJL 5.0 V8 Portfolio
2017 Lexus RX200t Premium
2019 Honda CR-V 2.4S
2019 Bentley Continental GT W12
2021 Lexus IS300h Luxury
2021 Mercedes-Benz GLE 350de 4MATIC Exclusive
2021 Porsche 911 Carrera S

ออฟไลน์ Spec C Wannabe

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 553
ขับหน้ามักจะหน้าแหก (understeer) เลี้ยวไม่เข้า ลักษณะทางกายภาพมันเป็นอย่างนั้น เพราะเครื่อง+เกียร์+เฟืองท้าย+เพลา เทไปอยู่ข้างหน้าหมด น้ำหนักตกล้อหน้าเยอะก็เลยพาหน้าแถได้ง่าย แต่ก็แก้ไขง่าย แค่คลายคันเร่ง หรือ คลายพวงมาลัย

ขับสี่ อาการมักจะคล้ายกับรถขับหน้า คือหน้าแหก แต่ขับสี่จะแก้ยากกว่าเวลาหลุด เพราะมันจะเข้าโค้งได้เร็วกว่าขับหน้า เนื่องจากแทร้คชั่นมันมากว่า พอมันหลุดแล้วจะเละเทะเพราะมันจะเหวี่ยงไปมาคล้ายๆ Under สลับกับ Over

ขับหลังโดยสายเลือดมักจะท้ายออก (oversteer)  เพราะลักษณะการกระจายน้ำหนักจากหน้าไปหลังเครื่องหน้า เกียร์อยู่ตรงกลาง เพลากลางอยู่ตรงกลาง เฟืองท้ายอยู่ที่ท้ายรถจริงๆ และแรงบิดที่ส่งไปล้อหลังทำให้ล้อหลังมีแนวโน้มที่จะสบัดท้ายออก  การแก้ไขยากกว่าหน้าแหก แต่รถขับหลังแบบบ้านๆทั่วๆไปโรงงานเค้าก็มักเซ็ทให้เป็น Understeer โดยการเซ็ทสปริง ช่วงล่าง ยาง และอื่นๆให้ออก Understeer นิดๆเพื่อความปลอดภัย ยกเว้นขับหลังที่ถูกสร้างมาเอามันส์เช่น 86 M3 Ferrari Porche พวกนั้นกวาดท้ายตลอด  แต่หากขับเป็นๆก็ไม่ได้ยากอะไร แถมสนุกมากๆ

ลองดูวิดีโออันนี้ดูครับ ดีมากๆ ให้ความเข้าใจได้ดี

Top Gear Season 19 Episode 3


ออฟไลน์ Adi Autolism

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 313
  • Adi Autolism..
ออกตัวก่อนว่าไม่ได้ขับรถเก่งกาจอะไรนะคับ เพียงแต่ขับรถค่อนข้างเร็วและเคยขับมาหมดแล้วทั้งขับหน้า ขับหลัง ขับสี่!!!!!

ขับหน้า ขับแล้วสบายใจสุด ง่ายสุด ถ้าเซตดีๆไปได้เร็วมากในโค้งแคบๆ แก้อาการง่ายสุด แต่มันไม่ใช่ ;D

ขับหลัง มันส์สุด ยิ่งหนุ่มๆขับออกตัวกลับรถ เอี๊ยดดดดด ท้ายสไลด์สนุกมาก แต่ถ้าเผื่อสะใจอันตรายสุด แก้อาการยากสุด น่ากลัวยิ่งตอนขาดสติ :D

ขับสี่ แข็งๆขืนๆทื่อๆ หนักๆ เข้าโค้งอาการเหมือนขับหน้า ออกโค้งได้เร็วกว่าแบบอื่น แต่ต้องใจถึง ถ้าเรียนรู้รถแล้วแก้อาการได้ง่าย สนุกแบบงงๆ
       ก็แล้วแต่การเซตช่วงล่างจากโรงงานด้วย อยู่ที่ลักษณะรถด้วยนะคับ เช่นขับสี่ ฟอร์จูนเนอร์ จะมายัดเข้าโค้งแบบอีโวหรือซูบารุ มีหวังแปะข้างกำแพงแน่ :D :D

เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคับ ;D

keanetona

  • บุคคลทั่วไป
ออกตัวก่อนว่าไม่ได้ขับรถเก่งกาจอะไรนะคับ เพียงแต่ขับรถค่อนข้างเร็วและเคยขับมาหมดแล้วทั้งขับหน้า ขับหลัง ขับสี่!!!!!

ขับหน้า ขับแล้วสบายใจสุด ง่ายสุด ถ้าเซตดีๆไปได้เร็วมากในโค้งแคบๆ แก้อาการง่ายสุด แต่มันไม่ใช่ ;D

ขับหลัง มันส์สุด ยิ่งหนุ่มๆขับออกตัวกลับรถ เอี๊ยดดดดด ท้ายสไลด์สนุกมาก แต่ถ้าเผื่อสะใจอันตรายสุด แก้อาการยากสุด น่ากลัวยิ่งตอนขาดสติ :D

ขับสี่ แข็งๆขืนๆทื่อๆ หนักๆ เข้าโค้งอาการเหมือนขับหน้า ออกโค้งได้เร็วกว่าแบบอื่น แต่ต้องใจถึง ถ้าเรียนรู้รถแล้วแก้อาการได้ง่าย สนุกแบบงงๆ
       ก็แล้วแต่การเซตช่วงล่างจากโรงงานด้วย อยู่ที่ลักษณะรถด้วยนะคับ เช่นขับสี่ ฟอร์จูนเนอร์ จะมายัดเข้าโค้งแบบอีโวหรือซูบารุ มีหวังแปะข้างกำแพงแน่ :D :D

เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคับ ;D

+1

สำหรับในชีวิตจริงรถขับหน้าจะขับได้ง่ายมากครับ ถอยจอดก็ง่าย เพราะน้ำหนักลงล้อหน้า ขณะที่ขับหลังล้อหลังจะฟรีทิ้งบ้าง

ออฟไลน์ KyOcHiR0

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 195
    • อีเมล์
ยังไงไม่รู้ แต่ขับหลังนี่ จะออกตัวสำหรับรถที่เครื่องมีกำลังหน่อย เช่น350z กดลึกๆนี่ล้อมันฟรีท้ายสะบัดๆได้อารมมาก อิ้อิ้ ;D
HeLLo!!

Stroke8

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ได้โพสซักพักแล้ว เจอกระทู้น่าสนใจ ก็จัดนิดๆ

บอกว่าตัดระบบความช่วยเหลืออกไปหมด งั้นก็ตัดออกไปให้หมดจริงๆนะครับ ตัดความเชื่อที่ว่า ขับหน้า Understeer ขับหลัง Oversteer ออกไปด้วยเลยตอนนี้ เพราะว่าเอาจริงๆแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวกันโดยตรงครับ ถามว่ามันเกี่ยวไหม มันก็เกี่ยว แต่รถขับหน้า ก็เซ็ต Oversteer ได้ (Peugeot 106 GTi เป็นตัวแทนของเรื่องนี้) และรถขับหลัง ส่วนมากก็ถูกเซ็ตมาให้ Understeer กันทั้งนั้น (ครับ จริงครับ เชื่อผมนะ)

ต้องเข้าใจกันก่อนนะครับ ว่าแต่ละอาการ มันเกิดขึ้นเพราะอะไร

Understeer เกิดขึ้นเพราะว่า มีแรงกระทำเกิดขึ้นกับยางหน้ามากเกินความสามารถในการเกาะถนนของมัน แรงกระทำนี้เกิดได้ทั้งจาก Centrifugal Force หรือแรงขับเคลื่อน หรือแม้กระทั่งมวลที่ล้อหน้าต้องรองรับ หรือถ้าจะให้สุดๆ ก็สามอย่างพร้อมกันไปเลย (โลกแห่งความเป็นจริง ต้องเป็นสามอย่างพร้อมกันอยู่แล้วนะครับ อย่างใดมากกว่าอย่างใดแตกต่างกันไประหว่างรถแต่ละคัน) ส่วน Oversteer นี่ก็เหมือนกันครับ แต่ว่าเกิดขึ้นกับล้อหลัง

รถขับเคลื่อนล้อหน้า แรงขับเคลื่อนจะถูกส่งไปที่ล้อหน้า ทำให้ล้อหน้าต้องรับภาระมากกว่า ส่วนรถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง แรงขับเคลื่อนจะถูกส่งไปที่ล้อหลัง ทำให้ล้อหลังต้องรับภาระมากกว่า นี่เป็นเหตุผลที่ว่า L.S.D ทำให้รถขับเคลื่อนล้อหน้ามีอาการ Understeer น้อยลง แต่ ทำให้รถขับเคลื่อนล้อหลัง Oversteer มากขึ้น เพราะการกระจายแรงขับเคลื่อนทำให้ด้านใดของรถเคลื่อนที่เป็นเหมือนมวลก้อนเดียวมากขึ้นครับ (มีสองล้อที่เป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้เกิดการเปลี่ยนทิศทาง ไม่ใช่ล้อเดียวแบบรถ Open Diff) ทุกอย่างล้วนเป็นฟิสิกส์ ผมเองก็ไม่เข้าใจหรอก บอกตรงๆ เอาแค่ว่า อย่าเพิ่งไปใส่ใจเรื่องนี้ เพราะคุณเจ้าของกระทู้เองบอกมาว่าไม่นับตัวช่วยอะไรเลยทั้งหมด

คราวนี้พอไม่เข้าใจเรื่องแรกแล้ว ก็มาไม่เข้าใจเรื่องต่อไป สิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งในการเกิด Oversteer หรือ Understeer คือมวล

มวลที่ด้านหน้า จะเป็นแรงกดลงไปบนล้อหน้า ทำให้ยางหน้ายึดติดกับถนนมากกว่ามากกว่า แล้วก็จะลดอาการ Understeer และมวลที่กดลงไปบนล้อหลัง ก็จะลดอาการ Oversteer เหมือนกัน นี่เป็นหลักการเดียวกับพวก Spoiler และ Splitter ครับ Spoiler เป็นเหมือนกับปีกเครื่องบินที่คว่ำ ทำให้เกิดแรงกดแทนที่จะเป็นแรงยก เพิ่มการยึดติดถนนในด้านหลัง ส่วน Splitter ก็คล้ายๆกัน แต่เป็นกับด้านหน้า มวลอยู่ที่ใด ก็ยึดติดถนนด้านนั้นมาก นี่เป็นเหตุผลที่ว่ารถที่ใช้ในเมืองหิมะ (ลำบากครับ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอยากอยู่แบบ Frozen กันมาก) จึงนิยมใช้อุปกรณ์ช่วยในการเพิ่มแรงยึดเกาะที่ล้อขับเคลื่อน รถขับเคลื่อนล้อหลัง ก็ต้องใช้ถุงทราย หรือแผ่นคอนกรีต ใส่ท้ายรถไว้ เพิ่มน้ำหนัก เพิ่มแรงยึดเกาะ และนี่เป็นเหตุผลที่รถขับเคลื่อนล้อหน้า เป็นที่เข้าใจกันว่า ดีกว่าในหิมะ นอกเหนือจากน้ำหนักที่อยู่ด้านหน้าเป็นส่วนมากอยู่แล้วด้วยขีดจำกัดงานวิศวกรรม แรงขับก็ถูกส่งไปยังด้านที่มีน้ำหนักมากนั่นด้วย

พูดกันง่ายๆ แรงเกาะมาก = ด้านนั้นเลี้ยวได้มาก

อีกอย่าง รถขับเคลื่อนล้อหลัง ที่การกระจายน้ำหนักอยู่ที่ด้านหลังมาก ก็จะเกิดอาการ Oversteer ได้น้อยกว่า... ถ้ามองแค่เรื่องนี้อย่างเดียวนะครับ

Porsche 911 เป็นรถที่ขึ้นชื่อว่า Oversteer ได้น่ากลัวมาก รุ่นที่มีชื่อเสียมากที่สุดคือ 930 ครับ (Turbo ตัวแรก) เพราะว่า นอกเหนือจากน้ำหนักที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งทำให้มวลนั้นมากกว่าที่ยางจะรับได้แล้ว ยังมีการส่งกำลังที่ มาแบบไม่บอกกล่าวกัน (เพราะเทอร์โบแล็ค) เพราะฉะนั้นเวลาเร่ง น้ำหนักจะไปอยู่ที่ท้ายหมด ทำให้เกิดการ Understeer เวลาเลี้ยว น้ำหนักจะทำให้ยางหลังรับไม่ไหว และกำลังที่มาแบบอยู่ดีๆก็มา ทำให้ยางหลังนั้นต้องรับภาระเพิ่ม และแบบที่ไม่เตือนกันก่อน ผมไม่เคยลองขับ 911 930 Turbo นะครับ แต่ผมว่าแค่ 911 ขับหลัง ธรรมดา ก็น่ากลัวกว่ารถธรรมดาๆบ้านๆพอสมควร

สุดท้ายนี้ ยางทุกชนิดมีขีดจำกัดไม่เท่ากันครับ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ยางไม่ควรจะ Mismatch แต่ว่ายางหน้า และยางหลัง อาจจะไม่เหมือนกันได้ ยางที่ดีกว่า ควรจะไปอยู่ด้านหน้าเสมอ เพราะว่าเป็นล้อที่เลี้ยวครับ ยังไงๆล้อที่เลี้ยวก็สำคัญกว่า รถขับเคลื่อนล้อหลังใช้คันเร่งเลี้ยวได้ (เหยียบคันเร่งให้ท้ายพยายามเลี้ยว) แต่ยังไงๆ ล้อที่เลี้ยว ก็สำคัญที่สุด

นอกเหนือจากเรื่องพวกนี้แล้ว ก็มีเรื่องระบบช่วงล่าง รับแรงสะเทือนอีก แต่ผมไม่ใช่คนความรู้มากครับ ความรู้ผมมีจำกัด คงต้องให้คนที่เก่งกว่าผมมาตอบเรื่องช่วงล่างแล้วหละครับ


Edit: แล้วก็ลืมพูดเรื่องรถขับสี่ และการกระจายแรงส่งไปอีก แต่ก็ช่างเถอะครับ พิจารณากันดูก็ได้ มันก็ตามนี้แหละครับ น้ำหนัก แรงขับ ด้านหน้า ด้านหลัง มวล น้ำหนัก ฟิสิกส์ พิจารณามากไปก็ปวดหัวเล่นๆ ;D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 24, 2014, 22:29:56 โดย Stroke8 »

ออฟไลน์ pakorn_george

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 42
    • อีเมล์
ไม่ได้โพสซักพักแล้ว เจอกระทู้น่าสนใจ ก็จัดนิดๆ

บอกว่าตัดระบบความช่วยเหลืออกไปหมด งั้นก็ตัดออกไปให้หมดจริงๆนะครับ ตัดความเชื่อที่ว่า ขับหน้า Understeer ขับหลัง Oversteer ออกไปด้วยเลยตอนนี้ เพราะว่าเอาจริงๆแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวกันโดยตรงครับ ถามว่ามันเกี่ยวไหม มันก็เกี่ยว แต่รถขับหน้า ก็เซ็ต Oversteer ได้ (Peugeot 106 GTi เป็นตัวแทนของเรื่องนี้) และรถขับหลัง ส่วนมากก็ถูกเซ็ตมาให้ Understeer กันทั้งนั้น (ครับ จริงครับ เชื่อผมนะ)

ต้องเข้าใจกันก่อนนะครับ ว่าแต่ละอาการ มันเกิดขึ้นเพราะอะไร

Understeer เกิดขึ้นเพราะว่า มีแรงกระทำเกิดขึ้นกับยางหน้ามากเกินความสามารถในการเกาะถนนของมัน แรงกระทำนี้เกิดได้ทั้งจาก Centrifugal Force หรือแรงขับเคลื่อน หรือแม้กระทั่งมวลที่ล้อหน้าต้องรองรับ หรือถ้าจะให้สุดๆ ก็สามอย่างพร้อมกันไปเลย (โลกแห่งความเป็นจริง ต้องเป็นสามอย่างพร้อมกันอยู่แล้วนะครับ อย่างใดมากกว่าอย่างใดแตกต่างกันไประหว่างรถแต่ละคัน) ส่วน Oversteer นี่ก็เหมือนกันครับ แต่ว่าเกิดขึ้นกับล้อหลัง

รถขับเคลื่อนล้อหน้า แรงขับเคลื่อนจะถูกส่งไปที่ล้อหน้า ทำให้ล้อหน้าต้องรับภาระมากกว่า ส่วนรถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง แรงขับเคลื่อนจะถูกส่งไปที่ล้อหลัง ทำให้ล้อหลังต้องรับภาระมากกว่า นี่เป็นเหตุผลที่ว่า L.S.D ทำให้รถขับเคลื่อนล้อหน้ามีอาการ Understeer น้อยลง แต่ ทำให้รถขับเคลื่อนล้อหลัง Oversteer มากขึ้น เพราะการกระจายแรงขับเคลื่อนทำให้ด้านใดของรถเคลื่อนที่เป็นเหมือนมวลก้อนเดียวมากขึ้นครับ (มีสองล้อที่เป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้เกิดการเปลี่ยนทิศทาง ไม่ใช่ล้อเดียวแบบรถ Open Diff) ทุกอย่างล้วนเป็นฟิสิกส์ ผมเองก็ไม่เข้าใจหรอก บอกตรงๆ เอาแค่ว่า อย่าเพิ่งไปใส่ใจเรื่องนี้ เพราะคุณเจ้าของกระทู้เองบอกมาว่าไม่นับตัวช่วยอะไรเลยทั้งหมด

คราวนี้พอไม่เข้าใจเรื่องแรกแล้ว ก็มาไม่เข้าใจเรื่องต่อไป สิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งในการเกิด Oversteer หรือ Understeer คือมวล

มวลที่ด้านหน้า จะเป็นแรงกดลงไปบนล้อหน้า ทำให้ยางหน้ายึดติดกับถนนมากกว่ามากกว่า แล้วก็จะลดอาการ Understeer และมวลที่กดลงไปบนล้อหลัง ก็จะลดอาการ Oversteer เหมือนกัน นี่เป็นหลักการเดียวกับพวก Spoiler และ Splitter ครับ Spoiler เป็นเหมือนกับปีกเครื่องบินที่คว่ำ ทำให้เกิดแรงกดแทนที่จะเป็นแรงยก เพิ่มการยึดติดถนนในด้านหลัง ส่วน Splitter ก็คล้ายๆกัน แต่เป็นกับด้านหน้า มวลอยู่ที่ใด ก็ยึดติดถนนด้านนั้นมาก นี่เป็นเหตุผลที่ว่ารถที่ใช้ในเมืองหิมะ (ลำบากครับ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอยากอยู่แบบ Frozen กันมาก) จึงนิยมใช้อุปกรณ์ช่วยในการเพิ่มแรงยึดเกาะที่ล้อขับเคลื่อน รถขับเคลื่อนล้อหลัง ก็ต้องใช้ถุงทราย หรือแผ่นคอนกรีต ใส่ท้ายรถไว้ เพิ่มน้ำหนัก เพิ่มแรงยึดเกาะ และนี่เป็นเหตุผลที่รถขับเคลื่อนล้อหน้า เป็นที่เข้าใจกันว่า ดีกว่าในหิมะ นอกเหนือจากน้ำหนักที่อยู่ด้านหน้าเป็นส่วนมากอยู่แล้วด้วยขีดจำกัดงานวิศวกรรม แรงขับก็ถูกส่งไปยังด้านที่มีน้ำหนักมากนั่นด้วย

พูดกันง่ายๆ แรงเกาะมาก = ด้านนั้นเลี้ยวได้มาก

อีกอย่าง รถขับเคลื่อนล้อหลัง ที่การกระจายน้ำหนักอยู่ที่ด้านหลังมาก ก็จะเกิดอาการ Oversteer ได้น้อยกว่า... ถ้ามองแค่เรื่องนี้อย่างเดียวนะครับ

Porsche 911 เป็นรถที่ขึ้นชื่อว่า Oversteer ได้น่ากลัวมาก รุ่นที่มีชื่อเสียมากที่สุดคือ 930 ครับ (Turbo ตัวแรก) เพราะว่า นอกเหนือจากน้ำหนักที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งทำให้มวลนั้นมากกว่าที่ยางจะรับได้แล้ว ยังมีการส่งกำลังที่ มาแบบไม่บอกกล่าวกัน (เพราะเทอร์โบแล็ค) เพราะฉะนั้นเวลาเร่ง น้ำหนักจะไปอยู่ที่ท้ายหมด ทำให้เกิดการ Understeer เวลาเลี้ยว น้ำหนักจะทำให้ยางหลังรับไม่ไหว และกำลังที่มาแบบอยู่ดีๆก็มา ทำให้ยางหลังนั้นต้องรับภาระเพิ่ม และแบบที่ไม่เตือนกันก่อน ผมไม่เคยลองขับ 911 930 Turbo นะครับ แต่ผมว่าแค่ 911 ขับหลัง ธรรมดา ก็น่ากลัวกว่ารถธรรมดาๆบ้านๆพอสมควร

สุดท้ายนี้ ยางทุกชนิดมีขีดจำกัดไม่เท่ากันครับ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ยางไม่ควรจะ Mismatch แต่ว่ายางหน้า และยางหลัง อาจจะไม่เหมือนกันได้ ยางที่ดีกว่า ควรจะไปอยู่ด้านหน้าเสมอ เพราะว่าเป็นล้อที่เลี้ยวครับ ยังไงๆล้อที่เลี้ยวก็สำคัญกว่า รถขับเคลื่อนล้อหลังใช้คันเร่งเลี้ยวได้ (เหยียบคันเร่งให้ท้ายพยายามเลี้ยว) แต่ยังไงๆ ล้อที่เลี้ยว ก็สำคัญที่สุด

นอกเหนือจากเรื่องพวกนี้แล้ว ก็มีเรื่องระบบช่วงล่าง รับแรงสะเทือนอีก แต่ผมไม่ใช่คนความรู้มากครับ ความรู้ผมมีจำกัด คงต้องให้คนที่เก่งกว่าผมมาตอบเรื่องช่วงล่างแล้วหละครับ


Edit: แล้วก็ลืมพูดเรื่องรถขับสี่ และการกระจายแรงส่งไปอีก แต่ก็ช่างเถอะครับ พิจารณากันดูก็ได้ มันก็ตามนี้แหละครับ น้ำหนัก แรงขับ ด้านหน้า ด้านหลัง มวล น้ำหนัก ฟิสิกส์ พิจารณามากไปก็ปวดหัวเล่นๆ ;D

ขอบคุณครับ กระจ่างชัดเลย

ออฟไลน์ rokrok

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 380
ขออภัยนะครับ

แต่ผมอ่านแล้วว่ามันขัดแย้งกันอะครับ

ส่วนนึงคุณบอกว่า น้ำหนักลงล้อหน้ามาก ทำให้ล้อหน้ายึดเกาะได้ดี ลดการ understeer เพราะยิ่งหนักยิ่งทำให้ล้อด้านนั้นเกาะ

อีกส่วนดันบอกว่า ปอเช่ ล้อหลังหนัก ทำให้ oversteer

สองส่วนนี้ผมอ่านแล้วขัดแย้งกันนะครับ

อีกอย่าง ตัวอย่างรถที่หน้ารถหนักๆนั้น ล้วนแต่ under แหลกทั้งนั้นเลยครับ เช่น พวกญี่ปุ่นขับหน้าหรือ muscle car ขับหลัง

ส่วน 911 นั้น ตัวพ่อแห่งท้ายปัดเลยนะครับ

ส่วนตัวผม ไอเรื่องน้ำหนักนั้นผมเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่า มันส่งผลต่อการunder over ไปในทางไหนบ้าง

แต่ที่รู้แน่ๆคือ เวลาset รถแก้อาการ.... ถ้าอยากให้รถหน้าแถน้อยลง(หรือoverมากขึ้น) ให้ใส่เหล็กกันโครงหลังให้แข็งกว่าเดิมครับ ถ้าต้องการตรงกันข้าม ก็สลับกันครับ

เห็นตามclub รถ ชอบเอากันโคลงหลังมาขายกัน คนก็ใส่แต่กันโคลงหลังใหญ่กัน แล้วมาบอกว่า รถขับดีขึ้น...แต่ผมว่าอันตรายนะครับ เพราะรถมันเข้าโค้งดีขึ้นเพราะหน้าแถน้อยลง แต่มันไปเพิ่มความเสี่ยงที่รถจะover มากขึ้นนะครับ น่ากลัวมากๆ



อีกส่วนซึ่งน่าจะเข้าใจผิดคือ ยางใหม่ต้องใส่ล้อหลังนะครับ เพราะว่าถ้ายางใหม่ใส่ล้อหน้า จะทำให้รถ oversteer ซึ่งเป็นอันตรายครับ อันนี้เป็นความเข้าใจผิดฝังรากช่างไทยมากๆเลยครับ ผมไปเปลี่ยนยางทีไร ช่างมองหน้าตลอด

แนบคลิปมาให้ดูครับเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องครับ ปลอดภัยต่อชีวิตด้วย


ออฟไลน์ ight

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 82
ลองคิดเล่นๆนะครับ 
- ขับหน้า Under ง่าย เนื่องจากแรงบิดจากล้อหน้ามีมากกว่าล้อหลัง ทำให้ล้อหน้าสูญเสียการยึดเกาะได้ง่ายกว่าล้อหลัง
ขับหลัง Over ง่าย ใช้เหตุผลเดียวกัน เนื่องจากแรงบิดที่ล้อหลังมีมากกว่าล้อหน้าทำให้สูญเสียการยึดเกาะได้ง่ายกว่าล้อหน้า

และเมื่อแรงบิดของล้อเอาชนะน้ำหนักที่กดทับบนล้อ ก็จะทำให้ล้อไถลออก

พวกเครื่องหลังขับหลัง เวลา Over รุนแรงเพราะมีน้ำหนักที่ถ่วงบนล้อช่วยเหวียงด้วย

ขับสี่ ล้อหน้า-หลังมีโอกาสไถลพอๆกัน ขึ้นอยู่กับการเซ็ตช่วงล่าง


คิดเล่นๆนะครับ





Stroke8

  • บุคคลทั่วไป
คุณ rokrok อ่านให้ละเอียดก่อนนะครับ ก่อนที่สรุปอะไรเช่นนั้น

กรณีของ Porsche 911 ที่น้ำหนักอยู่ด้านหลัง เราต้องพูดถึงลิมิทกันครับ น้ำหนักมันช่วยทำให้ยางยึดติดกับถนนก็จริง แต่ยางมันก็มีลิมิทของมันอยู่ มันก็เกาะถนนได้ถึงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ผมอาจจะอธิบายไม่ชัดเจนเอง แต่ว่า Porsche 911 ไม่ได้ปัดเล่นๆ ขับๆอยู่ปัดแน่ครับ ไอ้ตำนานที่ว่า 911 ปัดเล่นๆนี้ ถ้าเกิดคุณกำลังพยายามเปลี่ยนความเชื่อของผมว่ายางดี ควรไปอยู่ด้านหน้า ผมก็ขอพยายามเปลี่ยนความเชื่อของคุณบ้างครับ

ถ้าเกิดคุณเคยขับ Porsche 911 จริงๆ แล้วก็ขับจนกระทั้งยางมีได้เอียดอ๊าดกันบ้างนะครับ สิ่งแรกที่จะได้สัมผัส ก็คือ Understeer นะครับ Understeer มากกว่ารถปกติด้วย นั่นเป็นเพราะว่า น้ำหนักซึ่งเวลาจอดเฉยๆ มันก็อยู่ด้านหลังอยู่แล้ว เวลาเร่ง น้ำหนักมันก็ถ่ายไปด้านหลังเพิ่ม น้ำหนักอยู่ด้านหลัง ด้านหลังเกาะ ด้านหน้าน้ำหนักน้อย ล้อที่เลี้ยวไม่เกาะ รถมันก็ Understeer ครับ

แต่ทีนี้ พอเราเข้าใจว่าแรงดึงของแรงโน้มถ่วงแล้ว เรามาสนใจเรื่องแรงเหวี่ยงบ้าง

นึกภาพก้อนเหล็กที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายครับ มีจุดหมุนอยู่ด้านบน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Pendulum ทีนี้เมื่อเราเหวี่ยงก้อนเหล็กนั้น เราก็จะพบว่า ส่วนที่เป็นก้อนเหล็ก เคลื่อนที่มากที่สุด และหยุดยากที่สุด นั่นคือส่วนที่มีมวลมากที่สุด ครับ มวลมาก แสดงว่ามีอำนาจแรงกระทำมาก จึงต้องใช้แรงเฉื่อยมาสู้มาก

ผลลัพธ์ของทั้งหมดข้างบน? เวลาที่ยางหลังของ Porsche 911 สูญเสียแรงยึดเกาะ มันสูญเสียแบบทันทีทันใดครับ

เพราะว่า ยางหลังของ Porsche 911 มีแรงกดยึดมากกว่ารถปกติ มีแรงเกาะยึดมาก เวลาสูญเสีย มันจะมาแบบฉับไวไม่เตือนกันมากกว่า คิดว่ามีกริป คิดว่ามีกริป คิดว่ามีกริป กริปไม่เหลลือ คูน้ำข้างทาง ต้นไม้ ถอยหลัง รวมเรื่องระบบส่งกำลังที่พูดไปแล้วด้านบน เป็นเหตุผลที่ 911 เทอร์โบเดี๋ยวนี้ขับสี่ครับ มันไม่ใช่ว่าจะปัดเล่นๆแรนด้อม ถ้าจะแบบนั้นเดี๋ยวผมเล่าเรื่องของ Chevrolet Corvair ให้ (ถ้าอยากให้เล่านะครับ) 911 มันแค่ปัดเล่นๆโดยไม่เตือนกันก่อน ไม่เหมือนกับรถขับหลัง น้ำหนัก 50/50 ที่กว่าจะเสียแรงยึดเกาะแทบจะส่ง SMS มาเตือนกันก่อน

ถ้าไม่เชื่อว่าหน้าหนักแล้ว UndersteerOversteer ก็ลองหารถขับหน้า หน้าหนัก ท้ายเบา ซักคันมาครับ ลองขับไปซัก 60-70 กดคันเร่งหนักๆนะครับ แล้วพอตอนหักเข้าโค้ง ปล่อยคันเร่งดู (แนะนำว่า อย่าไปทำจริงนะครับ เดี๋ยวได้ลงคูน้ำกัน)

รถยนต์มันก็เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ครับ ถ้าเกิดเรามองที่จุดเดียว เราก็ไม่เข้าใจมันหรอก มันเกิดจากทุกสิ่งทุกอย่างรวมกัน ดูแค่จุดเดียวแล้วสรุปไปเลย มันไม่ได้หรอกครับ ;)

ถามว่าแล้วทำไมรถ Muscle Car ถึงได้ Understeer กันหนัก? เพราะว่าการเซ็ตช่วงล่างสามารถเปลี่ยนลดอาการทั้งหมดข้างบนนี่ได้เลยนะครับ และถ้าคุณลองค้นดูหลายๆแหล่ง คุณจะพบว่ารถ Muscle Car หลายคันที่ Understeer มากๆ ไม่มียางเรเดียล และไม่มีเหล็กกันโคลงหลังเลย ไม่มีเลยครับ... อาจจะมี Trailing Arms มาควบคุม Axle Hop แต่รถอเมริกันคันใหญ่รุ่นแรกที่มีเหล็กกันโคลงหลังมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ใหม่กว่าที่คิดเยอะครับ ลองย้อนกลับไปดูข้อความของคุณเองนะครับ ว่านี่มันหมายความว่าอะไร

ปล.การเลี้ยวของผมในข้อความแรก หมายถึงเลี้ยวไปตามทิศทางของหน้ายางนะครับ ไม่ใช่เสียกริปควันขโมงดริฟกันอย่างนั้น ผมบอกว่าเลี้ยวคงจะผิด บอกว่าแรงเกาะ จะดีกว่า
ปล2. ผมยกตัวอย่าง 911 ก็เพื่อให้เรื่องที่ผมบอกนั้นขัดแย้ง อันนี้ตั้งใจครับ เพราะว่าเรามองแค่เรื่องน้ำหนักอย่างเดียวไม่ได้! :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 26, 2014, 01:49:08 โดย Stroke8 »

ออฟไลน์ rokrok

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 380
- คือมันย้อนแย้งกันครับ เพราะตอนแรกคุณบอก หน้าหนัก=มีแรงกดมาก=หน้าเกาะ เป็นoversteer แต่ตอนนี้คุณมาบอก หน้าหนัก understeer

- 911 คุณบอก หลังหนัก แต่ understeerเหมือนกัน

มันเลยกลายเป็น หน้าหนัก ก็ under หลังหนักก้ under มันย้อนแย้งกันครับ

คือตัวผมเองผมก็บอกไม่ได้ว่าน้ำหนักหน้าหลัง ส่งผลยังไงต่ออาการรถ เพราะผมลืมไปหมดแล้ว แต่มันมีสูตรคำนวนอยู่ ทีนี้ ผมไม่อยากให้คุณมาบอกว่า อาการของแต่ละอย่างมันเป็นยังไง โดยพูดจากการคิดเอาเองหรือความรู้สึกครับ เพราะพวกนี้มันเป็นวิศวะ เป็น fact ที่แน่นอนอยู่แล้ว ไม่สามารถมาพูดเอาเองได้ มันจะทำให้คนสับสนเปล่าๆ
สับสน
จะมาบอกว่า น้ำหนักมากจนยางรับไม่ไหวก็ไม่ถูกครับ เพราะสูตรคำนวนมันมีอยู่ว่า f=มิว*N โดยNคือน้ำหนักรถครับ แปลว่า น้ำหนักมาก ยิ่งเกาะมาก
แต่มันต้องพิจารณาร่วมกะอย่างอื่นด้วย เพราะอาการของรถ มันคุมด้วย สปริงโช้ค camber เหล้กกันโครงครับ

- เรื่องขับหน้าแถนั้น ผมก็บอกแบบนั้นมาแต่ต้นครับ เพราะผมก้ขับโหดเหมือนกัน แถเป้นว่าเล่น แต่ขับหลังมันก็แถเหมือนกัน ขับ4มันก็แถเหมือนกัน เพราะเขาset มาให้เป็นแบบนั้นครับ จะมาบอก ว่าเรื่องน้ำหนักหน้าหลังนั้นมันไม่ใช่ครับ

-ส่วน corvair นั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยครับ อันนั้นมันเป็นเพราะช่วงล่างหลังมันเป็น swing axle ที่ออกแบบไม่ดี ทำให้เวลาเข้าโค้งหนักๆ จากตอนแรกที่ล้อเป็นcamberลบ มันดันพลิกกลับมาเป็นcamber บวก ครับ ทำให้รถเสียการทรงตัว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่เราพูดกันเลย

- แล้วเรื่องยางใหม่ไว้หลังมันเป็น fact ครับไม่ใช่ความเชื่อ ผมมาบอก เผื่อให้คนเข้าใจว่า สิ่งที่คนไทยเข้าใจกันมามันผิดครับ ฝังรากมายาวนาน ไม่ใช่ใครจะเชื่อว่ายังไง แต่มันคือ fact เพื่อความปลอดภัยครับ

ไม่ได้ต้องการมารบกะคุณเพื่ออะไรนะครับ แต่อยากชี้แจ้งให้มันถูกต้อง เพื่อประโยชน์ของคนที่อ่านครับ

ไอเรื่องที่ผมไม่รู้ผมก็ไม่ฟันธง แต่เรื่องที่ผมรู้ดีผมก็ขอมาขัดครับผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 26, 2014, 00:26:03 โดย rokrok »

Stroke8

  • บุคคลทั่วไป
ผมไม่มองว่าการที่คุณมาขัดเป็นเรื่องที่ไม่ดีครับ ผมมองว่า ดีเสียอีก ที่คุณมาแก้ข้อความ หรือมาแย้งผม เพราะสิ่งหนึ่งที่ผมพยายามบอกนัยๆให้ทุกคนรู้เสมอในหลายๆความเห็นที่ผมตอบไป ผมไม่ได้รู้ทุกเรื่องครับ อย่าเชื่อผมไปหมด ผมก็รับข้อมูลมาผิดๆได้ หรือแย่ไปกว่านั้น เรียบเรียงข้อความผิด ผมก็เป็นคน ไม่ได้เป็นคนที่เก่งเลิศอะไรด้วย ออกจะมึนๆเสียอีกในหลายๆกรณี แต่ที่แน่นอนคือ ผมพิมพ์อะไรไปก็ผิดพลาดกันได้ครับ อีกอย่าง ผมตกฟิสิกส์ครับ อันนี้ผมว่าผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้วในกระทู้ใดกระทู้หนึ่ง

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจะยึดมั่นเลยคือ ผมว่าผมบอกชัดเจนนะครับ ว่ามันไม่ได้มีเรื่องน้ำหนักแค่เรื่องเดียวเหมือนกัน ย่อหน้าที่สามจากบรรทัดสุดท้ายครับ และผมก็เพียงแต่เอาน้ำหนักมาเสริมเรื่องที่ จขกท. ถาม ก็คือเรื่องแรงขับ สรุปก็คือ ผมบอกชัดเจนไปแล้วครับ ว่าจะสรุปเอาเลย โดยมองเพียงเรื่องเดียวไม่ได้ ผมละเรื่องช่วงล่างไว้ เพราะว่าช่วงล่างมันแก้อาการทั้งหมดนี้ได้ (ก็ไม่หมดหรอกครับ) ผมจึงมองว่า ช่วงล่างเป็นส่วนหนึ่งของ "ระบบช่วย" ครับ

ส่วนเรื่องยาง เป็นเรื่องที่ยังคงเป็นที่ถกกันอยู่นะครับ ผมคงจะไม่ตีความว่ายางดีอยู่ด้านไหนเป็น Fact แน่ๆ ยังมีคนที่บอกว่า ล้อที่เลี้ยว สำคัญที่สุด (แบบผม) กับคนที่บอกว่า ยางดีความจะไปอยู่ด้านหลัง เพราะว่า Understeer มันคุมได้ง่ายกว่า ปลอดภัยกว่า (แบบคุณ) อยู่เยอะพอสมควรทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลแตกต่างกัน แต่ผมก็ยินดีที่จะรับข้อมูลใหม่ๆครับ ;) (แต่เวลาเปลี่ยนยางผมก็เปลี่ยนสี่ล้อตลอดนะครับ เรื่องยางผมค่อนข้างจะซีเรียสเสมอ ว่าสี่ล้อต้องเหมือนกัน และอยู่ในสภาพดี)


ปล. สำหรับคนอื่นๆ ตัวอย่างที่ผมยกให้ไป"ไม่"ลองทำ คือ Lift Off Oversteer นะครับ เมื่อเรายกคันเร่ง น้ำหนักจะเทไปอยู่ที่ด้านหน้า ท้ายเบา ทำให้ท้ายปัดออก Oversteer นะครับ ถ้าเกิดสงสัยว่าทำไมต้องขับ 60-70 แล้วไปยกคันเร่งกลางโค้ง
ปล.2 พิมพ์ผิดแค่ตัวเดียว แต่คุณแปลความว่า ผมบอกว่า หน้าหนัก = Understeer เลยเหรอครับ? ผมบอกมาตลอดว่าหน้าหนัก ทำให้ด้านนั้นเกาะกว่า เลี้ยวได้มากกว่า ลดอาการ Understeer มาตลอดข้อความเนี่ยนะ? ถ้าเกิดจะมีเรื่องให้ขุ่นมัวกันก็เรื่องนี้แหละครับ ผมไม่แน่ใจว่าคุณอ่านข้อความของผมละเอียดดี หรืออ่านทั้งหมดก่อนที่จะตอบ

Edited: วันนี้วันหยุด อยู่ต่อเลยละกัน

Corvair ท้ายปัดง่าย เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ครับ คุณมั่นใจฟิสิกส์คุณ ผมก็มั่นใจประวัติรถของผมเหมือนกัน

เหตุผลที่ Corvair ท้ายปัดง่าย ไม่ได้มีเฉพาะแค่กับเรื่องช่วงล่างหลัง Swing Axle แน่ๆครับ เพราะว่าอย่าลืมนะครับ รถอีกคันหนึ่งที่ใช้ช่วงล่างหลังแบบ Swing Axle ขายดีกว่าก็มาก เป็นที่แพร่หลายกว่า Corvair เห็นๆ นั่นคือ VW Beetle กลับไม่ได้เป็นที่พูดถึงกันในเรื่องนี้เสียเท่าไหร่ ผมยอมรับนะครับ ว่า Mercedes 300SL ที่ใช้ช่วงล่างหลังแบบ Swing Axle นั่นก็มีชื่อเสียงเรื่องท้ายปัดง่ายเหมือนกัน แต่ว่ารถมันแรงเยอะครับ ไม่เหมือนกัน Geometry มันทำให้แคมเบอร์เปลี่ยนได้เยอะ ทำให้เกาะน้อยกว่าก็จริง นอกเหนือจากนี้ เวลาช่วงล่างยืดตัว ยังเกิดแคมเบอร์ + ในทั้งสองข้างได้อีก

เหตุผลที่ Corvair ขึ้นชื่อว่าท้ายปัดนั้น เพราะว่า เนื่องจากการลดต้นทุนอย่างหนักของ General Motors (ซึ่งบอกได้เลยว่ามีมาตั้งแต่สมัยไหนๆ) สิ่งหนึ่งที่ถูกตัดออกไปคือ อะไรรู้ไหมครับ? เหล็กกันโคลงหน้า! อุปกรณ์ที่ช่วยลดอาการ Oversteer ในกรณีนี้ (ซึ่งคุณอธิบายมาแล้วในโพสของคุณเอง) นอกเหนือจากนั้นแล้ว เนื่องจากว่าน้ำหนักที่อยู่ด้านหลัง ทำให้สปริงด้านหลังต้องแข็งกว่าปกติมาก ส่งผลให้เกิดอาการ Oversteer ได้ง่ายอีก ถามว่าช่วงล่างทำให้เกิดอาการ Oversteer ไหม? ก็มีครับ เยอะด้วย ผมจึงบอกว่ามองเรื่องเดียวไม่ได้ ต้องมองหลายๆเรื่องประกอบด้วย ช่วงล่างไงครับ เป็นตัวอย่าง ช่วงล่างสามารถแก้ไข Weight Transfer ได้ ก็เลยส่งผลมาด้วย

เมื่อผมย้อนกลับไปอ่านข้อความของผมเอง ก็เจอจุดที่ขัดกันอยู่หลายจุดจริงๆครับ ผมจึงยึดมั่นเสมอ ว่าเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทุกวัน หา ค้น ถ้าไม่รู้ก็จะได้รู้มากขึ้น เมื่อย้อนกลับไปนึกดูเล่นๆ ก็เจอตัวอย่างอีกอย่างหนึ่ง Audi รุ่นที่เครื่องวางขวาง ขึ้นชื่อกันว่า Understeer กันมากๆ ทั้งๆที่หลายๆรุ่นมีการกระจายแรงขับที่ 40/60 และการกระจายน้ำหนักที่ 55/45 หน้าหนัก ควรจะลด Understeer แต่ในกรณีนี้ไม่ใช่ ก็แสดงว่ามีเรื่องช่วงล่างและการกระจายแรงขับมาเกี่ยวข้องครับ

ถ้าเกิดคุณรู้ในเรื่องนี้ ก็เอามาแชร์กันครับ แชร์ โลกนี้ต้องการการแชร์ อินเตอร์เน็ตทำให้การแชร์อะไรต่างๆง่าย และคนที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างผม ก็แชร์ง่ายเหมือนกัน คนที่รู้จึงควรจะแชร์มากๆครับ อย่าเก็บไว้คนเดียว เรื่องช่วงล่างผมรู้นิดๆหน่อยๆครับ ไม่พอที่จะไปบอกใครหรอก ช่วงล่างสำคัญครับ และ Weight Transfer ก็สำคัญเหมือนกัน ผมยังไม่ได้ลงรายละเอียดสองเรื่องนี้เลย คุณสนใจที่จะลงรายละเอียดไหมครับ? เป็นความรู้ให้คนอื่นกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 26, 2014, 02:40:53 โดย Stroke8 »

ออฟไลน์ Adi Autolism

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 313
  • Adi Autolism..
ใจเย็นๆกันคับ กระทู้ได้ความรู้ดี เถียงกันตามหลักการดีคับ
ส่วนตัว ขับมาหมดแล้วเหมือนกัน ข้อดี ข้อเสียแตกต่างกัน
ส่วนเรื่องถ้าเปลี่ยนยางใหม่เป็นคู่ ควรจะเปลี่ยนที่ล้อหน้าเสมอ ทั้งขับหน้าขับหลัง เพราะเป็นล้อบังคับเลี้ยว
คิดเล่นๆดูว่าถ้ายางเก่าเกิดระเบิดตอนขับซัก 120+ ถ้าเลือกได้ผมขอให้เป็นที่ล้อหลังดีกว่าคับ ผมจึงใส่ยางใหม่ที่ล้อหน้าเสมอ

 ;D

ออฟไลน์ rokrok

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 380
- Corvair โอเคครับเข้าใจแล้ว ผมไม่เคยได้ศึกษาไปลึกขนาดนั้นครับว่าช่วงล่างมันเป็นยังไง รู้แค่ว่ามัน swing axle และก้เรื่อง camber มันเพี้ยนเฉยๆ แต่ถ้าแบบตามคุณว่าก็เข้าเค้ากะเรื่องนี้ครับ

- ส่วนเรื่องย้อนแย้งนั้น ผมก็ว่าอ่านดีแล้วนะครับ คุณก็สรุปแย้งกันจริงๆอะ ตกลงหน้าหนักมันเพิ่ม under หรือลด under ครับ เพราะอ่านยังไงคุณก็บอกว่ามันทั้งเพิ่มทั้งลด(ในคนละประโยค)

- เรื่องยางนี่ไม่ทราบคุณดูคลิปที่ผมแนบไว้หรือยังครับ มันจะไม่เป็นfact ได้ไงครับ รถมันต้องทำให้ understeer อยู่แล้วโดยปกติ มันเป็นstandard หรือว่าถ้าคุณต้องการให้รถคุณ oversteer ก็แล้วแต่นะครับ แต่ถ้าคุณจะไปโพสที่ไหนต่อเรื่องนี้ โปรดเพิ่มไปด้วยว่า เปลี่ยนยางใหม่ไว้หน้าเสมอเพื่อให้รถoversteer นะครับ คนจะได้ไม่เข้าใจผิดว่า ยางใหม่ไว้หน้าแล้วมันปลอดภัย

- แล้วก็เรื่องน้ำหนักอยู่หน้าหรือหลังแล้วรถอาการยังไง ผมเจอสูตรในtextbook แล้วครับ แนบมาให้แล้ว W คือ น้ำหนักรถ (fหน้า,rหลัง) C คือ Cornering stiffness แยกหน้าหลัง

จากสูตรก็สรุปได้ง่ายๆเลยว่า ถ้าน้ำหนักล้อหน้ามาก = understeer /น้ำหนักหลังมาก = oversteer อันนี้มองที่กรณี C คงที่นะครับ คือจะมากจะน้อยแตกต่างกันก็ได้หน้ากะหลัง แต่เมื่อเราเปลี่ยนน้ำหนักหน้าหลังแล้ว ยังไง หน้าหนัก= under อยู่ดีครับ

ซึ่งมันก็เป็นไปตามรถทั่วไปไหมครับ รถเครื่องหนักหน้า ก็หน้าแถตามปกติ

แล้วมันก็ขัดกะคุณอยู่ดี เพราะคุณบอก "มวลที่ด้านหน้า จะเป็นแรงกดลงไปบนล้อหน้า ทำให้ยางหน้ายึดติดกับถนนมากกว่ามากกว่า แล้วก็จะลดอาการ Understeer และมวลที่กดลงไปบนล้อหลัง ก็จะลดอาการ Oversteer เหมือนกัน"

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 26, 2014, 20:24:25 โดย rokrok »