Porsche Boxster 986 :: First of another successful serie.

[Mr.Chaw]

สวัสดีครับ ก่อนอื่นเลยขอแนะนำตัวก่อนนะครับ เนื่องจากนี่เป็นโพสแรก หลังจากอ่านเวบมานาน
ผมชื่อ กี๋ ครับ เป็นวิศวกร โชคดีได้มาทำงานสายน้ำมันอยู่ที่ออสเตรเลีย เพื่อนๆที่แท่นเรียกผมว่า Mr. Chaw ตามชื่อตัวละครในหนัง Hangover 2 หน่ะครับ
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยเลยนะครับ

ก่อนที่จะ review รถคันนี้นั้น ขอกล่าวเกี่ยวกับตัวรถและสาเหตุที่เลือกซื้อสักเล็กน้อยนะครับ

สำหรับ Porsche Boxster คันนี้มีรหัสรุ่นว่า 986 (98x คือตระกูล boxster, 99x คือตระกูล 911 ครับ) 
เป็น boxster รุ่นแรกสุด เริ่มทำตลาดตั้งแต่ปี 1996 และขายเรื่อยไปจนถูกแทนที่ด้วยรุ่น 987 ในปี 2004
(987 และ 997 ซึ่งเป็น 911 นั้นยังใช้พื้นฐานจากตระกูล 9x6 อยู่มากครับ)

สำหรับ Porsche แล้วนั้น boxster รุ่นนี้เป็นรถรุ่นที่ porsche ฝากความหวังไว้มากทีเดียว ว่าจะต้องสร้างรถซักรุ่นนึง ที่จะทำให้ Porsche มีฐานลูกค้ากลุ่มอื่น
นอกจาก 911 ซึ่งในขณะนั้นเอง Porsche ก็กำลังตกที่นั่งลำบาก ด้วยฐานะทางการเงินที่ตกต่ำจากความปัญหา financial crisis ในอเมริกา
(porsche ในขณะนั้นมียอดขายหลักที่ US) รถสปอร์ตรุ่นใหญ่เครื่อง V8 วางหน้า ขับหลัง ตระกูล 928ซึ่ง CEO คนก่อนวางตำแหน่งให้เป็นรถสปอร์ตหรูหรา
แซงหน้า 911 (แน่นอนว่าพลาดมหันต์) ก็ไม่ได้สร้างตัวเลขยอดขายที่ใกล้เคียงกับที่วางแผนเอาไว้เลย
ส่วน 911 ตอนนั้นเป้นรุ่น 964 หรือ 993 ซึ่งก็ยังใช้ตัวถังพื้นฐานมาจาก 911 รุ่นแรก !!
ซึ่งนั้นก็ตั้งแต่ยุค 60s แล้ว ยอดขายก็พอประคับประคอง ไปได้ ซึ่งพอมาถึงรุ่นสำคัญรุ่นนี้ Porsche ขาย 986 ไปประมาณ แสนห้าหมื่นกว่าคัน
มากกว่า 911 รุ่น 993 และ 964 รวมกันซะอีก ว่ากันว่า Boxster รุ่นนี้ได้ช่วย Porsche ไว้จากการถูกซื้อโดยบริษัทรถใหญ่ บริษัทอื่น
ส่วนรุ่นพี่ 911 รุ่น 996 นั้น ทำยอดขายถล่มทลาย แซงหน้า porsche 911 ทุกรุ่นก่อนหน้านั้น

[Mr.Chaw]

สำหรับสาเหตุที่ผมเลือกรถคันนี้มาใช้ ก่อนอื่นเลยก็ต้องขอออกตัวว่า ผมเองก็ไม่ใช่คนมีเงินอะไร เป้นแค่ลูกจ้างธรรมดา บังเอิญโชคดีที่ว่าที่ประเทศ australia นั้น รถมือสองราคา
ค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับราคารถมือสองที่เมืองไทย แต่ก็ยังไม่ถูกเท่า US หรือ UK โดยเหตุผลหลักในการเลือกมีอยู่สามข้อได้แก่
1. ต้องเป็นรถเกียร์ธรรมดา และต้องเป็นเกียร์ธรรมดาที่สับได้รวดเร็วด้วย เนื่องจากกลับไทยไปก็ไม่สามารถขับรถเกียร์ธรรมดาได้ (รถติดเกินกว่าจะทานทน)
2. ต้องมีสมรรถนะพอสมควร ให้ความสนุกในการขับขี่ได้ เนื่องจากถนนที่นี่ค่อนข้างดี และใช้ความเร็วได้ (ในบริเวณที่ไม่มีตำรวจ ^_^)
3. เนื่องจากกระผมได้กลับไปสัมภาษงานที่บริษัทของไทยที่มีชื่อเสียง แต่ไม่ได้งานเนื่องมาจากบริษัทต้องการส่งคนไปทำงานที่ต่างประเทศ ส่วนผมอยากกลับไทย
ผมเลยอยากหารถแรงๆ สักคันไว้ใช้แก้ความเซ็ง (อันนี้น่าจะเป็นประเด็นหลัก)

สำหรับตัวเลือกที่มีในขณะนั้น บอกได้เลยว่าไม่มี Porsche เข้ามาในหัวเลย เนื่องจากไม่กล้าแม้แต่จะเปิดดูราคา ตัวเลือกตอนนั้นก้มี
1. Subaru Liberty GT ชื่อแปลกๆ แต่มันก็คือ Legacy Turbo BP/BL เมืองไทยนั่นเอง
2. Mazda 6 MPS รุ่นนี้ท่านผู้อ่านอาจจะไม่ทราบ เนื่องมาจากมันไม่มีขายในประเทศไทย (อาจจะมีนำเข้ามาโดย grey แต่ก็น้อยมากและก็เป็นรุ่น 2.3 ธรรมดา)
รุ่นนี้คือ Mazda 6 รุ่นแรงที่สุดเท่าที่ขาย วาง 2.2 Turbo และจ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดตรง (ก็คล้ายๆกับ TFSI ของ Audi นั่นเอง) ประกบเกียรธรรมดา 6 จังหวะเท่านั้น
Top gear เคย riview ไว้ครับ ลองหาดูได้

สำหรับรถที่ผมใช้อยู่ในตอนนั้นก็คือ Honda Accord Euro 5AT ซึ่งก็เป็นรุ่นที่ไม่มีขายในบ้านเราเช่นกันครับ กระผมจะนำมา review ในโอกาสหน้า
ซึ่งจริงๆแล้ว รถตัวเลือกทั้งสองนั้น ก็คือรถในระดับเดียวกันกับรถคันเดิมของผมนั่นเอง (แต่แรงกว่ามาก)

ทั้งสองคันนี้ review แทบทุก web ใน australia กล่าวไว้ว่าเป้นรถที่น่าขับทั้งคู่ และให้ตัวเลข 0-100 ในระดับ 6 วินาที
แต่พอมาวันหนึ่ง ผมได้เปิดดูราคา Porsche รุ่นนี้เข้าเท่านั้นแหล่ะ ความคิดผมได้เปลี่ยนไปในทันที เฮ่ย นี่ราคามันแทบจะไม่ต่างกันเลยหนิหว่า
แน่นอนว่า ถ้าผมจะซื้อ Porsche ในราคาระดับนี้ (6-7 แสนบาท) ย่อมจะได้รถปีเก่ากว่าตัวเลือกเดิมเกือบ 10 ปี  ก็เลยต้องมานั่งหาความรู้เพิ่มเติมด้านความทนทานและการใช้งาน
ซึ่ง ข้อมูลที่ผมพบคือ Boxster รุ่นนี้ ปัญหาหลักก็ได้แก่ Intermediet Shaft Bearing ซึ่งถ้าพังก็สามารถทำให้เครื่องทั้งเครื่องพังได้ จากการชนของวาล์ว
และรุ่นแรกๆ จะพบปัญหา head gasket ซึ่งเป็นปัญหาจากการผลิต ซึ่งผมก็ได้หาข้อมูลว่า ปัญหานี้ถ้าจะพบก็มักจะพบตั้งแต่ก่อนที่รถจะวิ่งผ่าน 100000 กม.
และปัญหา IMS นั้นผมได้ไปพบช่างซึ่งชำนาญการและซ่อมแต่ Porshce ก็ได้ให้ความเห็นว่า ปัญหานี้สามารถป้องกันได้ด้วยอุปกรณ์ detection แต่อย่างไรก็ตาม
ปัญหานี้ก็ยังพบอยู่และเป็น  design defect

ผมคิดๆดูแล้วเนื่องจากรถคันนี้ ซื้อเป็นเงินสด และถ้ามันต้องพังขึ้นมาจริงๆ ผมก็ยังมีเงินติดตัวเพียงพอที่จะหารถถูกๆมาใช้ได้ จึงตัดสินใจโดยใช้อารมณ์เหนือเหตุผล
ซึ่งก็ผิดจากหลักคิดของวิศวกรไปซักเล็กน้อย แต่เมื่อคิดจากความจำเป็นแล้ว ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ที่นั่งที่ 3  ที่ 4 และอัตราการใช้น้ำมันก็ไม่ได้ต่างอันใด กับรถตัวเลือกคันอื่นเลย
และการที่เป็นรถเปิดประทุนนั้น ไม่มีทางที่ผมจะได้ใช้ในเมืองไทย กรุงเทพ เมืองเทพสร้างอย่างแน่นอน ด้วยอากาศและการจราจร
ประกอบกับ รถคันที่ผมไปดูนั้น เจ้าของได้นำล้อขนาด 18 จาก 911 มาลงให้แล้ว และภายในก็เป็นสีแดง ซึ่งเป้นสีที่สร้างชื่อให้กับ Porsche และบริษัทอื่นต่างก็ลอกเลียนกันเรื่อยมา
จึงตัดสินใจซื้อ Porsche คันนี้มาใช้ครับ

[Mr.Chaw]

ตามที่กล่าวไว้ Porsche รุ่นนี้ ทำตลาดตั้งแต่ปลายปี 96 ซึ่งในช่วงปี 96 - 99  นั้น Boxster ใช้เครื่องรหัส M96 ขนาด 2.5 L. จากนั้นปี 2000 เป็นต้นไป
เครื่องยนต์ 2.5 ได้รับการขยายขนาดเป็น 2.7 L.และ Porsche ก็เปิดตัว Boxster S เป็นครั้งแรก ใช้เครื่อง 3.2 ซึ่งทั้งหมดเป็นเครื่อง block เดียวกัน
กำลังขับนั้น เครื่อง 2.5 L. จะมี 150 KW หรือ 204 ps.
เครื่อง 2.7 L. ซึ่งผลิตในปี 2000 - 2003 จะมี 162 KW. หรือ 220 ps
เครื่อง 2.7 L. ปี 2003 เป็นต้นไปจะมี 168 KW หรือ 228 ps.
ส่วน เครื่อง 3.2 L. ปี 2000 - 2003 จะมี 185 KW หรือ 252 ps.
เครื่อง 3.2 L. ปี 2003 เป็นต้นไปจะมี 191 KW. หรือ 260 ps.
และ เครื่อง 3.2 L. สำหรับรุ่นพิเศษ 550 edition จะมี 195 KW. หรือ 265 ps.
รุ่น 2.5 และ 2.7  จะจับคู่เกียรธรรมดา 5 speed นะครับ ส่วน 3.2 จะเป้น 6 speed และเกียร Auto พร้อมปุ่มกดปรับเกียร์ที่พวงมาลัย 5 speed ทุกรุ่น

อุปกรณ์ติดรถยนต์นั้น Porsche ได้ให้อุปกรณ์มาจำกัดจำเขี่ย สำหรับรถปีแรกๆ อันได้แก่
- Dual Airbag
- 1 CD stereo 2 speakers !!!
- ABS only
- เบาะหน้า (แน่นอนว่าเบาะหลังไม่มี) ปรับไฟฟ้า เฉพาะแผ่นหลัง เลื่อนขึ้นลง และหน้าหลังด้วยระบบอัตโนมือ (ปรับมือนั่นเอง)
- เบาะหนัง alcantara
- ล้อ 16 นิ้ว ลายใบพัดอย่างโบราณ
- climate control 1 zone ซึ่งก็พอเพียง
- Halogen headlight multi reflecter แบบ แผงกระจายแสง ไม่ใช่ตาเพชร !?!
- ไฟตัดหมอกมีนะครับ แต่รวมอยู่ในกรอบเดียวกัน (ดูไม่เท่เลย) หน้า และหลัง
- แผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้า (ไม่มีไฟ)
- พวงมาลัย 4 ก้านทรงโบราณ ยกมาจาก 911 รุ่น 993

ส่วน option ก็เยอะมาก ลิสต์ยาวเป็นหางว่าว ฝรั่งกล่าวไว้ว่าเป็นการเลือกซื้อรถที่ปวดหัวที่สุดในชีวิตคุณเลย อาทิเช่น
- ไฟหน้า xenon projector ปรับระดับอัตโนมัติ Porsche เรียกว่า Litronic
- side airbag
- ESP
- Trip computer !?
- cruise control !?!?
- ปัดน้ำฝนแบบหน่วงหลายความเร็ว ?!?!? โอ้ว นี่มันจะเกินไปไหมวะนี่ ต้องมาจ่ายตังคซื้อเพิ่ม
- ชุดเบาะหนัง และปรับไฟฟ้า (จ่ายแยกกันนะครับ)
- เครื่องเสียงนี่มีหลายเกรดมากครับ เริ่มด้วย ลำโพง 4 ตัว ต่อด้วยลำโพง 6 ตัว พร้อม DSP และหลังปี 2002 ก็มีระบบนำทางพร้อม CD changer 6 แผ่น
โทรศัพท์ติดรถ พร้อม ลำโพง 8 ตัว และ Amp จาก bose (รวม sub ให้ 2 ตัวด้วย)
- ชุดล้ออัลลอย ขนาดต่างๆ 16, 17 และ 18
- หลังคาแข็ง Hard top
- ชุดแต่งภายในมากมาย ลายไม้ ลายคาร์บอน บลาบลา..
- และอื่นๆ อีกมากมาย ไฟแต่งหน้า จนถึง rack หลังคา (ผมไม่ได้โม้นะครับ มี rack หลังคาด้วย)

หลังจากขายดิบขายดีไปได้ 6 ปี Porsche ก็ปรับโฉมให้ Boxster ครับ พร้อมกับปรับปรุงเครื่องยนต์ตามที่ได้กล่าวไป ด้วยการเปลี่ยนลวดลายในไฟหน้าและไฟท้าย
บริเวณไฟเลี้ยวสีส้มเปลี่ยนเป็นสีขาว เปลี่ยนลวดลายกระจังหน้าและท้ายให้ทันสมัย ขึ้น เปลี่ยนช่องทางรับอากาศด้านหลังประตูใหม่ เปลี่ยนหลังคาซึ่งเดิมเป็นพลาสติคใสเป็นกระจกหลังจริงๆ
พร้อมไล่ฝ้า ภายในติดตั้งช่องเก็บของฝั่งคนนั่งเป็นครั้งแรกของ Boxster เปลี่ยนพวงมาลัยเป้น 3 ก้านแบบเดียวกับ 911 หน้าปัดปรับปรุงใหม่บริเวณจอ LCD
และเปลี่ยนลายล้อใหม่

ขายอยู่แป๊ปเดียวก็เปลี่ยนโฉมเป็น 987 ครับ พร้อมๆกับรุ่นพี่ 911 ก็เปลี่ยนโฉมเป้น 997 ซึ่งตามที่กล่าวไป ทั้งสองรุ่นนี้ ยังคงใช้พื้นฐานเดิมเรื่อยมาจนกระทั่งปี 2012 ก็ได้เปลี่ยนโฉมเป็น
981 และ 991 ครับ ซึ่งเป็นการ design ใหม่หมดอีกครั้งของ Porsche

[Mr.Chaw]

ภายนอกนั้น Design ของรถรุ่นนี้เรียกได้ว่า ลอกแบบมาจากรุ่นพี่ 911 รุ่น 996 อย่างชัดเจน ตั้งแต่ด้านหน้า จนกลางลำตัวรถเลยทีเดียว พูดง่ายๆคือ ก็อปมาแปะเลย
แน่นอนว่าคนที่ซื้อ 996 ไปนี่บ่นกันเป็นแถว เนื่องจาก boxster มันถูกกว่า 911 รุ่นถูกที่สุดเกือบครึ่ง ใครมันจะไปชอบให้รถถูกกว่ามันหน้าตาเหมือนรถฉัน ?!?
ทั้งที่จริงๆแล้ว Boxster นั้นออกมาขายก่อน 911 เหมือนๆกับ Sylphy ออกมากขายก่อน Teana ตอนนี้อ่ะครับ
โดยเฉพาะไฟหน้าซึ่ง design มาแบบวงกลมผสมแถบยื่นออกมา (แบบนี้ ฝรั่งเรียกกันว่าทรงไข่ทอด fried eag)
ไฟหน้าแบบนี้ 911 ก็ได้มาเหมือนกัน มาตอนหลังปี 2002 Porsche ทำการ minor change ให้ 911 เลยได้ไฟหน้าใหม่ ส่วน boxster ใช้แบบเดิมจนหมดรุ่น

โคมไฟหน้านั้น รวมทุกอย่างครับ ไฟเลี้ยว ไฟต่ำไฟสูง ไฟตัดหมอก
ฝากระโปรงหน้าขนาดใหญ่ ภายในเก็บยางอะไหล่ และเครื่องมือครับ และมีที่ใส่สัมภาระ
กันชนออกแบบมารับกับแนวลาดของฝากระโปรงหน้า ด้านซ้ายและขวามีช่องรับลมภายในมีแผงระบายความร้อนหม้อน้ำครับ
ถ้าเป็น Boxster S ตรงกลางจะมีช่องเพิ่ม เพื่อระบายความร้อนด้วย

ที่ออกมาแบบนี้ก็ไม่นับว่าแปลก เนื่องจากช่วงนั้น  Porsche ก็เรียกได้ว่ามีงบพัฒนาจำกัด และก่อนหน้านั้นเมื่อปี 1990 Porsche ได้เซ็นสัญญาร่วมมือกับบริษัทผู้เชียวชาญในการ
ลดต้นทุนระดับโลก Toyota นั่นเอง ไว้ ซึ่งนอกจากจะลดต้นทุนพัฒนาแล้ว Toyota ยังช่วย Porsche ลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย ทั้งเทคโนโลยีการผลิต หรือลดต้นทุนวัสดุ
ไม่แปลกว่าในรถรุ่นนี้ ทั้ง 986 และ 996 ผู้ใช้บ่นกันมากเรื่องการใช้ชิ้นส่วนพลาสติคราคาถูก

[Mr.Chaw]

เทียบกับ 911 รุ่น minor แล้วครับ

[Mr.Chaw]

เปิดมาจะเจอที่เก็บสัมภาระ ยางอะไหล่ และแบตเตอรี่ ซ่อนอยู่ด้านในครับ

[Mr.Chaw]

ด้านหลังนั้น การออกแบบทั้งชุดแทบจะไม่ต่างจากรถต้นแบบที่ออกมาเมื่อปี  93 เลยครับ กันชนหลังชิ้นค่อนข้างใหญ่ วางชุดท่อไอเสียไว้ออกตรงกลาง
ซึ่ง จริงๆแล้วท่อไอเสียออกมาจากเครื่อง สองชุด ซ้ายและขวา ครับ จากนั้นผ่าน หม้อพัก แยกสองด้าน แล้วมารวมออกตรงกลาง
ถ้า Boxster ธรรมดา จะได้ปลายท่อตรงรี ส่วน Boxster S จะได้ปลายท่อคู่ครับ
ไฟท้ายสองชั้น ด้านยนเป้นไฟเลี้ยวและไฟถอยหลัง ส่วนด้านล่างเป็นไฟหรี่ ไฟเบรค และไฟตัดหมอกครับ สามดวง สามหลอด แยกกันเลย
ไฟเบรคดวงที่สามไว้ด้านบนครับก่อนชุดฝากระโปรงท้าย เป็น LED ยี่สิบกว่าดวงเรียงกัน
ส่วนตรงแถบยาวที่คุณเห็นด้านล่างของเครื่องหมายรุ่น เป็น spoiler ไฟฟ้าครับ ดีดขึ้นมาที่ 120 Km/H และพับกลับเองเมื่อลดความเร็วลง
(ที่ Western Australia speed limit ที่ 110 ==" คงจะได้ใช้อ่ะนะ)

[Mr.Chaw]

ฝากระโปรงท้ายนั้น คุณเปิดเข้าไปแล้วก้ยังไม่เจอเครื่องนะครับ
คุณจะได้ที่เก็บสัมภาระมาอีก 1 ที่ ซึ่งก็ค่อนข้างจะพอเก็บอะไรได้บ้างเลยทีเดียว (แต่ไม่พอให้พี่เจ้าของเว็บลงไปนอนแน่นอนฮับ ^^")
สำหรับเครื่องยนต์นั้น เค้าเอาไปวางไว้ด้านหลังเบาะนั่งเลยครับ และทำแผงปิดไว้หลังพนักพิงหัวนั่นแหล่ะ
การจะเปิดเข้าไปชมนั้น คุณก็ต้องเปิดหลังคาไว้ในตำแหน่ง service ซะก่อน (คือเปิดครึ่งเดียวอ่ะครับ) แล้วดึงพรมที่หุ้มไว้ออกมา
จากนั้นก้เปิดฝาที่ว่านี่ เครื่องยนต์ M96 ก็จะปรากฏต่อหน้าคุณครับ
พอเป็นแบบนี้ วิศวกร Porsche ก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่า อนาคตถ้าเจ้าของต้องมาเติมน้ำมันเครื่อง หรือน้ำหล่อเย็นแล้วต้องมาเปิดฝาหลังนี่
คงจะไม่สวย ก็เลยต่อท่อ ตรวจระดับน้ำมันเครื่อง ฝาเติมน้ำมันเครื่อง ไว้ให้คุณเลยครับ

[Mr.Chaw]

ด้านข้างนั้นมีเส้นสายที่ค่อนข้าง เรียบครับ เดินเส้นด้านบนออกมาจากแนวไฟหน้า และลากยาวต่อมาเป็นแนวขอบกระจก
ปลายด้านหลังนั้นตั้งให้เป็นสันขึ้นมาล้อกับด้านหน้า และจรดลงที่ไฟท้าย
จุดเด๋นที่สุดคงจะเป็นช่องรับอากาศเข้าเครื่อง ซึ่งจริงๆแล้วใช้ด้านเดียวนะครับ ในรุ่น 986
ส่วนอีกด้านนั้น ทำไว้ตกแต่ง ซุ้มล้อมีช่องว่างน้อยมาก ซึ่งก็เสียวๆว่ามันจะไปขูดยาง ราคาแพงของผมจริงๆ
ซุ้มล้อหน้ามีไฟเลี้ยวแปะมาให้แบบนี้ กลายเป็นเอกลักษณ์ของ Porsche ไปอีกหลายรุ่นครับ

[Mr.Chaw]

ภายใน ทั้งด้านหน้าและกรอบประตู ยกชุดมาจาก 911 เลยครับ คอนโซลหน้า หุ้มหนังแท้ทั้งชิ้น
รายละเอียดส่วนมากอยู่ที่ฝั่งผู้ขับ ซึ่งสังเกตได้จากแผงครอบชุดมาตรวัด ลากยาวไปถึงฝั่งคนนั่งครับ มีลูกเล่นด้วยการเปิดช่องแสงไปด้านหลังมาตรวัด
ด้านบนสุดเป้นชุดลำโพงซ้ายขวา ฝั่งคนนั่งนั้นเจาะช่อง air bag ชัดเจนครับ ด้านล่างไม่มีเกะใส่ของนะครับ !! ต้องเป็นรุ่นท้ายสุดปี 2001 ขึ้นไป
ตรงกลางนั้นเป็นที่รวมของชุดเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ และปุ่มควบคุมต่างๆ ด้านล่างเป็นช่องเครื่องเสียง 1 Din และถัดไปเป็นช่องเก็บแผ่น CD 4 แผ่นครับ
เก็บอย่างเดียวนะ เล่นไม่ได้ ต้องเอามาใส่เครื่องเสียงทีละแผ่น

เครื่องเสียง Basic สุดๆ CD และวิทยุ ไม่มี MP3 และอื่นๆครับ
เพราะของผมเป็นรุ่นธรรมดา คุณภาพเสียงห่วยถึงห่วยมาก 2 ลำโพง ไม่มีเบสใดใด
แถมเสียงเครื่องยนต์ก็ดังกระหี่ม ... เป็นอันว่า ไม่ต้องกล่าวต่อครับ

[Mr.Chaw]

มาตรวัดก็ยกมาจาก 911 อีกเช่นกัน แต่ตัดมาตรวัดซ้ายสุดและขวาสุดออกไปครับ (แบตเตอรี่และความดันน้ำมันเครื่อง)
ซึ่งมาตรวัดในลักษณะนี้ Porsche เปลี่ยนใหม่หมดจดจากตระกูล 993 ครับ และยังเป็นแม่แบบมาถึงรุ่นปัจจุบัน
ตรงกลางเป็นมาตรวัดรอบขนาดใหญ่ .. มาก Redline ที่ 6500 RPM ด้านซ้ายเป็นมาตรวัดความเร็วขนาดเล็กกว่าชัดเจน
ด้านขวาเป้นมาตรวัดระดับน้ำมันเชื้อเพลิงและความร้อน ส่วนด้านล่างตรงกลางนั้นเป็นมาตรวัดความเร็ว digital พร้อม On board computer ครับ
ซึ่ง OBC นี่แสดงอุณหภูมิภายนอก การสิ้นเปลือง และยังกำหนด speed alarm ได้ครับ (คือพอถึงความเร็วที่ตั้งไว้จะร้องเตือน)
การทำมาตรวัดแบบนี้มีข้อดีคือ คุณจะมองรอบเครื่องเป็นหลักเลยครับ และคุณจะแทบไม่มองมาตรวัดความเร็วเลย โดยที่มองมาตรวัด digital แทน
ซึ่งก็เหมาะมากสำหรับการขับเกียร์ธรรมดาครับ

พวงมาลัยสี่ก้าน ยกมาจาก 993 ไม่มีลูกเล่นใดใด มี air bag มาให้ และสำหรับรุ่นเกียรออโต้ จะมีปุ่มปรับเกียรมาให้ครับ
คล้ายๆ Jazz รุ่นแรกครับ คือสวิตง่ายๆสองฝั่ง กดขึ้นกดลง ไม่ใช่ paddle shift
พวงมาลัยมาแปลกครับ คือไม่สามารถปรับขึ้นลงได้ ?? แต่ปรับเข้าออก telescopic ได้
Porsche ค่อนข้างจะมั่นใจในตำแหน่งนั่งขับของรถมาก แต่ถ้าคนตัวเล็กๆมาขับก็ลำบากหน่อยนะครับ

ด้านล่างเป็นชุดคันเร่งแบบ Organ type คือวางติดพื้นและมีจุดหมุนที่พื้นรถ
เบรคและคลัชตื้นกว่าคันเร่งนิดหน่อยนะครับ และตำแหน่งพักขาซ้ายมีน้อยนิดนึง

[Mr.Chaw]

แผงประตูซึ่งก้ยกชุดมาจาก 911 นั้น ด้านบนหุ้มหนัง และด้านล่างเป็นกำมะหยี่ครับ คันไหนมี option airbag ก็จะมีช่องมาให้เห็นตรงส่วนหุ้มหนัง
คันไหนติด option เครื่องเสียงเพิ่มก็จะมีลำโพงตรงส่วนหุ้มผ้ามาครับ ซึ่งเป็น woofer box ฝังด้านในยาวไปตามแนวนอน
ที่วางแขนนั้นอยู่ในระดับที่ใช้ได้ แต่การออกแบบทำให้มันวางแขนไม่ได้ครับ แต่ คุณสามารถเปิดแผงสีดำนั้น เพื่อเป็นที่ใส่ของได้ ซึ่งก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย

[Mr.Chaw]

เบาะนั่งนั้นวางไว้ต่ำ ถึงต่ำมาก ร้อนถึงคนสูง 160 แบบผมต้องมาปรับมันขึ้นไปครับ เพื่อให้ได้ระดับกับพวงมาลัยที่ปรับสูงต่ำไม่ได้
ตำแหน่งการนั่งนี่รถแข่งเลยครับ คือแบบ roadster แท้ๆ ไม่ว่าคุณจะปรับเบาะยังงัย hip point ก็จะต่ำ ปลายเบาะจะรับต้นขาตอนปลาย
คือเป็นต่ำแหน่งที่คุณจะค่อนข้างเป็นหนึ่งเดียวกับรถครับ พนักพิงเป็นชิ้นเดียวรวมไปกับพนักพิงศีรษะครับ ปีกเบาะค่อนข้างโอบ
แต่เวลาอัดโค้งมันก้ยังไม่ยึดผมไว้ได้เต็มที่นะครับ เหมือนช่วงไหล่มันจะโยนออกไปเพราะไม่มีอะไรมาบีบไว้
ของผมเป็นชุดเบาะแบบธรรมดานะครับ ถ้าสั้ง option พนักพิงจะโอบใหล่ด้วย
เบาะนั่งค่อนข้างแข็งถึงแข็งมากครับ ทั้งพนักพิงและตัวเบาะค่อนข้างบาง

การเข้าออกจากรถนั้น คุณจะต้องใช้ความพยายามนิดหน่อยนะครับ ไม่ใช่แค่ระมัดระวัง เพราะขอบหลังคานั้นมันต่ำเหลือเกิน
ส่วนตำแหน่งเบาะก็ดันต่ำกว่าตำแหน่งที่คุณจะเข้าไปนั่งแบบปกติมาก ที่จับเหนือหัว (ที่แขวนเสื้อ) ก็ไม่มี ไม่ต้องไปหาอะไรจับ
และด้วยบานประตูที่ค่อนข้างยาว สมมติคุณจอดตามห้าง แล้วจะเปิดออกมาหรือเข้าไปนั่งนี่แบบ ... ลำบากอ่ะครับ

วิธีแก้ก็ง่ายมาก .... คุณก็เปิดหลังคามันซะเลยครับ 555 เท่านี้ก็ไม่ต้องไปกังวลว่าหัวจะโขกแล้ว

[Mr.Chaw]

ถ้าคุณไม่ได้ขายาวแบบฝรั่ง เบาะนั้งชุดนี้สามารถพับมาด้านหนัาและยัดของได้นิดหน่อยด้วยครับ
(ของผมยัดเป้ได้อันนึงเลย 55)

ระหว่างเบาะเป็นชุดควบคุมกระจกไฟฟ้า และเบรคมือ (ออกแบบมาสำหรับรถเยอรมันพวงมาลัยซ้าย)
ที่ท้าวแขนเล็กและวางไว้ต่ำ ไม่ต้องคิดจะไปวางแขนครับ เปิดออกมาใส่ของได้นิดหน่อย และล็อคได้ด้วย
หลังพนักพิงก็เป็นชั้นเก็บของครับ ด้านปลายซ้ายขวาของชึ้นที่เห็นนี้ ถ้าสั่ง  Option ก็จะมีลำโพงหลังมาให้ด้วย
ตรงกลางเปิดออกมาเป็นช่องเก็บของหลักของห้องโดยสารครับ
ด้านบนนั้นที่เห็นเป็น roll bar ครับ หุ้มหนังให้เรียบร้อย ตรงกลางเป็น wind deflector ครับ
เอาไว้กันลมไม่ให้มันวกเข้าพัดหัวคุณ เวลาขับ เปิดประทุน

[Mr.Chaw]

ในด้านเครื่องยนต์นั้น ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว รถคันนี้เป็นรุ่นแรกสุดที่ Porsche ผลิต วางเครื่อง M96 ขนาด 2.5 L. ซึ่งเป็นเครื่อง design ใหม่หมดจด โดย Porsche
เป็นเครื่อง 6 สูบ aluminium alloy วางสูบในแนวนอน สองแถว หรือที่เรียกว่า Boxer 4 วาล์วต่อสูบ ขับวาล์วด้วย DOCH คือ cam shaft คู่
(ต่อแนวสูบ 1 แนว ดังนั้นมี cam shaft 4 ตัว)

block เดียว หลายขนาด ตั้งแต่ 2.5 L. และ 3.4 L. สำหรับ 911 รุ่น 996 รุ่นแรกๆ ซึ่งเครื่องรุ่นนี้ก็มีเทคโนโลยีลำสมัยสำหรับสมัยนั้นทีเดียว อันได้แก่
Vario cam ซึ่งก็คือวาล์วแปรผันนั่นเอง (เหมือน VTEC หรือ VVTi) แต่แปรผันด้านเดียวนะครับ เหมือน Vanos รุ่นแรกๆ
Dry sump คืออ่างน้ำมันเครื่องแบบแห้ง จะมีปั๊มน้ำมันเครื่องดูดน้ำมันเครื่องออกจากฝาสูบแล้วนำมาทำการลดฟอง จากนั้นส่งต่อให้ปั๊มน้ำมันเครื่องตัวหลัก แบบเดียวกับรถแข่ง
resonance intake ซึ่งช่วยปรับระยะท่อไอดีให้เหมาะสมกับรอบเครื่อง

จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดจาก Bosch และจุดระเบิดด้วย direct coil สำหรับเครื่อง 2.5 L นี้ มีกำลังอัด 11.0 : 1 ครับ
ควบคุมคันเร่งด้วยสายสลิง สำหรับรุ่นก่อนปี 1999 หลังจากนั้นเป็นคันเร่งไฟฟ้าครับ
จากโรงงานกำหนดให้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง octane 96 ขึ้นไป และให้ใช้น้ำมันเครื่องจาก Mobil 1
กำลัง(เมื่อยังใหม่) 204 แรงม้า ที่ 6000 rpm แรงบิด 245 nm ที่ 4500 rpm ครับ red line เริ่มที่ 6500 rpm

สมรรถนะตามตัวเลขจากโรงงานกล่าวไว้ว่า 0-100 km/h นั้น 6.9 วินาที สำหรับเกียร์ธรรมดา และ 7.6 วินาทีสำหรับเกียร์อัตโนมัติ ครับ
ความเร็วสูงสุด จากโรงงานเช่นกัน 240 km/h สำหรับเกียร์ธรรมดา และ 235 km/h  สำหรับเกียร์อัตโนมัติครับ

[Mr.Chaw]

เกียร์ธรรมดา 5 speed ใช้การได้ดี มีระยะการสับเกียร์ที่กระชับ ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็ใกล้เคียงกับ ford focus tdci 6 sp manual แต่หนักกว่า
และยังมีระยะฟรีอยู่บ้าง คลัชถือว่าหนักทีเดียว และระยะรอยต่อระหว่างจับและปล่อยของแผ่นคลัช สั้นมาก
ระบบเกียร์ธรรมดาจะต้องกดคลัชจนสุด จึงจะสตาร์ทเครื่องได้ครับ ซึ่งสวิตชตัวนี้ก่อปัญหามาหลายรายแล้วครับ
อัตราทดเกียร์นั้นใช้รอบจัดทีเดียว สำหรับการออกตัวนั้น เกียร์ 1 ของท่านจะหมดเร็วมาก และรอบเครื่องที่ตวัดอย่างรวดเร็วทำให้ท่านต้องกระวีกระวาดเปลี่ยนเกียร์ขึ้น
เกียร์ 2 นั้นลากได้ถึง 100 และมีเวลาให้ท่านคิดก่อนจะเปลี่ยนเกียร์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้ารถที่ท่านใช้ไม่ได้ติด PASM (ซึ่งก็คือ ESP)
ท่านต้องระวังล้อหมุนฟรี ในการออกตัว หากจะทิ้งคลัช แต่ถ้าไม่ได้ทิ้งคลัช โอกาสออกล้อฟรีถือว่าน้อยอยู่ครับ

ความรู้สึกในการใช้งานสำหรับเกียร์ธรรมดา ก็ถือว่าให้พละกำลังที่เหลือเฟือสำหรับแทบจะทุกความเร็วในช่วง 0 - 160 ครับ(เกินกว่านั้นไม่เคยกด)
แต่กล่าวได้เลยว่ามันไม่ใช่รถที่ออกแบบมาให้แรงแบบสะใจเป็นรถ sport แบบ 911 เรียกได้ว่าเทียบกันไม่ได้เลยทั้งตัวเลขและความรู้สึก
ผมเคยเอารถคันนี้ไปอัดเทียบกับ 911 รุ่น 993 ที่เก่ากว่า ของเพื่อนมาแล้ว มันเป็น 911 รุ่นธรรมดาไม่ s และไม่มี turbo ผลคือพกความอับอายกลับบ้าน
เครื่องยนต์นั้นไม่ได้รอบจัด และเข็มวัดรอบไม่ได้ตวัดอย่างรวดเร็วแบบ 911 หากแต่เครื่องยนต์นั้นก็มีกำลังเพียงพอที่จะไล่กวด รถท้องถิ่น Australia
ประเภทคันใหญ่ใส่เครื่องเน้นขนาด แบบ Holden Commodore V8 หรือ Ford Falcon I6 4.0 L.
โดยข้อแม้ที่ว่า คนขับต้องกล้าเหยียบใช้รอบสูง เพราะเครื่องรุ่นนี้ ที่รอบต่ำๆแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีแรง

[Mr.Chaw]

ระบบเบรคเป็นแบบ ventilated disc ทั้ง 4 ล้อครับ ด้านหน้า 4 pot ด้านหลัง ลูกสูบเดียวตามปกติ
หลายชิ้นส่วนรวมทั้ง caliper นั้นใช้ supplier เป็น Brembo ซะด้วย
ABS นั้นติดตั้งมาเป็นมาตรฐานครับ แต่ถ้ารถคันที่ไม่ได้ติดตั้ง option PASM ก็จะไม่ได้ระบบ brake distribution ใดใด
ส่วน Brake assist นั้น ไม่มีครับสำหรับ 986
การใช้งานจริงนั้นเบรคค่อนข้างจะทำงานได้ดีมากครับ น่าจะเป็นเพราะว่าน้ำหนักรถนั้นน้อยเมื่อเทียบกับระบบเบรค
feeling ของแป้นเบรคนั้นค่อนข้างจะ linear หลังจากที่เหยียบไปจนเจอจุดเริ่มต้นเบรคแล้ว

ภาพนี้ชุดแพหน้าครับ

[Mr.Chaw]

สำหรับระบบช่วงล่างนั้น รูปแบบที่ค่อนข้างจะแปลกครับ คือ McPherson Strut ทั้ง 4 ล้อ
เนื่องจากด้านหน้าของรถนั้น เหมือน 911 ทั้งชุด ดังนั้นช่วงล่างด้านหน้าก็เลยยกมาทั้งชุดง่ายๆ แต่มีการปรับสปริงและ shock ให้แข็งขึ้นกว่า 911
ส่วนทางด้านหลังนั้น 911 จะได้ multi link ราคาแพงไป ส่วน Boxster เหมือนโดนลด spec
และคาดกันว่า Porsche ต้องการลดความยุ่งยากและเพิ่มพื้นที่สำหรับวางระบบเครื่องยนต์และเกียร์ จึงต้องมาใช้รูปแบบนี้ครับ

การ set ช่วงล่างสำหรับ boxster นั้น set มาได้แข็งมากครับ บอกได้คำเดียวว่าแข็งสุดๆตั้งแต่ผมขับรถมา
คุนลืม yaris S รุ่นแรกไปได้เลย นี่มากระเทือนยิ่งกว่าได้อีก ซึ่งที่จริงแล้ว มันก็เป็นรูปแบบที่ถูกต้องสำหรับรถแบบ roadster ครับ ซึ่งเอาไว้วิ่งบนถนนเรียบๆอย่างเดียว
รถผมนั้นยิ่งแย่เข้าไปอีก เมื่อผมนำล้อไปเปลี่ยนเป็น ล้อ 18 นิ้ว ซึ่งใช้กับ 911
ระยะยุบตัวของช่วงล่างนั้นไม่มากครับ และการ roll (โคลง) ในโค้งก็น้อย คาดว่าเกิดจากจุด roll center ซึ่งใกล้กับ CG ของรถ
เมื่อเร่งหรือเบรคแรงๆ อาการ dive และ squat เกิดขึ้นน้อยเช่นกันครับ ซึ่งการออกแบบช่วงล่างแบบ Mcpherson strut ให้มี anti dive squat นั้น ไม่ง่าย

สำหรับ Boxster S นั้น ท่านจะได้ชุดช่วงล่างแบบ sport มาจากโรงงานเลย หรือ Boxster ธรรมดาจะไปสั่งมาติดก็ได้ ความสูงของรถจะลดลงเล็กน้อยด้วยครับ (3 cm)
แต่โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า อย่าเลยครับ อย่า .. นี่มันก็แข็งจนแทบจะเหมือนไม่มีสปริงแล้ว

[Mr.Chaw]

พวงมาลัย rack and pinion มีเพาเวอรแบบไฮโดรลิค ธรรมดาไม่แปรผันน้ำหนักตามความเร็ว
ให้ความรู้สึกที่หนักครับ โดยเฉพาะในความเร็วต่ำๆ ในเมือง และต้องบอกว่าหนักมากในการถอยหลังเข้าจอด
ความเร็วสูงนั้น เบาลงครับ แต่ยังให้ความมั่นใจได้ดี ไม่วอกแวก on center ดีและระยะฟรีน้อย
อัตราทดที่เซ็ตมานั้น ไวครับ แบบรถสปอรตทั่วไป
มุม caster ที่ตั้งไว้ เป็นบวก ทำให้มี camber steer ช่วยเวลาเลี้ยวโค้ง พวงมาลัยชุดนี้ถ้าหักสุดไม่คืนเองนะครับ

ในการใช้งานจริง ผมนำรถคันนี้ไปลงสนามจิมคาน่า แล้วทำความเร็วในจุด slalom ได้ดีกว่า Honda Accord Euro ประมาณ 10 km/h ครับ
วิ่งประมาณ 90-95 ครับ ครูฝึกกล่าวกับผมว่า ยังน่าจะไปได้อีกเล็กน้อย แต่ผมป็อด ไม่สามารถ
ส่วนอาการนั้นจะออก neutral คือแถไปทั้งคันครับ และถ้าท่านหักพวงมาลัยเพิ่ม หรือเติมคันเร่งก็จะกลายเป้น Oversteer ตามแบบของรถขับหลังเครื่องวางกลางครับ
ในเวบต่างประเทศกล่าวกันว่าอาการนี้ไม่แย่เท่า 911 ซึ่งวางเครื่องไว้ด้านหลังเพลาขับ และยกย่องให้ Boxster เป็น Porsche รุ่นที่ handling ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง

[Mr.Chaw]

อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันนั้น สิ่อหลายประเทศเคยยก Boxster ให้เป็นรถสปอรตที่ประหยัดน้ำมันดีเด่นรุ่นหนึ่งเลยครับ
ผมใช้ทั่วไป ในเมือง Perth Australia นั้นอารมณ์การขับขี่จะประมาณชานเมืองต่างจังหวัดใหญ่ๆ คล้ายๆระยอง หนะครับ
คือทางค่อนข้างต่อเนื่อง ไม่ค่อยมีไฟแดง มีรถติดบ้างตามแยกใหญ่ speed limit ที่ถนนหลักคือ 60-80 และส่วนมากขับได้ตาม speed limit เลยครับ
Highway 100 ก็สามารถยิงยาวๆได้ 100 ครับ
อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 10 km/l ครับ ถังนึง คุณจะวิ่งได้ประมาณ 450 - 500 km แล้วแต่รถติดมากน้อยครับ แต่สุดๆยังไม่เคยต่ำกว่า 8.5 km/l นะครับ

[Mr.Chaw]

สรุป Porsche กลางเก่ากลางใหม่ ที่ใครๆก็ไม่ค่อยแล แต่ราคานี้ salary man วัยกลางหนุ่มกลางแก่ อาจจะหามาเล่นกันได้ครับ

จุดเด่นที่สุดเลยของ Porsche รุ่นนี้ก็คือมันเป็นรถ sport ที่ดีคันนึง ซึ่งคนใช้ Porsche ไม่แลครับ ทำให้ราคามันลง เพราะคนรัก Porsche จะเล่น 911
แต่เอาจริงๆแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างนั้นก็สืบทอดกันมาและทำให้ มันเป็นรถที่มีความคุ้มค่าคันนึงทีเดียว ถ้าจะใช้เป็นรถคันที่สอง หรือรถใช้วันหยุด
คุนจะได้รถเปิดประทุนซึ่งหน้าตาบ่งบอกถึงความเป็นรถตรากบทุกประการ ภายในก็ยกชุดกันมาจาก 911 เครื่องก็ พื้นฐาน เดียวกัน (แต่โอเค มันแรงไม่เท่าเลย)
ในการใช้งานจริงๆ ห้องเก็บของทั้งด้านหน้า และด้านหลัง เพียงพอให้คุนขนสัมภาระสิ่งของไป ทริปดำน้ำ ตจว ได้สองคนแน่แน่

ทั้งหมดนี้ในราคามือสองประมาณ ล้านปลายๆในไทย โอเคมันอาจจะแพง สำหรับรถที่นั่งได้แค่ 2 คน และอาจจะไม่เหมาะสำหรับการจราจรบนโลกพระจันทร์ บนถนนเมืองไทย
แต่ในราคานี้ คุนจะได้ Camry หรือ Accord ซึ่งเป้นรถขับหน้าเครื่องวางหน้า หรืออย่างเก่ง ก็ BMW 316i ที่ขับหลัง
เพิ่มตังคนิดหน่อยคุนถึงจะได้ FT 86 ซึ่งผมมองว่า คุ้มกว่านะ คหสต ถ้าไม่เน้น brand
ถ้าจะเล่นรถเปิดประทุน ก็อาจจะได้ Mazda MX 5 อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าถ้าคุนได้รถสภาพดี นี่คือโอกาสที่คุนจะขับ Porsche ครับ ในราคา camry

ราคานี้มือสองตัวเลือกคุนจะมากมายครับ มากมาย SLK R172, BMW Z4 ที่ใหม่กว่ามากมาย สื่อต่างชาติให้ความเห็นว่า ไม่ว่ายังไงก็ตาม
คุณค่าของ Boxster ที่คุณจะหาไม่ได้จากคู่แข่งคือ การวางเครื่องกลางลำ ขับหลัง ซึ่งทำให้การกระจายน้ำหนักค่อนไปทางล้อหลังมากกว่าล้อหน้า
และทำให้มันสามารถกดคันเร่งในจังหวะออกจากโค้งได้ก่อน SLK และ Z4 เพราะมันมีน้ำหนักกดลงบนล้อเพื่อให้เกิด traction

[Mr.Chaw]

ส่วนจุดด้อยที่ชัดเจนคือ มันเก่าแล้วครับ ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นหลายทาง ทั้ง option ที่ไม่ค่อยจะมี เมื่อเทียบกับรถทุกวันนี้
การออกแบบที่ก็เริ่มล้าสมัยแล้ว และอาการจุกจิกเล็กน้อย แอรไม่เย็น ไฟหลอดขาด บลาๆ

Topgear ให้ความเห็นสรุปไว้ในการเปรียบเทียบ Z4 กับ Boxster ว่า Boxster นั้นให้ความปราณีต แม่นยำในจังหวะโค้ง ทั้งพวงมาลัยและช่วงล่าง
เปรียบได้กับอาหารจานที่จัดมาอย่างดีในภัตตาคารมิชลิน ส่วน Z4 นั้นเปรียบได้กับความเผ็ดร้อนของพริก ...

อย่างไรก็ตาม ถ้าต้องใช้ในเมืองไทยเป็นรถคันเดียว ผมคงขอบาย เนื่องจากช่วงล่างที่แข็งเหมือนไม่มี ของมัน ทำให้คุณต้องย่องๆ ลงหลุม
และการจราจรแบบกรุงเทพบ้านเรา ก็คงยากครับ ที่จะได้เปิดประทุน เอาจริงๆ ผมว่าไปต่างจังหวัดยังยากเลยครับ เหอเหอ

ขออภัยที่เอ่ยนามรถทั้งหมดมานะครับ ถ้าทำให้ท่านผู้ใช้ไม่สบายใจ ผมมีเจตนาเพื่อเปรียบเทียบเท่านั้น
และขอบคุณที่อ่านกันมานะครับ แนะนำติชมได้ตามสบายครับ

ลิขสิทธภาพถ่าย คันเงินเบาะแดงเป็นของผมครับ แต่รูปอื่น เป็นลิขสิทธของ Porsche AG

[sukhontha]

สวยครับ  ขอบคุณสำหรับรีวิว  พอร์ช  ผมชอบ 911 รุ่นแรก..แต่คงไม่มีปัญญาซื้อ  ขอน้ำลายไหลอย่างเดียวก็พอครับ

[GreenG]

ขอบคุณครับ

[mairuna]

รถสวย 

[GaB]

986 เป็น Porsche ที่เอื้อมถึงได้จริงในระดับพนักงานเงินเดือนทั่วๆไป ผมเห็นด้วยที่สุดเลยครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆที่ผมอยากหาอ่านมานานในเวอร์ชั่นคนไทยรีวิวเองครับ

[BlackSpeed]

ว้าว คุณทำให้ผมฝันว่าผมก็สามารถเอื้อมถึงมันได้เหมือนกัน ขอบคุณที่ทำรีวิวคุณภาพดีๆมาให้รับชมนะครับ

ปล. จากข้อความนี้

"ฝากระโปรงท้ายนั้น คุณเปิดเข้าไปแล้วก้ยังไม่เจอเครื่องนะครับ
คุณจะได้ที่เก็บสัมภาระมาอีก 1 ที่ ซึ่งก็ค่อนข้างจะพอเก็บอะไรได้บ้างเลยทีเดียว (แต่ไม่พอให้พี่เจ้าของเว็บลงไปนอนแน่นอนฮับ ^^")"

ขอเตือนว่า คุณอาจโดนอุ้มไปยัดใส่ท้ายรถตัวเองโดยชายเสื้อดำได้ 

[chanvitjeab]

ละเอียดดีครับ เกียร์ธรรมดากับปอร์เช่เนี่ยน่าลองมากกกกกก
ขอบคุณรีวิวครับ 

[PREM]

ละเอียดดีมากเลยครับ ขอบคุณมากนะครับ

[หมับเข้าให้]

ละเอียดดีครับ

้เข้าใจฟีลเลย ถ้าผมมีโอกาสครอบครองปอร์เช่ก็จะไม่ลังเลแบบพี่ครับ