*****ภายนอก
เริ่มจากด้านหน้า กระจังหน้าทรง 6 เหลี่ยมสีดำพร้อมด้วยซี่แนวนอน 3 ซี่ ล้อมกรอบด้วยโครเมี่ยม (สีจะแตกต่างไปตามแต่ละรุ่นย่อย) ซึ่งเป็นแนวทางการออกแบบของ Subaru ยุคปัจจุบัน ตามด้วยโคมไฟหน้าแบบ Projector ขนาบด้วยหลอดแบบ led ในรุ่น 1.6GT-S EyeSight และ 2.0GT-S EyeSight (รุ่นที่เหลือจะได้เพียงไฟ Halogen) พร้อมไฟหรี่ทรงบูมเมอแรง และไฟตัดหมอกทรงกลม รวมทั้งที่ฉีดล้างไฟหน้า (ไม่มีในรุ่นที่ได้ขับ) ฝากระโปรงมีช่องรับลมที่ต่อไปยัง intercooler เพื่อระบายความร้อนของอากาศจากเทอร์โบก่อนเข้าเครื่องตามสไตล์รถยนต์ Subaru (ใช่แล้วครับ Levorg ทุกรุ่นมี เทอร์โบ!!)
ด้านข้างเริ่มจากล้อทั้ง 4 มีโป่งยื่นออกมาจากตัวรถ เพิ่มความทะมัดทะแมง และยังประกอบไปด้วยเส้น 2 เส้น เส้นบนลากขนานจากโป่งหน้าผ่านตัวถังไปจรดไฟท้าย เส้นล่างเชื่อมล้อหน้าและล้อหลังไว้ด้วยกัน รวมทั้งมีสันบนโป่งล้อหลัง เส้นหลังคาลากโค้งตอนปลายตามธีมออกแบบ shooting brake โดยรวมทำให้ตัวรถดูไม่เหมือนรถแวนทั่วไป มีความโฉบเฉี่ยวในตัวเอง รวมทั้งชายล่างออกแบบมาให้เหมือนมี สเกิร์ตยื่นออกมาจากตัวรถอีกนิด
ด้านท้ายไล่จากข้างบนลงมา มีสปอยเลอร์ฝาท้ายพร้อมไฟเบรกมาให้ครบทุกรุ่น พร้อมที่ปัดน้ำฝนหลัง ไฟท้ายแบบ led ทรงเดียวกับไฟหรี่ด้านหน้า มีแถบโครเมี่ยมพาดกลางระหว่างไฟท้าย ถัดลงมามีโลโก้ Symmetrical AWD และชื่อรุ่น Levorg ล่างสุดมีแถบทับทิมสะท้อนแสงสีแดงและท่อไอเสียแยกซ้าย-ขวาพร้อมปลายโครเมียม
ทุกรุ่นมาพร้อมกระจกกรองรังสี UV รอบคัน เฉพาะบานหน้าเพิ่มการกรองรังสี IR ส่วนกระจกครึ่งคันหลังเป็นแบบ Privacy glass สีเข้ม
ในรุ่น1.6GT และ 1.6GT EyeSight จะให้ยางขนาด 215/50R17 พร้อมล้อแมคสีดำครอบด้วยฝาครอบทรง 7 ก้านสีเทา ส่วนรุ่น 1.6GT-S EyeSight, 2.0GT EyeSight, 2.0GT-S EyeSight จะมาพร้อมยาง 225/45R18 ล้อาย 5 ก้านคู่ ซึ่งสีแตกต่างกันในแต่ละรุ่นย่อย
กุญแจรีโมทหน้าตาสวยงามมี 3 ปุ่ม ล๊อค-ปลดล๊อคและปุ่มเปิดฝาท้าย มาพร้อมระบบปลดล๊อคแบบเดียวกับโตโยต้ารุ่นใหม่ ๆ เพียงเดินเข้าไปใกล้ตัวรถพร้อมกุญแจ เมื่อล้วงมือเข้าไปในที่จับ รถจะปลดล๊อคให้ทันที (เสียง ปิ๊บๆยังใช้เสียงแบบเดียวกันกับ Toyota ด้วย) ส่วนการล๊อครถทำได้โดยการสัมผัสที่แถบนูนๆบริเวณมือจับ
ประตูหน้าเปิดได้กว้างเกือบ ๆ จะ 90 องศา การเข้าออกรถไม่มีปัญหาใด ๆ สำหรับตัวผม สูง 172 เซนติเมตร เพียงแต่ระดับเบาะนั่งที่จุดต่ำสุดจะค่อนข้างเตี้ย ซึ่งจะสัมผัสได้ชัดเจนขณะก้าวลงจากรถ ทำให้การลุกออกอาจจะต้องพยุงตัวช่วยเล็กน้อย
ส่วนประตูคู่หลัง สารภาพตามตรงคือ ผมลืมเข้าไปนั่งที่เบาะหลังครับ ไม่แม้แต่จะเปิดประตูคู่หลังครับ.....อุตส่าห์ตั้งใจจะเขียนรีวิวทั้งที 555
แต่จากปากคำผู้โดยสาร ทุกคนไม่มีปัญหากับการนั่งเบาะหลังครับ
*****ภายใน
ด้านการตกแต่งภายใน เน้นโทนสีดำเป็นหลักตัดกับ Trim สีเงิน พร้อมการตกแต่งชุดควบคุมระบบปรับอากาศแบบ Piano Black พื้นผิวสัมผัสไม่สาก แข็ง แบบรถประกอบบ้านเรา กดลงไปมีการยุบและคืนตัวในระดับเหมาะสม และเฉพาะรุ่น S จะได้สิ่งต่าง ๆ เพิ่มดังนี้
- เบาะนั่งทรงสปอร์ต หุ้มหนังกลับ Alcantara เพิ่มความกระชับตรงปีกเบาะ พร้อม Lumbar support ปรับไฟฟ้ามาให้ในเบาะคนขับ
- พวงมาลัย/หนังหุ้มคันเกียร์/แผงประตู/คอนโซลกลางเดินด้ายสีน้ำเงิน (รุ่นธรรมดาก็เป็นหนังแต่ด้ายสีเงิน)
- Trim สีเงินเปลี่ยนเป็นลายคาร์บอนสีเงิน
- แป้นเหยียบอลูมิเนียม
- กาบบันไดข้างอลูมิเนียม
ทุกรุ่นมาพร้อมเบาะผ้า ซึ่งสามารถเลือกเปลี่ยนเป็นเบาะหนังได้ (สีดำ/งาช้าง)
จากบทสัมภาษณ์ของ Project General Manager คุณ Kumagai Yasunori แผงแดชบอร์ดนั้น ใช้ Audi เป็น benchmark ในการออกแบบ (แต่ส่วนตัวผมว่าคล้าย VW golf ที่มาในสไตล์เรียบ ๆ มากกว่านะครับ)
ไล่จากขวามาซ้าย แผงควบคุมกระจกไฟฟ้าอัตโนมัติทั้ง 4 บาน พร้อมระบบปรับ/พับกระจกข้างไฟฟ้า และปุ่มล๊อคประตู ทั้งหมดอยู่บนแผงประตู ที่วางแขน เมื่อปรับเบาะต่ำสุด อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่ก้ม-เงยจนเกินไป ส่วนรองข้อศอกบุนุ่มไว้ให้ด้วย ช่องเก็บของข้างล่างสามารถใส่ขวดน้ำและไอแพดลงไปได้พอดี ช่องแอร์ทรงสี่เหลี่ยมพร้อมกรอบสีเงิน (ที่ดูเชยมาก ๆ เมื่อเทียบกับตัวรถ) ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาแตกต่างไปแต่ละรุ่นย่อย คันที่ทดลองขับมีที่ปรับระดับสูง-ต่ำไฟหน้า ความสว่างไฟหน้าปัทม์ และปุ่มปิดระบบควมคุมการทรงตัว (มีในทุกรุ่นย่อย) ซ้ายสุดเป็นที่อยู่ของปุ่ม Push Start แบบสหกรณ์จากโตโยต้า...
ในรุ่นย่อยอื่นจะมีระบบบันทึกหน่วยความจำเบาะนั่งให้ 2 ตำแหน่ง พวงมาลัยเป็นทรง 3 ก้าน แบบ Telescopic ปรับขึ้น-ลง ซ้าย-ขวาด้วยมือ พร้อมเฉือนส่วนล่างออกแบบพวงมาลัยรถสปอร์ต วงพวงมาลัยค่อนข้างใหญ่ เหมาะสำหรับคนมือใหญ่ จับกระชับดีมาก แต่ไม่แน่ใจว่าคนมือเล็ก ๆ จะมองว่าเทอะทะไปหรือไม่นะครับ มาพร้อมกับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (ในรุ่นที่มี EyeSight จะเป็น Adaptive Cruise Control ปรับความเร็วและระยะห่างตามรถคันข้างหน้าได้) ข้างล่างเป็นปุ่ม SI-Drive ซึ่งจะขอยกไปพูดในส่วนการขับขี่ ส่วนปุ่มปรับเครื่องเสียงนั้น คุณต้องเลือกติดระบบเครื่องเสียงมาจากโรงงานเท่านั้นจึงจะมีมาให้ (รถที่นี่ขายกันแบบไม่ติดตั้งวิทยุให้ครับ)
ข้างล่างเป็นปุ่มควบคุมหน้าจอ MID กลางหน้าปัทม์ ข้างหลังมี paddle shift ไว้เพื่อล๊อคอัตราทดเกียร์ CVT ซ้าย ขวา + ไฟหน้าแบบเลือกเปิด-ปิดอัตโนมัติได้พร้อมวงแหวนเปิด-ปิดไฟตัดหมอกหน้าอยู่ด้านขวา ด้านซ้ายเป็นที่ปัดน้ำฝนแบบเลือกเปิด-ปิดอัตโนมัติได้พร้อมที่ควบคุมใบปัดน้ำฝนหลัง ถัดมาเป็นที่อยู่ของเครื่องเสียง คันที่ทดลองขับเป็นเครื่องเสียงที่น่าจะถูกนำมาติดตั้งภายหลัง ของ Carrozzeria (เครือ Pioneer) พร้อมระบบนำทางผ่านดาวเทียม คุณภาพเสียงดีอย่างที่ควรจะเป็น แต่ก็ไม่ถึงกับใสขนาดจะสามารถแยกแยะเสียงจากแต่ละเครื่องดนตรีออกได้ และเนื่องด้วยไม่มี Tweeter ทำให้เสียงแหลมหายไปเล็กน้อย ข้างล่างเป็นระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกซ้าย-ขวา ปรับได้ทั้งเย็น-ร้อนตามสไตล์เมืองหนาว แต่ว่าเมื่อสตาร์ทรถทุกครั้งต้องมาคอยปิดระบบไหลเวียนอากาศจากภายนอกเอง ด้านซ้ายบนเป็นถุงลมนิรภัยฝั่งคนนั่ง ข้างล่างมีช่องเก็บของ สำหรับใส่คู่มือรถ ทะเบียน และของอื่น ๆ ได้อีกเล็กน้อย ด้านบนเป็นที่บังแดดพร้อมกระจกและไฟแต่งหน้าในตัวแบบมีฝาปิด มีมือจับเพดานครบทั้ง 4 ตำแหน่ง บนเพดานมีไฟส่องแผนที่ซ้าย-ขวามาให้ (ซึ่งผมคุ้น ๆ ว่าจะเป็นอุปกรณ์เดียวกันกับ Legacy BD/BG รุ่นปี 1997!!!)
ถัดจากแอร์ข้างล่าง เป็นช่องเสียบชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้า 12V (แต่ในรุ่นย่อยอื่น ๆ จะมีช่องเสียบ USB มาให้ด้วยอีก 2 ช่อง) คันเกียร์แบบรถปกติทั่วไป สามารถเลือกโหมด M โดยการผลักไปทางขวาจากตำแหน่ง D แต่การเปลี่ยนเกียร์ทำได้ที่ paddle shift เท่านั้น ทว่าในการใช้งานจริง ผมพบว่า การใช้งาน paddle shift นั้น เมื่อต้องหมุนพวงมาลัย แป้นก็จะหมุนตามพวงมาลัยไป ทำให้เวลาลงเขาแล้วต้องเลี้ยวโค้งแคบ ๆ เช่น เนิน Irohazaka ใน Nikko จังหวัด Tochigi นั้น การที่ต้องหมุนพวงมาลัยเยอะ ๆ กับการเปลี่ยนเกียร์นั้นไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไหร่ ถัดจากคันเกียร์ คันที่ทดลองขับมีเพียงปุ่มเปิด-ปิด ระบบ Auto Start-Stop มาให้ แต่ในรุ่นย่อยอื่น ๆ จะมี ปุ่มควบคุมเบาะทำความร้อนมาให้ด้วย
เบรคมือนั้น เป็นแบบด้ามทั่วไปในคันที่ทดลองขับ แต่รุ่นย่อยอื่น ๆ ที่มี EyeSight จะได้สวิทช์เบรคมือแบบไฟฟ้าพร้อมระบบ Hold (เวลาติดไฟแดง เหยียบเบรคจนสุด รถจะหยุดนิ่งโดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ เมื่อจะออกรถก็เหยียบคันเร่งลงไปได้เลย)
ถัดมาเป็นที่วางแก้ว ได้ 2 ช่อง พร้อมฝาเลื่อนเปิด-ปิด ตามด้วยช่องเก็บของพร้อมที่วางแขวนแบบเลื่อนได้ ใช้งานได้จริง ที่เก็บของก็มีขนาดใหญ่เพียงพอสำหรับ CD สัก 3-4 แผ่น และยังมีช่องเสียบชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้า 12V อีกทั้งข้างหลัง ยังมีช่องชาร์จ USB มาให้อีก 2 ช่อง (รวม ๆ รุ่นท๊อปจะสามารถชาร์จมือถือ แทบเลต และอื่น ๆรวมถึง 6 เครื่องในรถคันเดียว เอาใจขาโซเชียลกันเต็มที่) แต่ที่น่าเสียดายคือ ทุกรุ่นย่อยไม่มีช่องแอร์หลังมาให้
มาต่อที่ชุดมาตรวัด ประกอบไปด้วยวงกลมขนาดใหญ่ 2 วง ทางซ้ายเป็นวัดรอบเครื่องยนต์ เรดไลน์ที่ 6200 รอบต่อนาที ซ้ายล่างเป็นที่อยู่ของมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น วงกลมทางขวาเป็นมาตรวัดความเร็ว สูงสุด 180 กม./ชม. ตามแบบฉบับรถญี่ปุ่นทั่วไป ซ้ายล่างเป็นที่วัดระดับน้ำมันเชื้อเพลิง โดยรวมตัวเลขมองได้ชัดเจน แต่ถ้าใหญ่กว่านี้ได้ก็จะดี สีที่ใช้ก็เป็นโทนน้ำเงิน-ขาว มองแล้วสบายตา (เคยมีประสบการณ์ใช้รถที่หน้าปัทม์สีน้ำเงินล้วน พอมองนาน ๆ แล้วรู้สึกปวดหัว) ตรงกลางเป็นที่อยู่ของจอ MID ด้านบนสุดเป็นมาตรวัด ECO เพื่อแสดงการเหยียบคันแร่งของคนขับ ถัดลงมาแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนบนจะเปลี่ยนได้ 4 จอ ดังนี้
- ระยะเวลาที่ระบบ Auto-stop ทำงาน และ ปริมาณเชื้อเพิงที่ประหยัดไปได้
- SI-Drive
- ระยะเวลาตั้งแต่สตาร์ทเครื่อง
- ความเร็วเป็นดิจิตอล
ถัดลงมา เป็นจอสำหรับระบบ Adaptive cruise control
ล่างสุดป็นตัวบอกตำแหน่งเกียร์ (ในวงเล็บคือ SI-Drive) และ Trip meter A/B
และที่เหนือช่องแอร์ ยังมีจอ MID อีกหนึ่งชุด แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ซ้ายสุดจะเป็นไฟเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยทั้ง 5 ตำแหน่ง !!! ถ้าคนข้างหลังไม่คาดนี่ ร้องยาวครับ (และเรื่องตลกกว่านั้นคือ หลังจากส่งทุกคนที่สนามบินแล้ว ไฟเตือนไม่คาดเข็มขัดเบาะหลังยังคงติด !!! จนผมต้องยกมือไหว้แล้วเอาสายมาเสียบคาไว้อย่างนั้นจนคืนรถ) ถัดมาจะเป็นหน้าจอสำหรับระบบปรับอากาศ และด้านขวาสุด จอใหญ่ มีอีก 6 หน้าจอ ควบคุมได้โดยการกดเปลี่ยนที่ปุ่มซึ่งอยู่ระหว่างช่องแอร์ใต้ปุ่มไฟฉุกเฉิน
- การกระจายกำลังของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ
- อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงทุก ๆ 5 นาที
- อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยเทียบกับการขับที่ 100 กม./ชม. และระยะทางที่วิ่งได้จากน้ำมันที่เหลือ
- อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย และระยะทางที่วิ่งได้จากน้ำมันที่เหลือ
- อุณหภูมิภายนอกรถ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย นาฬิกาแบบ Analog
- ปริมาณการเหยียบแป้นคันเร่ง แรงดันเทอร์โบ อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง
คหสต. ผมว่า Subaru ยังทำเรื่องการแสดงข้อมูลไม่ดีเท่าที่ควร ข้อมูลดูมั่วปะปนไปแบบหาจุดประสงค์ไม่ได้ รวมทั้งการที่มี 2 จอ ซึ่งทำให้คนขับต้องคอยละสายตาไปมาระหว่างจอนั้น ไม่สะดวกเอาเสียเลย
ถัดมาในส่วนเบาะนั่ง รุ่น 1.6GT, 1.6GT EyeSight จะได้เบาะนั่งแบบธรรมดาพร้อมระบบปรับด้วยมือแบบจดจำตำแหน่งด้วยตัวเอง หรือพูดง่าย ๆ คือ เบาะแบบธรรมดานั่นแหละครับ รุ่น 2.0GT EyeSight และรุ่น S จะได้เบาะคู่หน้าแบบปรับอัตโนมัติ 8 ทิศทาง ทุกรุ่นติดตั้งเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ทั้ง 5 ตำแหน่ง ปรับระดับสูงต่ำได้สำหรับคู่หน้า
สำหรับเบาะรุ่นธรรมดานั้น จากการขับต่อเนื่อง 2-3 ชั่วโมงนั้น ส่วนตัวผมไม่มีปัญหาอะไรครับ ไม่มีอาการปวดเมื่อย ฟองน้ำแข็งกำลังดี ไม่ยวบยาบไปตามลำตัว พนักพิงหลังแนบสนิทกับหลังพอดี แต่ไม่มีระบบดันหลังมาให้ (ส่วนตัวผมไม่ชอบเบาะที่มีพนักดันหลังอยู่แล้ว) พนักพิงศีรษะสามารถเลือกปรับดันหัวได้ตั้งแต่ไม่ดัน จนดันกบาลแยกกันเลย ส่วนรองรับต้นขาก็ถือว่ายาวกว่าเบาะรถทั่วไปนิดนึง เสียแต่ที่ว่าไม่สามารถปรับมุมก้ม-เงยได้ (ส่วนตัวชอบปรับเบาะลงต่ำแล้วยกส่วนปลายให้เงยขึ้นมาครับ) ตำแหน่งเบาะนั่งเมื่อปรับลงต่ำสุดถือได้ว่าเตี้ยกว่าปกติพอสมควร (รถ Subaru ส่วนมากจะปรับเบาะได้ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับรถตลาดอย่าง Honda หรือ Toyota แต่ยังไม่เท่ากับ BMW 320i F31) ซึ่งอย่างที่กล่าวไว้ข้างบน การลุกออกจากเบาะจึงต้องยันตัวเองขึ้นมานิดนึง ก่อนจะออกมาได้
ทางด้านเบาะหลัง เนื่องด้วยผมไม่มีโอกาสนั่ง จึงขอสรุปคร่าว ๆ จากรูปภาพนะครับ เบาะหลังปรับเอนได้ พับแยก 60-40 ได้โดยการดึงจุกบนพนักพิง ตรงกลางดึงออกมาเป็นที่วางแขนและใส่แก้วน้ำได้ 2 แก้ว แต่เนื่องจาก Levorg ทุกรุ่น เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำให้จำเป็นต้องมีอุโมงค์เพลากลางมาด้วย
พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถมีขนาด 522 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA รวมทั้งพื้นห้องเก็บของสามารถยกขึ้นมาได้อีก 2 แผ่น (ช่องเล็ก 7 ลิตร ช่องใหญ่ 33 ลิตร แต่ว่าไม่มียางอะไหล่ให้ มีเพียงชุดปะยางแบบฉุกเฉินเท่านั้น) เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระหรือเก็บสัมภาระที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้อีก พร้อมแผงบังสัมภาระป้องกันคนเห็นจากภายนอก ด้านซ้ายมีไฟส่องสว่างมาให้อีก 1 ดวง พร้อมปุ่มพับเบาะแถว 2 จากท้ายรถทั้งซ้าย-ขวา
สำหรับทัศนวิสัยนั้น ด้านหน้าเห็นชัดได้ดี เพราะ เสา A-pillar มีความลาดชันอยู่ในระดับหนึ่ง จอตรงกลางก็ไม่บดบังทัศนวิสัย แม้จะปรับที่นั่งต่ำสุด และการที่ ประตูคู่หน้าออกแบบให้มีกระจกหูช้าง ขึงสามารถลดขนาดเสา A ลงไปได้ (โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่า Subaru ออกแบบรถค่อนข้างจะมีทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ค่อนข้างดีกว่า เมื่อเทียบกับ Toyota) กระจกมองข้างก็มีขนาดใหญ่ รวมทั้งมีไฟเลี้ยวดวงเล็ก ๆ ติดมาให้ด้วย คาดว่าเพื่อป้องกันคนขับลืมเปิด-ปิดไฟเลี้ยว เช่นเดียวกับฝั่งซ้ายที่การมีกระจกหูช้าง ช่วยให้มุมมองขณะกลับรถสะดวกมากขึ้น สำหรับด้านหลัง แม้จะมีเสา D-pillar? ค่อนข้างใหญ่ ทว่าพบกลับไม่พบปัญหากับการมองเอี้ยวไปมองข้างหลังแต่อย่างใด อาจเพราะเนื่องด้วยขนาดของเสา C ที่ค่อนข้างเล็ก
โดยรวม ความประทับใจในรถ Subaru เกี่ยวกับเรื่องทัศนวิสัย ผมถือว่าสอบผ่านมาตรฐาน