ผู้เขียน หัวข้อ: การใช้เกียร์ B ใน Toyota Camry Hybrid  (อ่าน 20807 ครั้ง)

ออฟไลน์ Red Bicycle

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 849
การใช้เกียร์ B ใน Toyota Camry Hybrid
« เมื่อ: มีนาคม 23, 2015, 22:24:06 »
ขอสอบถามหน่อยครับ  การใช้เกียร์  B ใน Toyota Camry Hybrid เพื่อใช้เป็น Engine Break ในการขับปกติ

สลับกันไปมา กับ เกียร์ D เพื่อจะได้ชาร์ตไฟเข้าแบตด้วยครับ

สามารถใช้ได้เป็นปกติ ประจำวันได้ไหมครับ และ ตอนใส่เกียร์ B ไฟเบรคจะติดไหมครับ

ออฟไลน์ yod artstu

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,156
Re: การใช้เกียร์ B ใน Toyota Camry Hybrid
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 23, 2015, 23:30:25 »
ขับปกติ อย่าใช้ดีกว่าครับ
ผมใช้ตอนลงเขาหนือฉุกเฉินเท่านั้น

แต่มันไม่ได้หน่วงลงมากมายเท่าเกียร์อัตโนมัติแบบเก่าครับ

ถ้าไม่เหยียบแป้น ไฟท้ายไม่ติดนะครับ
: )

ออฟไลน์ Direct

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 43
Re: การใช้เกียร์ B ใน Toyota Camry Hybrid
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มีนาคม 23, 2015, 23:51:53 »
จิงๆอ่านจากเว็บนึงเขาบอก มีคนใช้เกียร์ B ลากจาก 0 - 130 km/h (ไม่ทราบว่ารถกี่ปี) มันไม่เป็นอะไรนะครับ
ส่วนตัวผมเอง ไม่เคยลากขนาดนั้นเหมือนกัน เต็มที่ก้อ 0-70 km/h (รถ 1 ปี 6 เดือน) แต่เคยฉุกเฉินที่ความเร็ว 120 แล้วใช้เกียร์ B ไม่เป็นอะไรครับ (ทำแล้ว 2 หน)
เคยเฉียดๆที่ 130 หนนึงก็ไม่เป็นไรนะครับ
ช่วงแถวถนนเสรีไทย ผมโดนปาดหน้าบ่อย ใช้เกียร์ B ตอน 60 70 ไม่เป็นอะไรแน่นอนครับ แต่เกินกว่านี้ ถ้าทำไม่บ่อย คาดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร
แต่ถ้าทำเป็นประจำ 5ปี อาจจะได้มียกลูกใหม่ครับ

(เดา) จิงๆผมว่ามันทำได้นะถ้าจะใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ด้วยความที่ไม่เคยได้ยินจากผู้ผลิต หรือคนที่เชี่ยวชาญบอก ก็เลยไม่กล้า
ส่วนเวลาใช้เกียร์ B ไฟเบรคไม่ขึ้นนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 23, 2015, 23:53:46 โดย Veiness »

preme123

  • บุคคลทั่วไป
Re: การใช้เกียร์ B ใน Toyota Camry Hybrid
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มีนาคม 24, 2015, 01:02:38 »

ออฟไลน์ Torque

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 248
Re: การใช้เกียร์ B ใน Toyota Camry Hybrid
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มีนาคม 24, 2015, 10:35:26 »
จริงๆแล้วเกียร์ D ก็มีระบบในการบริหารจัดการระบบแบตอยู่แล้วนะครับ
โดยทั่วไปเราไม่จำเป็นต้องไปเข้าเกียร์ B เพื่อช่วยบังคับให้มันชาร์จไฟ (เร็วขึ้น) ครับ

เกียร์ B ก็สามารถใช้ได้เสมอครับ ถ้าอยู่ในสถานะการณ์ที่จำเป็นต้องการใช้
ตลอดย่านความเร็วที่มันทำได้
และบังเอิญที่บ้านเคยเผลอขับเกียร์ B ยาวๆ 50 km เครื่องไม่พังครับ (เผลอลากคันเกียร์ลงมาสุดแบบรถอีกคัน)
แต่จะสึกหรอและกินน้ำมันมากขึ้นกว่าปกติเท่านั้น

และถ้าเข้าเกียร์ B ไฟเบรคยังไม่ติด ต้องเหยียบเบรคก่อนครับไฟเบรคจึงจะติด
ผลลัพธ์ในการขยับจากเกียร์ D-->B ก็จะรู้สึกคล้ายกับ
รถเกียร์ออโต้ทั่วไปที่ลดเกียร์ลดลงมา  
และเวลาถอนคันเร่งแต่ไม่ได้เหยียบเบรค จะรู้สึกเหมือนกับว่ารอบเครื่องค้างอยู่สูงกว่า
และหน่วงกว่ารถไหลไปต่อน้อยน้อย

---------------------------------

ปกติถ้าจะขึ้นเขาใช้เกียร์ D อย่างเดียวครับ
แต่ถ้าลงเขายาวๆมากๆ ตรงนี้อาจจะสลับมาใช้เกียร์ B ช่วยหน่อย

คร่าวๆในรถทั่วไปที่ไม่ใช่ HV จะมีเบรคอยู่ 2 ส่วนหลักๆ
- ระบบเบรคปกติ
- engine brake

แต่ในรถ Camry HV จะมีเบรคอยู่ 3 ส่วน
-  ระบบเบรคปกติ  --> จานเบรค
-  Regenerative Brake -->ปั่นไฟผ่าน MG กลับเข้าสะสมในแบต
-  engine brake

เวลาที่รถขับรถทั่วไปที่ไม่ใช่ HV
ถ้าลงเขาต่อเนื่องยาวๆ
ระบบเบรคปกติ เวลาเบรคมันก็จะเสียดสีกันเกิดเป็นเสียงและความร้อน
ซึ่งถ้าความร้อนสะสมมากๆ เบรคก็จะเฟด ดังนั้นเวลาลงเขายาวๆ
เราก็เลยใช้เกียร์ต่ำเพื่อให้มี engine brake มาช่วยหน่วง ลดภาระของเบรคลง

สำหรับ Camry HV
ถ้าขับลงเขาต่อเนื่องยาวๆ
ระบบเบรคปกติ เวลาเบรคมันก็จะเสียดสีกันเกิดเป็นเสียงและความร้อน
ซึ่งถ้าความร้อนสะสมมากๆ เบรคก็จะเฟดได้เช่นเดียวกัน
เบรคอีกส่วนที่ทำงานอยู่ร่วมกันเสมอ ก็คือ Regenerative brake
ซึ่งเอาพลังงานจากล้อมาปั่นไฟกลับไปสะสมไว้ในแบต
ทีนี้ตอนลงเขายาวๆ ไฟจะถูกปั่นกลับไปสะสมไว้ในแบตจนเต็ม
ก็ไม่สามารถสร้างแรงเบรคจากการปั่นไฟได้แล้ว

ึจึงต้องเอาเอา engine brake กลับเข้ามาช่วย
ทั้งที่ตามปกติรถ HV  engine brake จะมีน้อยมาก
เพราะเป็นการสูญเสีย เวลาถอนรถจะไหลกว่า
แต่ตัวที่สร้างแรงหน่วงจะเป็น MG ที่เข้ามาทำหน้าที่ปั่นไฟเก็บไว้ในแบต
ซึ่งได้ประโยชน์กว่าสามารถนำพลังงานกลับมาใช้ได้



เนื่องจาก Camry ไม่ได้มีเกียร์ที่ปรับเปลี่ยนอัตราทดแบบทั่วๆไป
แต่จะเป็น power split device ซึ่ง
MG1          เข้าที่ Sun
เครื่องยนต์  เข้าที่ carrier
MG2           เข้าที่ ring
ทั้ง 3 ส่วนจะขบกันอยู่ตลอดเวลาตามแบบในรูปนะครับ

โดย Ring หรือ MG2 จะขับออกไปที่เฟืองท้ายออกไปขับล้อ

ดังนั้นถ้าจะมองอัตราทดเกียร์
แบบในรถทั่วไปก็คือสัดส่วน รอบเครื่อง VS ความเร็วรถ
ใน Camry HV ก็คือสัดส่วนของ [รอบเครื่องเครื่องยนต์]  VS  [รอบของ MG2]

ทั้่ง MG1 - เครื่องยนต์ - MG2  ทั้ง 3 ส่วนสามารถหมุนไปพร้อมๆกัน
ได้หลากหลายค่าตามความสัมพันธ์ของมัน


ที่ความเร็วรถเดียวกันคือ MG2 หมุนค่าเดียวกัน
รอบเครื่องยนต์ สามารถหมุนได้หลายค่ามากๆ
ขึ้นอยู่กับว่า MG1 หมุนด้วยความเร็วเท่าไหร่

หรือที่รอบเครื่องค่าเดียวกันนั้น
MG2 จะหมุนได้หลายค่าความเร็วมากๆ
บางครั้่งเครื่องยนต์ค่าเดียวกัน เช่น 2200 rpm
MG2 อาจจะหมุนเดินหน้าได้หลากหลายค่า
หรืออาจหมุนถอยหลัง หรือหยุดนิ่งอยู่ก็ได้



ตอนที่เปลี่ยนจาก D -->  B แล้วสร้าง engine brake
ตอนแรกรถวิ่งความเร็วเดิมอยู่คือ MG2 หมุนเร็วเท่ากัน
เข้าใจว่า น่าจะดึงไฟสั่ง MG1 ให้หมุนเร็วขึ้น
เครื่องก็จะถูกดึงให้หมุนเร็วขึ้นด้วย แต่ไม่ได้จ่ายน้ำมัน อัดอากาศเล่นเฉยๆ
เท่ากับหาทางเอาแบตที่เต็มอยู่ออกมาใช้ จะได้เหลือที่ให้เบรคโดยการปั่นไฟได้อีก
และเครื่องยนต์ก็จะสร้าง engine brake ได้เพิ่มขึ้นด้วย
ความเร็วของรถ หรือมองว่าคือ Ring หรือ MG2 ก็จะลดลงเร็วกว่า
ตอนที่การใช้เกียร์ D


ผลลัพธ์ออกมาจึงรู้สึกคล้ายกับรถทั่วไปแล้วเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำ
เพราะ รอบเครื่องสูงขึ้นที่ความเร็วเท่ากัน เฉพาะตอนที่เบรคหรือถอนคันเร่ง
แต่ตอนกดเร่งแซงหรือขับขึ้นเขา ที่ใช้งานอยู่ไม่ได้รู้สึกว่ามันมีผลให้เร่งได้เร็วขึ้นกว่าเกียร์ D ครับ
a = F/m

ออฟไลน์ Direct

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 43
Re: การใช้เกียร์ B ใน Toyota Camry Hybrid
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มีนาคม 24, 2015, 15:03:28 »
จริงๆแล้วเกียร์ D ก็มีระบบในการบริหารจัดการระบบแบตอยู่แล้วนะครับ
โดยทั่วไปเราไม่จำเป็นต้องไปเข้าเกียร์ B เพื่อช่วยบังคับให้มันชาร์จไฟ (เร็วขึ้น) ครับ

เกียร์ B ก็สามารถใช้ได้เสมอครับ ถ้าอยู่ในสถานะการณ์ที่จำเป็นต้องการใช้
ตลอดย่านความเร็วที่มันทำได้
และบังเอิญที่บ้านเคยเผลอขับเกียร์ B ยาวๆ 50 km เครื่องไม่พังครับ (เผลอลากคันเกียร์ลงมาสุดแบบรถอีกคัน)
แต่จะสึกหรอและกินน้ำมันมากขึ้นกว่าปกติเท่านั้น

และถ้าเข้าเกียร์ B ไฟเบรคยังไม่ติด ต้องเหยียบเบรคก่อนครับไฟเบรคจึงจะติด
ผลลัพธ์ในการขยับจากเกียร์ D-->B ก็จะรู้สึกคล้ายกับ
รถเกียร์ออโต้ทั่วไปที่ลดเกียร์ลดลงมา  
และเวลาถอนคันเร่งแต่ไม่ได้เหยียบเบรค จะรู้สึกเหมือนกับว่ารอบเครื่องค้างอยู่สูงกว่า
และหน่วงกว่ารถไหลไปต่อน้อยน้อย

---------------------------------

ปกติถ้าจะขึ้นเขาใช้เกียร์ D อย่างเดียวครับ
แต่ถ้าลงเขายาวๆมากๆ ตรงนี้อาจจะสลับมาใช้เกียร์ B ช่วยหน่อย

คร่าวๆในรถทั่วไปที่ไม่ใช่ HV จะมีเบรคอยู่ 2 ส่วนหลักๆ
- ระบบเบรคปกติ
- engine brake

แต่ในรถ Camry HV จะมีเบรคอยู่ 3 ส่วน
-  ระบบเบรคปกติ  --> จานเบรค
-  Regenerative Brake -->ปั่นไฟผ่าน MG กลับเข้าสะสมในแบต
-  engine brake

เวลาที่รถขับรถทั่วไปที่ไม่ใช่ HV
ถ้าลงเขาต่อเนื่องยาวๆ
ระบบเบรคปกติ เวลาเบรคมันก็จะเสียดสีกันเกิดเป็นเสียงและความร้อน
ซึ่งถ้าความร้อนสะสมมากๆ เบรคก็จะเฟด ดังนั้นเวลาลงเขายาวๆ
เราก็เลยใช้เกียร์ต่ำเพื่อให้มี engine brake มาช่วยหน่วง ลดภาระของเบรคลง

สำหรับ Camry HV
ถ้าขับลงเขาต่อเนื่องยาวๆ
ระบบเบรคปกติ เวลาเบรคมันก็จะเสียดสีกันเกิดเป็นเสียงและความร้อน
ซึ่งถ้าความร้อนสะสมมากๆ เบรคก็จะเฟดได้เช่นเดียวกัน
เบรคอีกส่วนที่ทำงานอยู่ร่วมกันเสมอ ก็คือ Regenerative brake
ซึ่งเอาพลังงานจากล้อมาปั่นไฟกลับไปสะสมไว้ในแบต
ทีนี้ตอนลงเขายาวๆ ไฟจะถูกปั่นกลับไปสะสมไว้ในแบตจนเต็ม
ก็ไม่สามารถสร้างแรงเบรคจากการปั่นไฟได้แล้ว

ึจึงต้องเอาเอา engine brake กลับเข้ามาช่วย
ทั้งที่ตามปกติรถ HV  engine brake จะมีน้อยมาก
เพราะเป็นการสูญเสีย เวลาถอนรถจะไหลกว่า
แต่ตัวที่สร้างแรงหน่วงจะเป็น MG ที่เข้ามาทำหน้าที่ปั่นไฟเก็บไว้ในแบต
ซึ่งได้ประโยชน์กว่าสามารถนำพลังงานกลับมาใช้ได้



เนื่องจาก Camry ไม่ได้มีเกียร์ที่ปรับเปลี่ยนอัตราทดแบบทั่วๆไป
แต่จะเป็น power split device ซึ่ง
MG1          เข้าที่ Sun
เครื่องยนต์  เข้าที่ carrier
MG2           เข้าที่ ring
ทั้ง 3 ส่วนจะขบกันอยู่ตลอดเวลาตามแบบในรูปนะครับ

โดย Ring หรือ MG2 จะขับออกไปที่เฟืองท้ายออกไปขับล้อ

ดังนั้นถ้าจะมองอัตราทดเกียร์
แบบในรถทั่วไปก็คือสัดส่วน รอบเครื่อง VS ความเร็วรถ
ใน Camry HV ก็คือสัดส่วนของ [รอบเครื่องเครื่องยนต์]  VS  [รอบของ MG2]

ทั้่ง MG1 - เครื่องยนต์ - MG2  ทั้ง 3 ส่วนสามารถหมุนไปพร้อมๆกัน
ได้หลากหลายค่าตามความสัมพันธ์ของมัน


ที่ความเร็วรถเดียวกันคือ MG2 หมุนค่าเดียวกัน
รอบเครื่องยนต์ สามารถหมุนได้หลายค่ามากๆ
ขึ้นอยู่กับว่า MG1 หมุนด้วยความเร็วเท่าไหร่

หรือที่รอบเครื่องค่าเดียวกันนั้น
MG2 จะหมุนได้หลายค่าความเร็วมากๆ
บางครั้่งเครื่องยนต์ค่าเดียวกัน เช่น 2200 rpm
MG2 อาจจะหมุนเดินหน้าได้หลากหลายค่า
หรืออาจหมุนถอยหลัง หรือหยุดนิ่งอยู่ก็ได้



ตอนที่เปลี่ยนจาก D -->  B แล้วสร้าง engine brake
ตอนแรกรถวิ่งความเร็วเดิมอยู่คือ MG2 หมุนเร็วเท่ากัน
เข้าใจว่า น่าจะดึงไฟสั่ง MG1 ให้หมุนเร็วขึ้น
เครื่องก็จะถูกดึงให้หมุนเร็วขึ้นด้วย แต่ไม่ได้จ่ายน้ำมัน อัดอากาศเล่นเฉยๆ
เท่ากับหาทางเอาแบตที่เต็มอยู่ออกมาใช้ จะได้เหลือที่ให้เบรคโดยการปั่นไฟได้อีก
และเครื่องยนต์ก็จะสร้าง engine brake ได้เพิ่มขึ้นด้วย
ความเร็วของรถ หรือมองว่าคือ Ring หรือ MG2 ก็จะลดลงเร็วกว่า
ตอนที่การใช้เกียร์ D


ผลลัพธ์ออกมาจึงรู้สึกคล้ายกับรถทั่วไปแล้วเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำ
เพราะ รอบเครื่องสูงขึ้นที่ความเร็วเท่ากัน เฉพาะตอนที่เบรคหรือถอนคันเร่ง
แต่ตอนกดเร่งแซงหรือขับขึ้นเขา ที่ใช้งานอยู่ไม่ได้รู้สึกว่ามันมีผลให้เร่งได้เร็วขึ้นกว่าเกียร์ D ครับ
แบบนี้ฉุกเฉินเกียร์ B เองก็ใช้ได้ทุกๆย่านความเร็วใช่ไหมครับ (กรณีฉุกเฉิน) เพียงแต่การสึกหรอ จะสึกหรอที่ MG แทน ถูกรึเปล่าครับคุณ Torque

ออฟไลน์ Red Bicycle

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 849
Re: การใช้เกียร์ B ใน Toyota Camry Hybrid
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มีนาคม 24, 2015, 15:46:35 »
จริงๆแล้วเกียร์ D ก็มีระบบในการบริหารจัดการระบบแบตอยู่แล้วนะครับ
โดยทั่วไปเราไม่จำเป็นต้องไปเข้าเกียร์ B เพื่อช่วยบังคับให้มันชาร์จไฟ (เร็วขึ้น) ครับ

เกียร์ B ก็สามารถใช้ได้เสมอครับ ถ้าอยู่ในสถานะการณ์ที่จำเป็นต้องการใช้
ตลอดย่านความเร็วที่มันทำได้
และบังเอิญที่บ้านเคยเผลอขับเกียร์ B ยาวๆ 50 km เครื่องไม่พังครับ (เผลอลากคันเกียร์ลงมาสุดแบบรถอีกคัน)
แต่จะสึกหรอและกินน้ำมันมากขึ้นกว่าปกติเท่านั้น

และถ้าเข้าเกียร์ B ไฟเบรคยังไม่ติด ต้องเหยียบเบรคก่อนครับไฟเบรคจึงจะติด
ผลลัพธ์ในการขยับจากเกียร์ D-->B ก็จะรู้สึกคล้ายกับ
รถเกียร์ออโต้ทั่วไปที่ลดเกียร์ลดลงมา  
และเวลาถอนคันเร่งแต่ไม่ได้เหยียบเบรค จะรู้สึกเหมือนกับว่ารอบเครื่องค้างอยู่สูงกว่า
และหน่วงกว่ารถไหลไปต่อน้อยน้อย

---------------------------------

ปกติถ้าจะขึ้นเขาใช้เกียร์ D อย่างเดียวครับ
แต่ถ้าลงเขายาวๆมากๆ ตรงนี้อาจจะสลับมาใช้เกียร์ B ช่วยหน่อย

คร่าวๆในรถทั่วไปที่ไม่ใช่ HV จะมีเบรคอยู่ 2 ส่วนหลักๆ
- ระบบเบรคปกติ
- engine brake

แต่ในรถ Camry HV จะมีเบรคอยู่ 3 ส่วน
-  ระบบเบรคปกติ  --> จานเบรค
-  Regenerative Brake -->ปั่นไฟผ่าน MG กลับเข้าสะสมในแบต
-  engine brake

เวลาที่รถขับรถทั่วไปที่ไม่ใช่ HV
ถ้าลงเขาต่อเนื่องยาวๆ
ระบบเบรคปกติ เวลาเบรคมันก็จะเสียดสีกันเกิดเป็นเสียงและความร้อน
ซึ่งถ้าความร้อนสะสมมากๆ เบรคก็จะเฟด ดังนั้นเวลาลงเขายาวๆ
เราก็เลยใช้เกียร์ต่ำเพื่อให้มี engine brake มาช่วยหน่วง ลดภาระของเบรคลง

สำหรับ Camry HV
ถ้าขับลงเขาต่อเนื่องยาวๆ
ระบบเบรคปกติ เวลาเบรคมันก็จะเสียดสีกันเกิดเป็นเสียงและความร้อน
ซึ่งถ้าความร้อนสะสมมากๆ เบรคก็จะเฟดได้เช่นเดียวกัน
เบรคอีกส่วนที่ทำงานอยู่ร่วมกันเสมอ ก็คือ Regenerative brake
ซึ่งเอาพลังงานจากล้อมาปั่นไฟกลับไปสะสมไว้ในแบต
ทีนี้ตอนลงเขายาวๆ ไฟจะถูกปั่นกลับไปสะสมไว้ในแบตจนเต็ม
ก็ไม่สามารถสร้างแรงเบรคจากการปั่นไฟได้แล้ว

ึจึงต้องเอาเอา engine brake กลับเข้ามาช่วย
ทั้งที่ตามปกติรถ HV  engine brake จะมีน้อยมาก
เพราะเป็นการสูญเสีย เวลาถอนรถจะไหลกว่า
แต่ตัวที่สร้างแรงหน่วงจะเป็น MG ที่เข้ามาทำหน้าที่ปั่นไฟเก็บไว้ในแบต
ซึ่งได้ประโยชน์กว่าสามารถนำพลังงานกลับมาใช้ได้



เนื่องจาก Camry ไม่ได้มีเกียร์ที่ปรับเปลี่ยนอัตราทดแบบทั่วๆไป
แต่จะเป็น power split device ซึ่ง
MG1          เข้าที่ Sun
เครื่องยนต์  เข้าที่ carrier
MG2           เข้าที่ ring
ทั้ง 3 ส่วนจะขบกันอยู่ตลอดเวลาตามแบบในรูปนะครับ

โดย Ring หรือ MG2 จะขับออกไปที่เฟืองท้ายออกไปขับล้อ

ดังนั้นถ้าจะมองอัตราทดเกียร์
แบบในรถทั่วไปก็คือสัดส่วน รอบเครื่อง VS ความเร็วรถ
ใน Camry HV ก็คือสัดส่วนของ [รอบเครื่องเครื่องยนต์]  VS  [รอบของ MG2]

ทั้่ง MG1 - เครื่องยนต์ - MG2  ทั้ง 3 ส่วนสามารถหมุนไปพร้อมๆกัน
ได้หลากหลายค่าตามความสัมพันธ์ของมัน


ที่ความเร็วรถเดียวกันคือ MG2 หมุนค่าเดียวกัน
รอบเครื่องยนต์ สามารถหมุนได้หลายค่ามากๆ
ขึ้นอยู่กับว่า MG1 หมุนด้วยความเร็วเท่าไหร่

หรือที่รอบเครื่องค่าเดียวกันนั้น
MG2 จะหมุนได้หลายค่าความเร็วมากๆ
บางครั้่งเครื่องยนต์ค่าเดียวกัน เช่น 2200 rpm
MG2 อาจจะหมุนเดินหน้าได้หลากหลายค่า
หรืออาจหมุนถอยหลัง หรือหยุดนิ่งอยู่ก็ได้



ตอนที่เปลี่ยนจาก D -->  B แล้วสร้าง engine brake
ตอนแรกรถวิ่งความเร็วเดิมอยู่คือ MG2 หมุนเร็วเท่ากัน
เข้าใจว่า น่าจะดึงไฟสั่ง MG1 ให้หมุนเร็วขึ้น
เครื่องก็จะถูกดึงให้หมุนเร็วขึ้นด้วย แต่ไม่ได้จ่ายน้ำมัน อัดอากาศเล่นเฉยๆ
เท่ากับหาทางเอาแบตที่เต็มอยู่ออกมาใช้ จะได้เหลือที่ให้เบรคโดยการปั่นไฟได้อีก
และเครื่องยนต์ก็จะสร้าง engine brake ได้เพิ่มขึ้นด้วย
ความเร็วของรถ หรือมองว่าคือ Ring หรือ MG2 ก็จะลดลงเร็วกว่า
ตอนที่การใช้เกียร์ D


ผลลัพธ์ออกมาจึงรู้สึกคล้ายกับรถทั่วไปแล้วเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำ
เพราะ รอบเครื่องสูงขึ้นที่ความเร็วเท่ากัน เฉพาะตอนที่เบรคหรือถอนคันเร่ง
แต่ตอนกดเร่งแซงหรือขับขึ้นเขา ที่ใช้งานอยู่ไม่ได้รู้สึกว่ามันมีผลให้เร่งได้เร็วขึ้นกว่าเกียร์ D ครับ


ขอบคุณมากครับ. และ ท่านอื่นๆด้วยนะครับ

ออฟไลน์ Torque

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 248
Re: การใช้เกียร์ B ใน Toyota Camry Hybrid
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มีนาคม 24, 2015, 16:16:08 »
แบบนี้ฉุกเฉินเกียร์ B เองก็ใช้ได้ทุกๆย่านความเร็วใช่ไหมครับ (กรณีฉุกเฉิน) เพียงแต่การสึกหรอ จะสึกหรอที่ MG แทน ถูกรึเปล่าครับคุณ Torque

เข้าใจว่าควรจะใช้ได้ทุกย่านความเร็วครับ

แต่ที่ว่าจะสึกหรอเพิ่มขึ้น ก็จากการใช้งาน มันหมุนเร็วขึ้นด้วยกันหมด
ในข้อความนั้นผมสื่อถึงเครื่อง ที่ต้องหมุนเร็วขึ้นครับ
แต่การสึกหรอนี้ผมเชื่อว่าไม่ใช่ทำอยู่ 10-20 ครั้งมันจะพังทันที

เพราะไม่ใช่แบบว่าขับเกียร์ธรรมดาอยู่ 120 km/h
แล้วยัดเข้าเกียร์ 2 ทันที อันนี้รอบทะลุอาจจะพังเลย

เพียงแต่ถ้าขับด้วยเกียร์ B ตลอดทุกๆวัน ไม่ใช้เกียร์ D เลย
แบบนี้การสึกหรอน่าจะมากกว่าครับ  ;D

-------------------------------

ส่วนตอนที่ฉุกเฉินแล้วเข้าเกียร์ B ผมมีคำถามนิดหน่อยครับ
ว่าทำไมถึงไม่ได้หน่วงความเร็วด้วยแป้นเบรค แต่ใช้คันเกียร์แทนครับ ?
อาการเบรคมันมีปัญหาจับไม่อยู่หรือ มีอาการอื่นที่เป็นปัญหาหรือเปล่าครับ?

จะเหมือนผมหรือเปล่าไม่ทราบนะครับ
รู้สึกว่าเบรคมันไม่เป็นเชิงเส้นเท่าที่ควร เวลาเหยียบเบรคแรงๆ
ที่ระบบเบรคปกติมันจะเข้ามาทำงาน รู้สึกเหมือนว่ามันไม่ค่อยๆหนีบจานเบรค แต่จับหยุดกึกเลย
 
แต่ตอนที่เบรคปกติทั่วไปก็เนียนดีครับ
เบรคน้อยๆ regenerative ก็ทำงาน พอจะหยุดนิ่งเบรคปกติก็เข้ามาทำงานเป็นหลัก
มีแค่บางครั้งที่รู้สึกถึงรอยต่อ
a = F/m

ออฟไลน์ sedan lover

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 429
Re: การใช้เกียร์ B ใน Toyota Camry Hybrid
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มีนาคม 24, 2015, 19:32:26 »
ผมจะเอาไว้ใช้ตอนเจอพวกชอบขับจี้ตูดครับ แล้วเราต้องชะลอติดไฟแดงใช้Bเลยครับ บางทีจะเลียแป้นเบรคไม่ให้ไฟเบรกติด แต่รถชะลอความเร็วลง ให้มันกะระยะเอาเองครับ ดัดนิสัยไอ้พวกจี้ตูดขับรถ ขำๆนะครับ ;D

ออฟไลน์ Direct

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 43
Re: การใช้เกียร์ B ใน Toyota Camry Hybrid
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มีนาคม 24, 2015, 21:46:35 »
แบบนี้ฉุกเฉินเกียร์ B เองก็ใช้ได้ทุกๆย่านความเร็วใช่ไหมครับ (กรณีฉุกเฉิน) เพียงแต่การสึกหรอ จะสึกหรอที่ MG แทน ถูกรึเปล่าครับคุณ Torque

เข้าใจว่าควรจะใช้ได้ทุกย่านความเร็วครับ

แต่ที่ว่าจะสึกหรอเพิ่มขึ้น ก็จากการใช้งาน มันหมุนเร็วขึ้นด้วยกันหมด
ในข้อความนั้นผมสื่อถึงเครื่อง ที่ต้องหมุนเร็วขึ้นครับ
แต่การสึกหรอนี้ผมเชื่อว่าไม่ใช่ทำอยู่ 10-20 ครั้งมันจะพังทันที

เพราะไม่ใช่แบบว่าขับเกียร์ธรรมดาอยู่ 120 km/h
แล้วยัดเข้าเกียร์ 2 ทันที อันนี้รอบทะลุอาจจะพังเลย

เพียงแต่ถ้าขับด้วยเกียร์ B ตลอดทุกๆวัน ไม่ใช้เกียร์ D เลย
แบบนี้การสึกหรอน่าจะมากกว่าครับ  ;D

-------------------------------

ส่วนตอนที่ฉุกเฉินแล้วเข้าเกียร์ B ผมมีคำถามนิดหน่อยครับ
ว่าทำไมถึงไม่ได้หน่วงความเร็วด้วยแป้นเบรค แต่ใช้คันเกียร์แทนครับ ?
อาการเบรคมันมีปัญหาจับไม่อยู่หรือ มีอาการอื่นที่เป็นปัญหาหรือเปล่าครับ?

จะเหมือนผมหรือเปล่าไม่ทราบนะครับ
รู้สึกว่าเบรคมันไม่เป็นเชิงเส้นเท่าที่ควร เวลาเหยียบเบรคแรงๆ
ที่ระบบเบรคปกติมันจะเข้ามาทำงาน รู้สึกเหมือนว่ามันไม่ค่อยๆหนีบจานเบรค แต่จับหยุดกึกเลย
 
แต่ตอนที่เบรคปกติทั่วไปก็เนียนดีครับ
เบรคน้อยๆ regenerative ก็ทำงาน พอจะหยุดนิ่งเบรคปกติก็เข้ามาทำงานเป็นหลัก
มีแค่บางครั้งที่รู้สึกถึงรอยต่อ
ใช่ครับๆ ผมรุสึกว่าเบรคคันนี้ ช่วงความเร็วต่ำๆ - กลางๆ มันจะเบรคแบบหน้าทิ่มนิดๆ ก็เลยใช้เกียร์แทน เวลาเบรคมันจะ smooth มากกว่า
คนนั่งจะได้หน้าไม่ทิ่มด้วยครับ