จริงๆแล้วเกียร์ D ก็มีระบบในการบริหารจัดการระบบแบตอยู่แล้วนะครับ
โดยทั่วไปเราไม่จำเป็นต้องไปเข้าเกียร์ B เพื่อช่วยบังคับให้มันชาร์จไฟ (เร็วขึ้น) ครับ
เกียร์ B ก็สามารถใช้ได้เสมอครับ ถ้าอยู่ในสถานะการณ์ที่จำเป็นต้องการใช้
ตลอดย่านความเร็วที่มันทำได้
และบังเอิญที่บ้านเคยเผลอขับเกียร์ B ยาวๆ 50 km เครื่องไม่พังครับ (เผลอลากคันเกียร์ลงมาสุดแบบรถอีกคัน)
แต่จะสึกหรอและกินน้ำมันมากขึ้นกว่าปกติเท่านั้น
และถ้าเข้าเกียร์ B ไฟเบรคยังไม่ติด ต้องเหยียบเบรคก่อนครับไฟเบรคจึงจะติด
ผลลัพธ์ในการขยับจากเกียร์ D-->B ก็จะรู้สึกคล้ายกับ
รถเกียร์ออโต้ทั่วไปที่ลดเกียร์ลดลงมา
และเวลาถอนคันเร่งแต่ไม่ได้เหยียบเบรค จะรู้สึกเหมือนกับว่ารอบเครื่องค้างอยู่สูงกว่า
และหน่วงกว่ารถไหลไปต่อน้อยน้อย
---------------------------------
ปกติถ้าจะขึ้นเขาใช้เกียร์ D อย่างเดียวครับ
แต่ถ้าลงเขายาวๆมากๆ ตรงนี้อาจจะสลับมาใช้เกียร์ B ช่วยหน่อย
คร่าวๆในรถทั่วไปที่ไม่ใช่ HV จะมีเบรคอยู่ 2 ส่วนหลักๆ
- ระบบเบรคปกติ
- engine brake
แต่ในรถ Camry HV จะมีเบรคอยู่ 3 ส่วน
- ระบบเบรคปกติ --> จานเบรค
- Regenerative Brake -->ปั่นไฟผ่าน MG กลับเข้าสะสมในแบต
- engine brake
เวลาที่รถขับรถทั่วไปที่ไม่ใช่ HV
ถ้าลงเขาต่อเนื่องยาวๆ
ระบบเบรคปกติ เวลาเบรคมันก็จะเสียดสีกันเกิดเป็นเสียงและความร้อน
ซึ่งถ้าความร้อนสะสมมากๆ เบรคก็จะเฟด ดังนั้นเวลาลงเขายาวๆ
เราก็เลยใช้เกียร์ต่ำเพื่อให้มี engine brake มาช่วยหน่วง ลดภาระของเบรคลง
สำหรับ Camry HV
ถ้าขับลงเขาต่อเนื่องยาวๆ
ระบบเบรคปกติ เวลาเบรคมันก็จะเสียดสีกันเกิดเป็นเสียงและความร้อน
ซึ่งถ้าความร้อนสะสมมากๆ เบรคก็จะเฟดได้เช่นเดียวกัน
เบรคอีกส่วนที่ทำงานอยู่ร่วมกันเสมอ ก็คือ Regenerative brake
ซึ่งเอาพลังงานจากล้อมาปั่นไฟกลับไปสะสมไว้ในแบต
ทีนี้ตอนลงเขายาวๆ ไฟจะถูกปั่นกลับไปสะสมไว้ในแบตจนเต็ม
ก็ไม่สามารถสร้างแรงเบรคจากการปั่นไฟได้แล้ว
ึจึงต้องเอาเอา engine brake กลับเข้ามาช่วย
ทั้งที่ตามปกติรถ HV engine brake จะมีน้อยมาก
เพราะเป็นการสูญเสีย เวลาถอนรถจะไหลกว่า
แต่ตัวที่สร้างแรงหน่วงจะเป็น MG ที่เข้ามาทำหน้าที่ปั่นไฟเก็บไว้ในแบต
ซึ่งได้ประโยชน์กว่าสามารถนำพลังงานกลับมาใช้ได้
เนื่องจาก Camry ไม่ได้มีเกียร์ที่ปรับเปลี่ยนอัตราทดแบบทั่วๆไป
แต่จะเป็น power split device ซึ่ง
MG1 เข้าที่ Sun
เครื่องยนต์ เข้าที่ carrier
MG2 เข้าที่ ring
ทั้ง 3 ส่วนจะขบกันอยู่ตลอดเวลาตามแบบในรูปนะครับ
โดย Ring หรือ MG2 จะขับออกไปที่เฟืองท้ายออกไปขับล้อ
ดังนั้นถ้าจะมองอัตราทดเกียร์
แบบในรถทั่วไปก็คือสัดส่วน รอบเครื่อง VS ความเร็วรถ
ใน Camry HV ก็คือสัดส่วนของ [รอบเครื่องเครื่องยนต์] VS [รอบของ MG2]
ทั้่ง MG1 - เครื่องยนต์ - MG2 ทั้ง 3 ส่วนสามารถหมุนไปพร้อมๆกัน
ได้หลากหลายค่าตามความสัมพันธ์ของมัน
ที่ความเร็วรถเดียวกันคือ MG2 หมุนค่าเดียวกัน
รอบเครื่องยนต์ สามารถหมุนได้หลายค่ามากๆ
ขึ้นอยู่กับว่า MG1 หมุนด้วยความเร็วเท่าไหร่
หรือที่รอบเครื่องค่าเดียวกันนั้น
MG2 จะหมุนได้หลายค่าความเร็วมากๆ
บางครั้่งเครื่องยนต์ค่าเดียวกัน เช่น 2200 rpm
MG2 อาจจะหมุนเดินหน้าได้หลากหลายค่า
หรืออาจหมุนถอยหลัง หรือหยุดนิ่งอยู่ก็ได้
ตอนที่เปลี่ยนจาก D --> B แล้วสร้าง engine brake
ตอนแรกรถวิ่งความเร็วเดิมอยู่คือ MG2 หมุนเร็วเท่ากัน
เข้าใจว่า น่าจะดึงไฟสั่ง MG1 ให้หมุนเร็วขึ้น
เครื่องก็จะถูกดึงให้หมุนเร็วขึ้นด้วย แต่ไม่ได้จ่ายน้ำมัน อัดอากาศเล่นเฉยๆ
เท่ากับหาทางเอาแบตที่เต็มอยู่ออกมาใช้ จะได้เหลือที่ให้เบรคโดยการปั่นไฟได้อีก
และเครื่องยนต์ก็จะสร้าง engine brake ได้เพิ่มขึ้นด้วย
ความเร็วของรถ หรือมองว่าคือ Ring หรือ MG2 ก็จะลดลงเร็วกว่า
ตอนที่การใช้เกียร์ D
ผลลัพธ์ออกมาจึงรู้สึกคล้ายกับรถทั่วไปแล้วเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำ
เพราะ รอบเครื่องสูงขึ้นที่ความเร็วเท่ากัน เฉพาะตอนที่เบรคหรือถอนคันเร่ง
แต่ตอนกดเร่งแซงหรือขับขึ้นเขา ที่ใช้งานอยู่ไม่ได้รู้สึกว่ามันมีผลให้เร่งได้เร็วขึ้นกว่าเกียร์ D ครับ