ครั้งนี้นับว่าเป็น Review ที่ใช้เวลาศึกษาตัวรถที่นานพอสมควรเกือบจะครบ 1ปีเต็ม เนื่องจากผมเองช่วงหลังๆยุ่งอยู่กับงานที่บริษัทค่อนข้างมาก มีงานหลาย Project เข้าหา
เลยใช้เวลาศึกษาตัวรถมาได้ค่อนข้างมาก ตอนนี้วิ่งไป 2หมื่นกว่า km แล้วครับ Review ตัวนี้จึงอาจจะเป็นลักษณะ Freestyle อ่านเพลินครับ มีหลายๆด้านของตัวรถให้ดู
เพราะระบบไฟฟ้าของรถคันนี้ถ้าหากทดสอบกันแค่ไม่กี่วันจะไม่รู้จักลักษณะนิสัยที่แท้จริงของตัวระบบ Hybrid ครับ
ก่อนอื่นขอเท้าความก่อนว่าทำไมถึงเป็นเจ้า Porsche Panamera S e-hybrid คันนี้ได้ เนื่องจากว่ารถคันนี้คุณพ่อจะเป็นคนใช้เป็นหลัก ทั้งขับเองและคนขับรถขับ
ลักษณะการใช้งานคือ ส่วนใหญ่จะวิ่งไปกลับ บ้าน-ที่ทำงาน(มีไปที่อื่นทำธุระเขตรัศมี กรุงเทพฯ ไม่เกินประมาณ 200km) ซึ่งก่อนหน้านี้รถที่ใช้อยู่คือ
Mercedes-Benz W221 2007 S320CDI ของ MBTH ที่วิ่งไปอยู่ 150,000km อายุราวเกือบ7ปี ซึ่งเริ่มมีค่าซ่อมที่มาก มาตั้งแต่ 100,000km ไม่ว่าจะระบบ
Infortainment ช็อต ใช้งานไม่ได้ทั้งระบบ, ECU ช็อต, สมองเกียร์รวน, ระบบถุงลมช่วงล่าง fault, ระบบแรงดันน้ำมันมีปัญหา, ฯลฯ นับได้ว่า เจอปัญหาทั้งหมด
รวมค่าซ่อมรวมกันน่าจะประมาณ 7-8แสนบาท คุณพ่อจึงคิดว่า ถ้านานไปกว่านี้ คงต้องเสียค่าซ่อมอีกหลายรายการในอนาคต เลยตัดสินใจหาคันใหม่แทนในช่วงต้นปี 2014
โดยตอนนั้นเป็นช่วงที่มีรถในระดับ Luxury class ในระดับประมาณ 10 ล้าน+-อยู่พอสมควร ไล่ตั้งแต่ Benz W222 S300/400 hybrid, BMW 7 series, Audi A8, Jaguar XJL
Maserati Quattroporte S V6, Range Rover 3.0 Diesel, Lexus LS460, Porsche Panamera ฯลฯ
โดยได้คุยกันตัด BMW ออกไปก่อนเพราะใกล้จะเปลี่ยน Model Change, Audi A8 แกบอกว่าเหมือน A6 ตัวปัจจุบันเกินไป, Jaguar XJL หลังคาด้านหลังติดหัวคุณพ่อ,
Range Rover จะไปซ้ำกับ Cayenne ที่บ้าน, Lexus ไม่ชอบเป็นการส่วนตัว,
Maserati ท่านไม่ชอบรถอิตาลี่เป็นการส่วนตัว ทำให้ Choice เหลือเข้ารอบสุดท้ายคือ
W222 และ Panamera ตอนนี้ก็มานั่ง +- ในเรื่องต่างๆกัน โดย W222 เอง ท่านให้ความเห็นว่า เหมือนเอาS-classคันเดิมมา upgrade(แม้ลึกๆมันจะเอาพื้นฐานตัว W221 มาพัฒนาต่อยอด)
พอรถออกมาเยอะๆก็เริ่มโหล มีรถรับส่งโรงแรมจนดูชินตาไปเร็ว(คุณพ่อหลังๆค่อนข้างชอบอะไรที่uniqueซักเล็กน้อย) ภายในการประกอบในส่วนรอยต่อถือว่า
ถ้าดูกันจริงๆถือว่าไม่เนี๊ยบเท่า Porsche/Audi A8 วัสดุพวกปุ่มกดค่อนข้างเปราะกว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย แต่ข้อดีของมันคือเบาะหลังที่นั่งสบายมากๆๆ
อย่างกับเก้าอี้ First Class ภายในตกแต่ง Modern ดี ระบบไฟฟ้า Infortainment HiTech มากมาย
หลังจากนั้นก็มาดูฝั่ง Porsche บ้าง ซึ่งตอนนั้นก็จะมีที่ดูคือ Diesel/Se-hybrid ตอนนั้นตัด Diesel ออกไปเพราะว่าราคาค่อนข้างสูงกว่าพอสมควร เนื่องจากตัว Hybrid ได้รับการสนับสนุนเรื่องภาษี
ที่ได้ต่ำกว่ารุ่น Diesel +คิดว่าระยะทางที่จะขับจะค่อนข้างใกล้ ไม่ได้เดินทางระยะไกล เพราะถ้าออกต่างจังหวัดไกลๆก็ใช้ Cayenne Diesel ตามปกติ
ตอนนั้นก็ได้ศึกษาตัว S e-hybrid มาเรื่อย เริ่มรู้ว่าตัว hybrid ตัวนี้ไม่ใช่เล่นๆเหมือนตัว S hybrid ตัวก่อนอีกแล้ว การ upgrade ของ Battery, แรงม้า/แรงบิด Motorไฟฟ้า, ระบบ Plug-in
มีหลายๆอย่างที่ได้รับการปรับปรุงที่ดีขึ้น (Panamera มีข้อเสียถ้าเทียบกับ s-class อย่างเดียวคือที่นั่งด้านหลังที่ถือว่าคนสูง 180cm สามารถนั่งได้สบาย เหลือพื้นที่หัวอีกเป็นหลายนิ้ว
เอนหลังก็ทำได้น้อยกว่า legroom ก็ถือว่าแคบกว่า s-class พอสมควร แต่เอาจริงๆแก้ไขง่ายๆคือ ปรับเบาะด้านหน้าที่นั่งให้ชิดสุด legroom ก็จะมีเหลือมากมายสบายๆ)
ชั่งน้ำหนักไปๆมาๆอยู่เกือบ 1 เดือน(ระหว่างนั้นก็อ่าน review จาก web ต่างประเทศไป เพราะตอนนั้นรถทั้ง 2 รุ่นนี้เมืองไทยเพิ่งจะเข้ามาได้ไม่นานนัก)
ก็สรุปจบออกมาเป็น Porsche Panamera S e-hybrid โดยก็ได้ทำการหาศูนย์+Options+สีรถ ตามความชอบส่วนตัว(ส่วนนี้ขอข้ามไปครับ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล)
ปรากฎว่ากลับไปได้เจ้าเดิมครับ Wiz Auto Sales ซึ่งตอนนั้นได้ spec ที่ถูกใจอยู่พอดีเลย แล้วรถก็อยู่ที่ท่าเรือเมืองไทยเรียบร้อยมีใบ 32 เรียบร้อย Options เป็นที่พอใจ
ก็เลยทำการจองรถ พร้อมเงื่อนไขตามแต่ละบุคคล หลังจากนั้น 3-5วันรถก็มาอยู่ที่ Showroom เรียบร้อย ก็รอฤกษ์ร่วมเดือน หลังจากนั้นก็ทำการตรวจรับรถตามปกติ
ก็ได้เจ้ากบไฟฟ้าคันนี้มาประจำอยู่ที่บ้าน
พี่น้องจากโรงงานเดียวกัน ผลิตจากโรงงาน Leipzig,Germany เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล มาจอดอยู่ข้างกัน อายุต่างกัน 3ขวบเศษ
ซึ่งตอนแรกที่บ้านยังไม่ได้เตรียมปลั๊กเอาไว้สำหรับเจ้ากบคันนี้เลย มีแต่เต้าไฟสำหรับดูดฝุ่นรถอย่างเดียว ก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้งานได้หรือไม่ในตอนแรก เพราะทางเซลล์เองก็ไม่มีข้อมูลเช่นกัน
ผมก็ได้ศึกษารายละเอียดจาก web UK มากมายได้ทราบว่า
(*สำหรับบางท่านที่มีรถแล้วเจอปัญหานี้ stepนี้ถือว่าผ่านอยู่ครับ ผมใช้มา 1ปีเต็ม ระบบไฟฟ้าที่บ้านปกติทุกอย่าง ให้ช่างไฟฟ้าที่บริษัทมาตรวจทุกอย่างเป็นปกติครับ ส่วนนี้สามารถข้ามได้นะครับ)
1.เต้ารับไฟจะต้องเป็นปลั๊ก 3 ขา ที่มีสาย Neutral เท่านั้น เพราะจะมี canbus ตรวจเช็คในตัวชาร์จเองว่ามี สาย Neutral หรือไม่ ถ้าไม่มีจะไม่สามารถชาร์จได้
2.การชาร์จสำหรับไฟบ้านเราที่เป็น 220V จะสามารถชาร์จผ่านหัวไฟบ้าน 3 หัว UK (Level1) ใช้เวลา 4ชม. หมดถึงเต็ม จริงๆมี Level 2 ให้ Charge ได้โดยการเปลี่ยนหัวเป็น Industrial Plug เช่น
หัว NEMA จะลงมาอยู่ที่ 2.5ชม. แต่เพื่อความสะดวกในการติดตั้ง และคิดว่าชาร์จ 4ชม. ถือว่ารับได้(เพราะก็สามารถทิ้งข้ามคืนไว้ ถ้าเต็มระบบก็จะตัดให้อัตโนมัติ)
3.Circuit Braker ต้องทำการเปลี่ยน เพราะตัวชาร์จจะใช้ Peak Amp อยู่ที่ 16Amp ตัวเก่าก่อนจะให้ช่างไฟมาเปลี่ยน ไปเช็คแล้วปรากฎว่าตรงนั้นมี Breaker อยู่ที่ 20 Amp อยู่แล้ว
จึงสามารถเสียบเพื่อใช้งานได้เลย
4.หัวปลั๊กที่ทางศูนย์ให้มาจะเป็น UK plug ต้องทำการหาหัวเปลี่ยน โดยที่ต้องเป็นหัวที่ไม่มี Fuse ในตัวไม่งั้นจะตัดหมด Fuse ส่วนใหญ่จะมาอยู่ที่ 10 Amp
ลองอยู่หลายยี่ห้อที่เป็นตัวเกรดดีสุด ช่วงแรกผมเลยต้อง observe หัวปลั๊กแปลงบ่อยๆหน่อยว่าจะพบปัญหาไหม
ปรากฎว่าบางยี่ห้อเสียบไป 2-3วัน ถ้าสังเกตุเข้าไปช่องเสียบจะพบว่า Plastic มีการเสียรูปเล็กน้อย ผมเลยเปลี่ยน จนมาเจอของ Toshino ตัวส่งออก แบบครบชุดหลายร้อยบาทอยู่
ที่รับได้สูงสุด 18Amp 240V ผลที่ได้คือ ตัวปลั๊กไม่ละลายสามารถใช้งานได้ปกติ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วันกี่เดือนก็ตาม (แบรนด์Toshinoนี้สินค้าเค้าคุณภาพใช้ได้อยู่นะครับ^^)
5.หัวที่ใช้เสียบตัวรถจะเป็นมาตรฐานของรถที่นำเข้ามาจาก UK (Mode 2: 62196-2 Female Plug) ถ้ารถมาจากที่อื่นก็จะแตกต่างกันครับ
6.ตัวชุดชาร์จที่ให้มากับรถจะมีคือ
1).ตัวAdapter Porsche universal charger (AC) ทรง Capsule หรูหรา เอาไว้แปลงไฟ ACจากบ้านมาเป็นไฟDC
2).สายหัวปลั๊กบ้านเข้าตัว Adapter 3).สายจากAdapterเข้าตัวรถหัวเป็นหัวFemale
ทั้งชุดถ้าซื้อใหม่ก็ร่วมแสนได้ครับ
from postmediadriving
*ตำแหน่งการชาร์จไฟฟ้าที่บ้านครับ
#############################################################################################################