ผู้เขียน หัวข้อ: Plug-in Hybrid (PHEV) เมื่อไหร่จะเข้าเมืองไทยครับ?  (อ่าน 4168 ครั้ง)

ออฟไลน์ Phongsan

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 16
ผมว่ารถ Plug-in Hybrid มันน่าสนใจกว่ารถ Hybrid ธรรมดาที่ใช้แบตฯ NiCd มากเพราะแบตฯ Li-ion ในรถ Plug-in Hybrid มีความจุสูงกว่า อายุการใช้งานนานกว่า สามารถเสียบปลั๊กชาร์ตกับไฟบ้านหรือสถานีชาร์ตไฟได้ (ถ้าไม่ได้วิ่งทางไกล เดือนๆนึงแทบไม่ต้องใช้น้ำมันเลยทีเดียว) และที่สำคัญคือสามารถใช้เป็นแหล่งไฟฟ้าสำรองตอนไฟฟ้าที่บ้านดับได้อีกด้วย

เมื่อสองสามวันก่อนไฟฟ้าที่บ้านดับ 4 ชั่วโมงกว่า (และจะดับบ่อยมากช่วงหน้าฝน คนต่างจังหวัดอยู่กันอย่างนี้มาตลอด) ถ้ามีรถ Plug-in Hybrid ก็จะสามารถดึงไฟจากรถมาใช้เป็นไฟฟ้าสำรองในบ้านได้ในช่วงไฟดับ เห็นรายการใน NHK บอกว่ารถ PHEV ของ Mitsubishi สามารถจ่ายไฟใช้ในบ้านได้นานหนึ่งวันเต็มๆ และถ้าเดินเครื่องยนต์ปันไฟไปด้วยจะใช้ได้นานถึง 10 วัน (ผมคงไม่ได้กะว่าไฟฟ้าที่บ้านจะดับนานขนาดนั้นหรอกครับ แต่คนญี่ปุ่นเขา serious กับเรื่องนี้ในกรณีเกิดภัยทางธรรมชาติ) ผมว่ามันเป็นรถที่เหมาะกับเมืองไทยมากๆ ทั้งประหยัดการใช้น้ำมัน (มากกว่ารถ Hybrid ธรรมดาเพราะสามารถเสียบปลั๊กชาร์ตได้) และใช้เป็นแหล่งไฟฟ้าสำรองยามฉุกเฉิน (ที่บ้านเรา โดยเฉพาะต่างจังหวัด จะเหมือนเป็นเรื่องปกติ)

มีใครพอจะทราบมั้ยครับว่าเมืองไทยจะมีรถ Plug-in Hybrid หรือ PHEV เข้ามาเมื่อไหร่?

ออฟไลน์ CATM96

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 421
Re: Plug-in Hybrid (PHEV) เมื่อไหร่จะเข้าเมืองไทยครับ?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2015, 18:32:58 »
ที่ผมเห็นนอกจาก mitubishiแล้ว ก็Honda accord plug-in hybrid นะครับถ้าจำไม่ผิดก็ทำได้เหมือนกัน แต่ถามว่าจะมามั้ย?
ส่วนตัวผมว่ายากนะครับ ยกเว้น ผู้บริหารคงรู้ตรงส่วนนี้แล้วทำออกมา แต่ๆ ทุกอย่างล้วนเป็นต้นทุนถ้าเขามองว่าไม่คุ้ม
ก็อดครับ แต่ถ้าทำจริงๆใครทำก่อนโปรโมตก่อนผมว่ามันสร้างความแตกต่างในตลาด hybrid เลยนะ

ออฟไลน์ Tee+...Lek

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 238
    • อีเมล์
Re: Plug-in Hybrid (PHEV) เมื่อไหร่จะเข้าเมืองไทยครับ?
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2015, 19:13:58 »
ปัญหาจริงๆ ของ Plug-in Hybrid คือสถานีเติมไฟฟ้านี่แหละครับ นอกเหนือจากปัญหาเรื่องการลงทุนแล้ว ปัญหาความต้องการพลังงานสูงสุด เป็นเรื่องที่หลายคนอาจจะคิดว่าไกลตัว แต่จริงๆ แล้วน่ากลัวมาก

เพราะในปัจจุปันความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าในบ้านเรานี่ถือว่าไม่เพียงพอกับกำลังผลิตในบ้านเรานานมากแล้ว ส่วนที่ยังเป็นส่วนต่างที่ยังเพียงพออยู่ก็เพราะอาศัยกำลังการผลิตจากเพื่อนบ้านข้างๆ เราทั้งนั้นแหละครับ

ในต่างประเทศเช่นสหรัฐอเมริกา ในบางมลรัฐตามศูนย์การค้าขนาดเล็กก็มีสถานีให้เติมแล้ว ระหว่างลงไปซื้อของก็เสียบปั๊บ ขึ้นรถมาก็ได้สัก 40% ก็หรูแล้ว

ตอนนี้ปัญหาหลักๆ เรื่องแบตเตอรี่คือ

1. ขนาดที่ใหญ่โตของมัน แม้จะมีเทคโนโลยีที่ทำให้ขนาดลดลงมากแล้ว ดีสุดๆ แต่ยังห่างไกลกับระดับที่ "ผู้บริโภค" เข้าถึงครับ มีการวิจัยมากมายกล่าวถึงเรื่องแบตเตอรี่ขนาดเล็กที่มีความจุเท่ากับแบตเตอรี่ในรถยนต์ เห็นมีเจ้าเดียวที่ทำค่อนข้างเป็นรูปธรรมที่สุดคือ Tesla นี่แหละครับ ที่อาจจะจุดเปลี่ยนก็เป็นได้
2. ระยะเวลาการชาร์จไฟ ปัญหาที่หลายๆ คนมองข้าม จริงครับ การชาร์จให้เร็วก็แค่เพิ่มกระแสไฟให้สูงขึ้นแค่นี้เอง แต่ปัญหาที่ตามมาคืออุณหภูมิที่สูงขึ้นเนื่องจากความร้อนจากความสูญเสียในการชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งในเรื่องนี้ก็มีงานวิจัย ที่ประสบความสำเร็จในการชาร์จไฟให้เต็มโดยที่มีความสูญเสียที่ต่ำมาก แต่คงอีกสักพักถึงจะอยู่ในระดับที่เราเอื้อมถึง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 09, 2015, 19:22:20 โดย Tee+...Lek »

ออฟไลน์ Phongsan

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 16
Re: Plug-in Hybrid (PHEV) เมื่อไหร่จะเข้าเมืองไทยครับ?
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2015, 01:11:10 »
เห็นด้วยครับว่าเรื่องต้นทุนและตลาดคือปัจจัยสำคัญ ถ้ามีเข้ามาจริง ผมเดาว่าราคาขายน่าจะอยู่แถวๆ 2.5 ล้าน สำหรับรถญี่ปุ่นขนาดประมาณ Camry หรือ Crossover ขนาดกลาง ซึ่งผมว่าคนไทยไม่จ่ายขนาดนั้น (ทำนองเดียวกับ Mazda 2 ดีเซล ที่เครื่องดีมากๆ แต่คนไทยไม่คุ้น ยอดขายจึงไม่ถึงเป้า) ถ้าจะจ่ายขนาดนั้น คนไทยจะหันไปมองรถยุโรปมากกว่า เพราะสิ่งบ่งบอกฐานะยังคงเป็นค่านิยมสำคัญในสังคมประเทศกำลังพัฒนาอย่างบ้านเรา

เรื่องสถานีชาร์ตไฟ ผมว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ เพราะอย่างน้อยมันคือ Hybrid ที่เต็มน้ำมันได้ ไม่ใช่ full electric อย่าง Tesla (ซึ่งคงไม่มีทางเข้าเมืองไทยในอีก 10 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อย) แต่ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้หากคนนิยมใช้รถ Plug-in Hybrid หรือ full electric มากขึ้นคือปริมาณการใช้ไฟฟ้าในประเทศที่ กฟผ ไม่น่าจะไล่ตามทันในแผนพลังงานปัจจุบัน ซึ่งผมว่ามันเป็นปัญหาที่อาจจะไม่ใช่ปัญหาเพราะหากมี Plug-in Hybrid เข้ามาจริง ปริมาณการใช้จะยังคงน้อยมากๆ จากราคาที่จะต้องสูงกว่ารถทั่วไปมากแน่ๆ ซึ่งยังจะไม่น่าส่งผมกระทบต่อปริมาณการใช้ไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ เว้นแต่ว่าวันนึงไทยถูกจำกัดปริมาณการปล่อย CO2 อย่างในประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ จนรัฐต้องสร้าง incentive ให้คนหันมาใช้รถ Hybrid หรือรถไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นนโยบายพลังงานของประเทศก็ต้องปรับให้ก้าวหน้าอย่างประเทศอื่นๆด้วยเช่นกัน

เรื่องระยะเวลาการชาร์ตไฟ จากที่ดูใน NHK เขาบอกว่า สถานีชาร์ตไฟความเร็วสูงสามารถชาร์ตแบตฯรถ Plug-in Hybrid ให้เต็มถึง 80% ภายในครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งหากทำได้อย่างนั้นจริง การพ่วงสถานีชาร์ตไฟ (แบบเสียตังค์ทำนองเดียวกับการเติมน้ำมันรถ) เข้ากับ supermarket หรือห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ร้านอาหาร ก็น่าจะมีความเป็นไปได้สูง และน่าจะทำได้ง่ายกว่าการทำปั๊มน้ำมันหลายเท่า

เทคโนโลยี Hybrid ธรรมดา สำหรับผม (และน่าจะอีกหลายๆคน) ยังไม่น่าดึงดูด เพราะอาจจะประหยัดน้ำมันจริง แต่ด้วยราคาค่าตัวที่แพงกว่า เอาเข้าจริงแล้วมันแทบไม่ได้ช่วยให้เราประหยัดเงินมากขึ้นเลย ในประเทศที่พัฒนาแล้วคนนิยมใช้รถ Hybrid กันเยอะเพราะรัฐมีการสร้างแรงจูงใจทางภาษี (เพราะประเทศเหล่านั้นถูกกดดันให้ต้องลดการปล่อย CO2) ส่วนเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ผมว่าน่าสนใจกว่าเพราะมันไม่ใช่เป็นแค่รถ แต่มันคือแบตฯสำรองก้อนใหญ่ที่ใช้ในบ้านได้ในยามฉุกเฉิน (ที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศนี้) และหากเราไม่ได้เดินทางไกล เราก็ไม่ต้องใช้น้ำมันเลยซักหยดเดียว

ออฟไลน์ kasuya

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 200
    • อีเมล์
Re: Plug-in Hybrid (PHEV) เมื่อไหร่จะเข้าเมืองไทยครับ?
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2015, 07:18:19 »
แบตที่ใช้ในต้าไม่ใช่ NiCd แต่เป็น NiMH
ใช่แบตลิโพจะดีเสมอไป ความจุนะใช่ แต่รอบการชาร์ตและอุณหภูมิที่ทำงานก็ด้อยกว่าด้วยนะ ต้องพัฒนากันอีกนิด

ออฟไลน์ MUK

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,997
Re: Plug-in Hybrid (PHEV) เมื่อไหร่จะเข้าเมืองไทยครับ?
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2015, 13:30:08 »
ผมว่าปัญหาใหญ่ของรถพวกนี้ ณ ตอนนี้น่าจะอยู่ที่แบตครับ ไม่ว่าจะใช้ตัวไหน อายุมันก็ไม่ได้เหมือนที่เราคิด บางทีมันก็มีความเสี่ยงในเรื่องของเซลล์ตายบางตัว และถ้าทำแบตดีมากๆ มันก็จะราคาแพงมากๆ อีกเช่นกัน ตอนซื้อไม่เท่าไหร่ แต่ว่าตอนเปลี่ยนแบตตอนมีปัญหามันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ

แต่ผมชอบพลังงานแบบนี้นะครับ
ผมว่าทางออกนอกจากจะทำให้แบตดีขึ้นแล้ว ตัวมอเตอร์ก็ต้องดี กินไฟน้อยให้แรงเยอะ ผมว่ามันยังต้องพัฒนาต่อ เพราะหลายๆ อย่างมันยังสวนทางกันอยู่ ถึงจุดที่ไม่มีทางออก หรือจุดสมดุล ผมว่า น่าจะมีขายและราคาไม่แพงด้วย

ต่อไปอาจจะไม่ใช่สถานีเสียบปลั๊ก  อาจจะเป็นสถานีเปลี่ยนแบตจะง่ายกว่า ถอดแบต ใส่แพ็คใหม่เข้าไป น่าจะง่ายกว่าชาร์จเยอะ
 :)

เพิ่มเติมอีกนิดครับ  แบตใช้วิธีเช่าไม่ต้องซื้อ น่าจะดีนะครับ

ออฟไลน์ Phongsan

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 16
Re: Plug-in Hybrid (PHEV) เมื่อไหร่จะเข้าเมืองไทยครับ?
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2015, 13:49:45 »
เห็นด้วยกับสถานีเปลี่ยนแบตฯครับ จำได้ว่าเคยเห็นรายการของญี่ปุ่นเขานำเสนอเรื่องสถานีเปลี่ยนแบตฯรถ taxi ไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ คือรถขับเข้าไป คนขับรูดบ้ตรแล้วมีแขนกลเปลี่ยนแบตฯให้ข้างใต้รถเลย ใช้เวลาเร็วกว่าเติมน้ำมันซะอีก ถ้ามีสถานีอย่างนี้แทนปั๊มน้ำมันรถ full electric ก็น่าจะได้รับความนิยมสูง เปลี่ยนเป็นการเช่าแบตฯอย่างที่ว่าผู้ใช้รถก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอายุแบตฯ

เรื่องประสิทธิภาพมอเตอร์ไฟฟ้าผมว่าตอนนี้มันก็ advance มากพอสมควร เรื่องกำลังและแรงบิดนี่ทำได้ดีกว่าเครื่อง Ferrari ซะอีก ยิ่งหากเทียบประสิทธิภาพ input/output กับเเครื่องยนต์สันดาปภายในแล้วละก็ มอเตอร์ไฟฟ้าดีกว่ามากๆ ช่วงปีสองปีหลังนี้ FIA มีการจัดการแข่งขันรถ Formula E ที่ใช้ไฟฟ้า 100% และเปลี่ยนกฎให้รถแข่ง Formula 1 เป็นเครื่องยนต์ไฮบริด ผมว่าตรงนี้จะเป็นตัวจักรสำคัญกระตุ้นให้ค่ายรถเร่งพัฒนาระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ทั้งแบตเตอร์รี่ ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า ทั้งวงจรการชาร์ตและ regenerative system ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเบรคและชาร์ตไฟกลับเข้าแบตฯ ผมว่าอีกไม่น่าเกิน 5 ปีเราน่าจะเห็นการพัฒนาแบตเตอร์รี่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยราคาที่ลดลง ยังไงอนาคตของรถยนต์ก็หนีไม่พ้นแบตเตอร์รี่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแน่นอน

ออฟไลน์ leenawat_sri

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 189
Re: Plug-in Hybrid (PHEV) เมื่อไหร่จะเข้าเมืองไทยครับ?
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2015, 14:42:38 »
แบตที่ใช้ในต้าไม่ใช่ NiCd แต่เป็น NiMH
ใช่แบตลิโพจะดีเสมอไป ความจุนะใช่ แต่รอบการชาร์ตและอุณหภูมิที่ทำงานก็ด้อยกว่าด้วยนะ ต้องพัฒนากันอีกนิด

ผมนึกว่า รถ hybrid ใช้แบตแบบ  lithium-iron sulfide ซะอีก

ออฟไลน์ Tee+...Lek

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 238
    • อีเมล์
Re: Plug-in Hybrid (PHEV) เมื่อไหร่จะเข้าเมืองไทยครับ?
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2015, 20:34:07 »
เห็นด้วยครับว่าเรื่องต้นทุนและตลาดคือปัจจัยสำคัญ ถ้ามีเข้ามาจริง ผมเดาว่าราคาขายน่าจะอยู่แถวๆ 2.5 ล้าน สำหรับรถญี่ปุ่นขนาดประมาณ Camry หรือ Crossover ขนาดกลาง ซึ่งผมว่าคนไทยไม่จ่ายขนาดนั้น (ทำนองเดียวกับ Mazda 2 ดีเซล ที่เครื่องดีมากๆ แต่คนไทยไม่คุ้น ยอดขายจึงไม่ถึงเป้า) ถ้าจะจ่ายขนาดนั้น คนไทยจะหันไปมองรถยุโรปมากกว่า เพราะสิ่งบ่งบอกฐานะยังคงเป็นค่านิยมสำคัญในสังคมประเทศกำลังพัฒนาอย่างบ้านเรา

เรื่องสถานีชาร์ตไฟ ผมว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ เพราะอย่างน้อยมันคือ Hybrid ที่เต็มน้ำมันได้ ไม่ใช่ full electric อย่าง Tesla (ซึ่งคงไม่มีทางเข้าเมืองไทยในอีก 10 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อย) แต่ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้หากคนนิยมใช้รถ Plug-in Hybrid หรือ full electric มากขึ้นคือปริมาณการใช้ไฟฟ้าในประเทศที่ กฟผ ไม่น่าจะไล่ตามทันในแผนพลังงานปัจจุบัน ซึ่งผมว่ามันเป็นปัญหาที่อาจจะไม่ใช่ปัญหาเพราะหากมี Plug-in Hybrid เข้ามาจริง ปริมาณการใช้จะยังคงน้อยมากๆ จากราคาที่จะต้องสูงกว่ารถทั่วไปมากแน่ๆ ซึ่งยังจะไม่น่าส่งผมกระทบต่อปริมาณการใช้ไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ เว้นแต่ว่าวันนึงไทยถูกจำกัดปริมาณการปล่อย CO2 อย่างในประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ จนรัฐต้องสร้าง incentive ให้คนหันมาใช้รถ Hybrid หรือรถไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นนโยบายพลังงานของประเทศก็ต้องปรับให้ก้าวหน้าอย่างประเทศอื่นๆด้วยเช่นกัน

เรื่องระยะเวลาการชาร์ตไฟ จากที่ดูใน NHK เขาบอกว่า สถานีชาร์ตไฟความเร็วสูงสามารถชาร์ตแบตฯรถ Plug-in Hybrid ให้เต็มถึง 80% ภายในครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งหากทำได้อย่างนั้นจริง การพ่วงสถานีชาร์ตไฟ (แบบเสียตังค์ทำนองเดียวกับการเติมน้ำมันรถ) เข้ากับ supermarket หรือห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ร้านอาหาร ก็น่าจะมีความเป็นไปได้สูง และน่าจะทำได้ง่ายกว่าการทำปั๊มน้ำมันหลายเท่า

เทคโนโลยี Hybrid ธรรมดา สำหรับผม (และน่าจะอีกหลายๆคน) ยังไม่น่าดึงดูด เพราะอาจจะประหยัดน้ำมันจริง แต่ด้วยราคาค่าตัวที่แพงกว่า เอาเข้าจริงแล้วมันแทบไม่ได้ช่วยให้เราประหยัดเงินมากขึ้นเลย ในประเทศที่พัฒนาแล้วคนนิยมใช้รถ Hybrid กันเยอะเพราะรัฐมีการสร้างแรงจูงใจทางภาษี (เพราะประเทศเหล่านั้นถูกกดดันให้ต้องลดการปล่อย CO2) ส่วนเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ผมว่าน่าสนใจกว่าเพราะมันไม่ใช่เป็นแค่รถ แต่มันคือแบตฯสำรองก้อนใหญ่ที่ใช้ในบ้านได้ในยามฉุกเฉิน (ที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศนี้) และหากเราไม่ได้เดินทางไกล เราก็ไม่ต้องใช้น้ำมันเลยซักหยดเดียว

ผมมองเรื่อง Hybrid ค่อนข้างจะแตกต่างออกไป ถึงสาเหตุที่มันไม่เป็นที่นิยมในบ้านเรานัก

จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อต่างประเทศที่สหรัฐอเมริกา ในเมืองใหญ่ๆ คุณจะเห็น Prius เต็มไปหมด เพราะสาเหตุเดียวเลยครับ คือตัวเลือกด้านพลังงานนั้นมีแค่น้ำมันเบนซินเป็นหลัก (นับรวมโซฮอล์ด้วยนะครับ เพราะเกือบทุกมลรัฐ ในช่วงเวลาที่น้ำมันแพงขึ้น รัฐก็จะเพิ่มปริมาณของแอลกฮอล์กเข้าไปในน้ำมัน เพื่อช่วยพยุงราคาโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะแจ้งบนหัวจ่ายเลยครับ) ราคาของน้ำมันดีเซลในอเมริกานั้นสูงกว่าเบนซินเล็กน้อยก็จริง แต่ปั้มที่มีจำหน่ายดีเซลนั้นมีน้อยมาก ปั้ม LPG หรือ CNG นี่แทบจะไม่มีเลยครับ

ดังนั้นตัวเลือกเพียงอย่างเดียวในช่วงแรกคือ Hybrid แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือหลายคนที่ซื้อ Prius เพราะ Airbag ที่มีให้ถึง 11 ลูกในรถระดับ C-Segment เท่านั้น! ผมเองตอนอยู่โน่นก็ใช้ Prius II รุ่นปี 2011 ผมเติมน้ำมันแค่อาทิตย์ละ $10 ในขณะที่เพื่อนใช้ Ford Focus รุ่นเก่า อาทิตย์นึงเติมน้ำมันประมาณ​ $40 นอกจากนี้ส่วนต่างของราคา Prius กับ Corolla ที่อยู่ในระดับเดียวกัน มีการคำนวณกันว่า ถ้าใช้รถในระยะทางมากเท่าไหร่ ส่วนต่างที่จ่ายเพิ่มของ Prius สามารถคุ้มค่าได้ในระยะเวลาแค่ 3 ปีเท่านั้น!!

สำหรับในประเทศเรานั้น ทางเลือกด้านพลังงานมีทั้งดีเซล และ LPG ที่ราคาต่ำกว่า รวมไปถึง CNG ที่ทางภาครัฐสนับสนุนซึ่งเป็นเรื่องที่ดี อย่างนึงที่ภาครัฐไม่ได้คำนึงถึงคือระบบการขนส่งก๊าซในต่างประเทศ มีการวางระบบเป็นท่อส่งไปตามบ้าน แล้วก็คิดราคาตามปริมาณที่ใช้ กลับบ้านก็เสียบเข้ากับรถ NGV ตื่นเช้ามาก็ขับไปทำงานได้ แต่บ้านเราก็ยังขึ้นกับการขนส่งทาง "รถ" อยู่ แล้วตัวเลือกที่ราคาแพงอย่าง Hybrid มันจะเกิดไหมละครับ

สำหรับประเด็นเรื่องการไฟฟ้าที่ท่านเห็นว่า ไม่น่ามีปัญหา ผมย้ำอีกครั้งนะครับ "กำลังการผลิตในประเทศ" ณ ปัจจุปัน ไม่สามารถรองรับ "ความต้องการระดับสูงสุด" หรือศัพท์ด้านไฟฟ้าที่เรียกว่า "Peak Load" ได้แล้วนะครับ แต่ "กำลังการผลิตโดยรวม" ยังห่างจากความต้องการสูงสุดในระดับที่ยอมรับได้

แล้วทำไมผมถึงว่ามันมีปัญหาละ? ไอ้เจ้า "Peak Load" ที่ผมว่า คือการใช้เวลาสูงสุดในช่วงเวลา "เป็นวินาที" นะครับ ถ้าเกิดวันดีคืนดี สายส่งแรงสูงที่ได้รับไฟฟ้าจากต่างประเทศเกิดมีปัญหาขึ้นมา ประจวบกับ Peak Load ดันสูงสุดพอดี อาการ Black out ก็จะเกิดขึ้นครับ และขอบอกนะครับว่าเมื่อ Black out แล้ว เอาขึ้นกลับมาก็ยาก

แล้วมันเกี่ยวกับการชาร์จไฟในรถยนต์ Plug in ยังไง ในการชาร์จแบตเตอรี่รถ Plug in จะใช้วิธีการคล้ายๆ กับการชาร์จโทรศัพท์ซึ่งใช้แบตเตอรี่ประเภทเดียวกัน  นั่นคือในช่วงไฟเหลือน้อย จะดึงกระแสค่อนข้างสูงเพื่อชาร์จในแบตเตอรี่อยู่ในระดับประมาณ 70-80% ของความจุสูงสุด แล้วจึงค่อยๆ ลดกระแสในการชาร์จลงเมื่ออยู่ในช่วง 80%-100% ลองคิดนะครับ ว่าถ้าแพร่หลายขึ้นมา มีรถเสียบชาร์จสัก 1,000 คัน แล้วเกิด Peak Load ที่มันสูงในเวลาเดียวกัน พอดีกับที่สายส่งจากต่างประเทศมีปัญหา อะไรจะเกิดขึ้น?

จริงอยู่ครับ กฟผ. คงไม่ยอมให้เกิด Black out ขึ้นได้ง่ายๆ หรอก แต่จำได้ไหมครับเมื่อหลายปีก่อนที่เกิดการ Black out ในภาคใต้ขึ้นมา กว่าจะจ่ายกระแสไฟได้ตามปรกติ ใช้เวลานานเท่าไหร่?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 10, 2015, 20:35:38 โดย Tee+...Lek »

ออฟไลน์ Phongsan

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 16
Re: Plug-in Hybrid (PHEV) เมื่อไหร่จะเข้าเมืองไทยครับ?
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2015, 19:27:26 »
เห็นด้วยครับว่าสุดท้ายปัจจัยในการตัดสินใจของผู้บริโภคคือราคาและความคุ้มค่า ซึ่งด้วยทั้งเหตุผลที่ไทยกำลังประสบกับปัญหาผลิตไฟฟ้าไม่พอใช้ และการมีเชื้อเพลิงราคาถูกอย่าง CNG และ LPG เข้ามาทดแทน ดูๆแล้ว Plug-in Hybrid คงจะเป็นไปได้ยากสำหรับเมืองไทย แม้ผมจะมองว่าการใช้แก๊สในรถยนต์เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะ troublesome พอสมควร ตั้งแต่การติดตั้งที่ทำให้พื้นที่บรรทุกในรถหายไปและน้ำหนักถังที่เพิ่มขึ้นจนต้อง balance ช่วงล่างกันใหม่ ความไม่เพียงพอที่ทุกวันนี้ยังต้องต่อคิวกันเติม CNG ตลอดจนสภาพเครื่องยนต์ที่สึกหรอมากกว่ารถใช้น้ำมันที่ทำให้อายุเครื่องยนต์สั้นลงและราคาขายต่อไม่ดี แต่อย่างน้อยผมว่าการที่บ้านเรายังมีการสร้าง incentive ทางราคาของ E20 และ E85 ถือว่าเป็นเรื่องดีมากๆ ทั้งเรื่องลดการน้ำเข้าน้ำมัน ลดค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค และลดปริมาณการปล่อย CO2 ดูรูปการณ์ลักษณะนี้แล้ว ดูเหมือนประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยน่าจะเหมาะกับเชื้อเพลิงเกษตรสังเคราะห์อย่าง E85 และ Bio-Diesel ไปอีกหลายสิบปี