เห็นด้วยครับว่าเรื่องต้นทุนและตลาดคือปัจจัยสำคัญ ถ้ามีเข้ามาจริง ผมเดาว่าราคาขายน่าจะอยู่แถวๆ 2.5 ล้าน สำหรับรถญี่ปุ่นขนาดประมาณ Camry หรือ Crossover ขนาดกลาง ซึ่งผมว่าคนไทยไม่จ่ายขนาดนั้น (ทำนองเดียวกับ Mazda 2 ดีเซล ที่เครื่องดีมากๆ แต่คนไทยไม่คุ้น ยอดขายจึงไม่ถึงเป้า) ถ้าจะจ่ายขนาดนั้น คนไทยจะหันไปมองรถยุโรปมากกว่า เพราะสิ่งบ่งบอกฐานะยังคงเป็นค่านิยมสำคัญในสังคมประเทศกำลังพัฒนาอย่างบ้านเรา
เรื่องสถานีชาร์ตไฟ ผมว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ เพราะอย่างน้อยมันคือ Hybrid ที่เต็มน้ำมันได้ ไม่ใช่ full electric อย่าง Tesla (ซึ่งคงไม่มีทางเข้าเมืองไทยในอีก 10 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อย) แต่ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้หากคนนิยมใช้รถ Plug-in Hybrid หรือ full electric มากขึ้นคือปริมาณการใช้ไฟฟ้าในประเทศที่ กฟผ ไม่น่าจะไล่ตามทันในแผนพลังงานปัจจุบัน ซึ่งผมว่ามันเป็นปัญหาที่อาจจะไม่ใช่ปัญหาเพราะหากมี Plug-in Hybrid เข้ามาจริง ปริมาณการใช้จะยังคงน้อยมากๆ จากราคาที่จะต้องสูงกว่ารถทั่วไปมากแน่ๆ ซึ่งยังจะไม่น่าส่งผมกระทบต่อปริมาณการใช้ไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ เว้นแต่ว่าวันนึงไทยถูกจำกัดปริมาณการปล่อย CO2 อย่างในประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ จนรัฐต้องสร้าง incentive ให้คนหันมาใช้รถ Hybrid หรือรถไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นนโยบายพลังงานของประเทศก็ต้องปรับให้ก้าวหน้าอย่างประเทศอื่นๆด้วยเช่นกัน
เรื่องระยะเวลาการชาร์ตไฟ จากที่ดูใน NHK เขาบอกว่า สถานีชาร์ตไฟความเร็วสูงสามารถชาร์ตแบตฯรถ Plug-in Hybrid ให้เต็มถึง 80% ภายในครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งหากทำได้อย่างนั้นจริง การพ่วงสถานีชาร์ตไฟ (แบบเสียตังค์ทำนองเดียวกับการเติมน้ำมันรถ) เข้ากับ supermarket หรือห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ร้านอาหาร ก็น่าจะมีความเป็นไปได้สูง และน่าจะทำได้ง่ายกว่าการทำปั๊มน้ำมันหลายเท่า
เทคโนโลยี Hybrid ธรรมดา สำหรับผม (และน่าจะอีกหลายๆคน) ยังไม่น่าดึงดูด เพราะอาจจะประหยัดน้ำมันจริง แต่ด้วยราคาค่าตัวที่แพงกว่า เอาเข้าจริงแล้วมันแทบไม่ได้ช่วยให้เราประหยัดเงินมากขึ้นเลย ในประเทศที่พัฒนาแล้วคนนิยมใช้รถ Hybrid กันเยอะเพราะรัฐมีการสร้างแรงจูงใจทางภาษี (เพราะประเทศเหล่านั้นถูกกดดันให้ต้องลดการปล่อย CO2) ส่วนเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ผมว่าน่าสนใจกว่าเพราะมันไม่ใช่เป็นแค่รถ แต่มันคือแบตฯสำรองก้อนใหญ่ที่ใช้ในบ้านได้ในยามฉุกเฉิน (ที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศนี้) และหากเราไม่ได้เดินทางไกล เราก็ไม่ต้องใช้น้ำมันเลยซักหยดเดียว
ผมมองเรื่อง Hybrid ค่อนข้างจะแตกต่างออกไป ถึงสาเหตุที่มันไม่เป็นที่นิยมในบ้านเรานัก
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อต่างประเทศที่สหรัฐอเมริกา ในเมืองใหญ่ๆ คุณจะเห็น Prius เต็มไปหมด เพราะสาเหตุเดียวเลยครับ คือตัวเลือกด้านพลังงานนั้นมีแค่น้ำมันเบนซินเป็นหลัก (นับรวมโซฮอล์ด้วยนะครับ เพราะเกือบทุกมลรัฐ ในช่วงเวลาที่น้ำมันแพงขึ้น รัฐก็จะเพิ่มปริมาณของแอลกฮอล์กเข้าไปในน้ำมัน เพื่อช่วยพยุงราคาโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะแจ้งบนหัวจ่ายเลยครับ) ราคาของน้ำมันดีเซลในอเมริกานั้นสูงกว่าเบนซินเล็กน้อยก็จริง แต่ปั้มที่มีจำหน่ายดีเซลนั้นมีน้อยมาก ปั้ม LPG หรือ CNG นี่แทบจะไม่มีเลยครับ
ดังนั้นตัวเลือกเพียงอย่างเดียวในช่วงแรกคือ Hybrid แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือหลายคนที่ซื้อ Prius เพราะ Airbag ที่มีให้ถึง 11 ลูกในรถระดับ C-Segment เท่านั้น! ผมเองตอนอยู่โน่นก็ใช้ Prius II รุ่นปี 2011 ผมเติมน้ำมันแค่อาทิตย์ละ $10 ในขณะที่เพื่อนใช้ Ford Focus รุ่นเก่า อาทิตย์นึงเติมน้ำมันประมาณ $40 นอกจากนี้ส่วนต่างของราคา Prius กับ Corolla ที่อยู่ในระดับเดียวกัน มีการคำนวณกันว่า ถ้าใช้รถในระยะทางมากเท่าไหร่ ส่วนต่างที่จ่ายเพิ่มของ Prius สามารถคุ้มค่าได้ในระยะเวลาแค่ 3 ปีเท่านั้น!!
สำหรับในประเทศเรานั้น ทางเลือกด้านพลังงานมีทั้งดีเซล และ LPG ที่ราคาต่ำกว่า รวมไปถึง CNG ที่ทางภาครัฐสนับสนุนซึ่งเป็นเรื่องที่ดี อย่างนึงที่ภาครัฐไม่ได้คำนึงถึงคือระบบการขนส่งก๊าซในต่างประเทศ มีการวางระบบเป็นท่อส่งไปตามบ้าน แล้วก็คิดราคาตามปริมาณที่ใช้ กลับบ้านก็เสียบเข้ากับรถ NGV ตื่นเช้ามาก็ขับไปทำงานได้ แต่บ้านเราก็ยังขึ้นกับการขนส่งทาง "รถ" อยู่ แล้วตัวเลือกที่ราคาแพงอย่าง Hybrid มันจะเกิดไหมละครับ
สำหรับประเด็นเรื่องการไฟฟ้าที่ท่านเห็นว่า ไม่น่ามีปัญหา ผมย้ำอีกครั้งนะครับ "กำลังการผลิตในประเทศ" ณ ปัจจุปัน ไม่สามารถรองรับ "ความต้องการระดับสูงสุด" หรือศัพท์ด้านไฟฟ้าที่เรียกว่า "Peak Load" ได้แล้วนะครับ แต่ "กำลังการผลิตโดยรวม" ยังห่างจากความต้องการสูงสุดในระดับที่ยอมรับได้
แล้วทำไมผมถึงว่ามันมีปัญหาละ? ไอ้เจ้า "Peak Load" ที่ผมว่า คือการใช้เวลาสูงสุดในช่วงเวลา "เป็นวินาที" นะครับ ถ้าเกิดวันดีคืนดี สายส่งแรงสูงที่ได้รับไฟฟ้าจากต่างประเทศเกิดมีปัญหาขึ้นมา ประจวบกับ Peak Load ดันสูงสุดพอดี อาการ Black out ก็จะเกิดขึ้นครับ และขอบอกนะครับว่าเมื่อ Black out แล้ว เอาขึ้นกลับมาก็ยาก
แล้วมันเกี่ยวกับการชาร์จไฟในรถยนต์ Plug in ยังไง ในการชาร์จแบตเตอรี่รถ Plug in จะใช้วิธีการคล้ายๆ กับการชาร์จโทรศัพท์ซึ่งใช้แบตเตอรี่ประเภทเดียวกัน นั่นคือในช่วงไฟเหลือน้อย จะดึงกระแสค่อนข้างสูงเพื่อชาร์จในแบตเตอรี่อยู่ในระดับประมาณ 70-80% ของความจุสูงสุด แล้วจึงค่อยๆ ลดกระแสในการชาร์จลงเมื่ออยู่ในช่วง 80%-100% ลองคิดนะครับ ว่าถ้าแพร่หลายขึ้นมา มีรถเสียบชาร์จสัก 1,000 คัน แล้วเกิด Peak Load ที่มันสูงในเวลาเดียวกัน พอดีกับที่สายส่งจากต่างประเทศมีปัญหา อะไรจะเกิดขึ้น?
จริงอยู่ครับ กฟผ. คงไม่ยอมให้เกิด Black out ขึ้นได้ง่ายๆ หรอก แต่จำได้ไหมครับเมื่อหลายปีก่อนที่เกิดการ Black out ในภาคใต้ขึ้นมา กว่าจะจ่ายกระแสไฟได้ตามปรกติ ใช้เวลานานเท่าไหร่?