(รูปประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล)
11 พ.ค.58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (10 พ.ค.) ที่โรงแรมเอทัส ลุมพินี ถนนพระราม 4 ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.)
มูลนิธินโยบายปลอดภัยทางถนนมูลนิธิเมาไม่ขับ จัดเสวนา "เมา + ขับ = ฆาตกร : บทเรียนกรณีเมาแล้วขับชนจักรยานสามศพ"
โดย นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน กล่าวถึงช่องว่างทางสังคม ว่าประเทศไทยยังมีช่องว่างอยู่มากในเรื่องอุบัติเหตุ
เพราะคนไทย 1 ใน 4 ยังเชื่อว่า อุบัติเหตุเป็นคราวเคราะห์ ดังนั้น ถึงเวลาแล้วกับการใช้ยาแรง เนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมดื้อยา
คนเมาดื้อด้านกลายเป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของสังคม ถ้ายังไม่มีการจัดการที่แท้จริง หรือใช้ยาแรงกว่านี้ ปัญหาจะสะสมต่อไปเรื่อยๆ
ทั้งนี้ ข้อมูลจากในมรณะบัตรยังบันทึกชัดเจนว่า ทุกวันนี้มีคนตายที่เกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถวันละ 8 คน
ไม่นับรวมเหยื่อที่ถูกคนเมาชนตายในช่วงเทศกาลอย่างสงกรานต์ที่ผ่านมา
สาเหตุหลักๆ ของการเกิดอุบัติเหตุรุนแรง ร้อยละ 39.31 คือเมาแล้วขับ ทำให้ตายถึงร้อยละ 24%
นพ.ธนะพงศ์ กล่าวต่อว่า ถ้าจะแก้ปัญหานี้ให้ได้ ต้องล้างทัศนคติที่ว่าการดื่มแล้วขับเป็นเรื่องปกติ
และควรหยุดการดื่มสังสรรค์ในแบบตระเวนไปหลายๆ ร้าน หากจะดื่มต้องให้คนที่ไปด้วยและไม่ได้ดื่มขับรถแทน
เมื่อเกิดคดีขึ้นควรบันทึกข้อมูลความผิดซ้ำ เพราะจะเป็นข้อมูลที่สำคัญมากในการเพิ่มโทษตามลำดับขั้นความผิด
ด้านการตัดสินในชั้นศาลส่วนใหญ่มักจะจบที่คำว่าประมาท และต้องเปลี่ยนเป็นเรื่องของเจตนากระทำผิด
จะเห็นได้ว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น อเมริกา เกาหลี สิงคโปร์ จะตัดสินคนเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตด้วยการจำคุก
อย่างไรก็ตาม นพ.ธนะพงศ์ กล่าวถึงข้อเสนอแนะที่อยากให้เกิดขึ้นว่า อยากให้ศาลพิจารณาลงโทษให้หนัก
กรณีเมาแล้วขับ ชนคนตาย ด้วยโทษสูงสุดคือจำคุก 10 ปี และกรณีเมาแล้วขับแต่ไม่เกิดอุบัติเหตุ
พิจารณาให้เป็นกักขังแทนรอลงอาญา สั่งสืบเสาะผู้กระทำความผิด เพื่อตรวจสอบประวัติการกระทำความผิดซ้ำและเพิ่มโทษ
กรณีตรวจพบแอลกอฮอล์ 100% ต้องเพิ่มโทษปรับมากขึ้น และส่งคุมประพฤติทุกราย รวมทั้งขอให้มีการเผยแพร่คำพิพากษาคดีเมาแล้วขับชนคนตาย
เพื่อให้จำเลยและสังคมตระหนักว่า เมาแล้วขับเป็นพฤติกรรมที่อันตราย ส่งผลให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และไม่ใช่แค่เรื่องความประมาท
นอกจากนี้ ควรตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์หลังสถานบันเทิงปิด มีการออกกฎหมายและบังคับใช้จริง
สร้างเลนส์สำหรับจักรยาน และต้องขอความอนุเคาระห์รถปิดท้ายขบวนจากตำรวจจราจร
กำหนดทุกกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรุนแรงต้องมีการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ทุกราย
และรัฐบาลเองก็ต้องสนับสนุนเครื่องตรวจเมา และค่าใช้จ่ายในการสอบเทียบ เครื่องให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ให้เพียงพออย่างน้อย 2 เครื่องต่อสถานีตำรวจภูธร ไม่ใช่มีเพียง 1 เครื่องต่อสถานีอย่างทุกวันนี้
ที่มา
http://www.naewna.com ครับ