ผมไม่มีรถที่ Perfect ในทุกด้าน มีแต่รถที่เราใช้แล้วรู้สึกว่ามันมีจุดที่ผมชอบ และถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผล
มันก็จะเป็นในเรื่องของความผูกพันธ์ ซึ่งไม่สามารถใช้เหตุผลในการสนับสนุนได้ ..คำว่า Perfect
แปลว่าไร้ที่ติ และนิสัยของผมมันทำให้ผมต้องหาจุดติรถให้เจอให้ได้เสมอ ดังนั้นจึงไม่มีคำว่า Perfect
มีแต่ Perfectly-fit คือลงตัวกับเรา..แต่ไม่ใช่ว่าไร้ที่ติ
อย่างคันนี้ เป็นรถคันแรกที่อยู่ใต้ความดูแลของผมโดยพ่อผมมอบต่อมาให้ รถเป็นรถฑูตสวมป้ายฟ้า อ02-0151
พ่อเอามาในปี 1989 รถมาถึงเมืองไทยเดือนธันวาคมปี 89 วันขึ้นทะเบียนป้ายคือ 19 ธันวาคม 1989
รถคันนี้กลายเป็นแม่พิมพ์ในการสร้างประสบการณ์ด้านรถยนต์ให้กับผมหลายอย่าง เช่นเรื่องช่วงล่างซึ่ง
รถหนัก 1.37 ตันคันนี้สามารถทรงตัวได้ดีแม้ใช้ความเร็วสูงๆ W124 ที่ใช้ 6 สูบแค็มเดี่ยวให้เสียงที่เพราะ
พอประมาณ แรงพอประมาณ และน้ำหนักตกหน้าก็จะเบากว่าพวก 6 เรียงทวินแค็มใหม่ๆอยู่ 60 ก.ก.
ดูในรูป กระจกมุมขวาบน จะเห็นสติกเกอร์พันทิพโต๊ะรัชดา ใช่เลย ผมเล่นเว็บรถครั้งแรกก็ตอนใช้คันนี้อยู่
สิงสู่อยู่รัชดาในชื่อ V.Putin ตั้งแต่ยุคที่ยังมีมีตติ้งพวกชาวรัชดา มีสมาชิกอย่างคุณ Azzy อัศวิน อานามนารถ
ที่ตอนนี้เล่นกับงานออกแบบรถจนประสบความสำเร็จไปแล้ว, มีคุณ Junky Celica, คุณ noklek ขับ NV
คุณ n_nupy สุดสวย, คุณ pk126 ที่ตอบเรื่องเบนซ์สั้นๆห้วนๆแต่ก็กลายมาเป็นเพื่อนกัน, คุณเสือย้อย
, คุณ hiter, คุณ Pom_Gambino, พี่เอ้อ และอื่นๆอีกหลายคนในยุคที่พันทิพยังทะเลาะกันน้อยกว่า
บอร์ดเว็บเราตอนนี้เสียอีก
นอกเรื่องแล้ววุ้ย
พ่อให้ผมใช้คันนี้เพราะสมัยนักศึกษาผมเรียนที่ MUIC แล้วพ่อมองว่าที่นั่นมีแต่ลูกคนรวย เขาก็อยากให้ใช้
รถที่ขับไปเรียนแล้วไม่ฟู่ฟ่าเกินแต่ก็ไม่น้อยหน้าใคร ดังนั้นถ้าความผูกพันธ์มันวัดตามกิโล W124 คันนี้คือ
รถที่ผมผูกพันธ์มากที่สุด เพราะขับไปกว่า 200,000 กิโลเมตรในรถคันนี้ คันอื่นๆที่ตามมายังไม่มีใครเทียบ
รถช่วงล่างดี ขับทางไกลไม่เหนื่อย แต่ขับบนเขาจะไม่สนุกเลยเพราะเกียร์มันโง่ตามเทคโนโลยี ต้องเล่น
เกียร์ช่วยประจำ จีบสาวมหาลัยคนแรกก็พานั่งรถคันนี้ อุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งแรกก็รถคันนี้ แถมยังไปทำ
อะไรเกรียนๆไว้ที่มหาลัยเยอะมาก เอาไปซิ่ง ไปดริฟท์เล่นจนเกือบมิดหน้าหอพยาบาล เดือดร้อนจน
ทางมหาลัยต้องทำลูกระนาดเพิ่ม 3-4 เท่าตัว (ดังนั้นเวลาพวกคุณรุมด่าพวกนักซิ่งเกรียนๆ บางทีผมก็ไม่อยาก
ไปผสมวงด่าด้วย เพราะด่าแล้วก็เข้าตัว) เมาแล้วขับครั้งแรกก็รถคันนี้ ตั้งแต่วันก่อนเข้าเรียน ผมไปเมากับเพื่อน
ที่ RCA แล้วขับรถกลับมานอนคอนโดธูป 3 ดอกที่ท้ายมหาลัย ไม่มีใครท้วงเลยแต่ผมอัด 220-230 ตลอดทาง
และเกือบหลุดโค้งด้วย นั่นคือจุดที่ทำให้ผมเลิกขับเวลาเมาอย่างเด็ดขาด
รถคันนี้หลายอย่างรื้อง่ายมาก (ยกเว้นตู้แอร์ที่ผมไม่ขอยุ่ง) สายไมล์เสื่อม เข็มความเร็วกระตุก ก็เปลี่ยนเองที่บ้านได้
หลอดไฟดวงไหนขาด เปิดเปลี่ยนได้เองเกือบทุกหลอด ไม่ต้องมานั่งถอดแง้มกันชนเพื่อเปลี่ยนหลอดไฟแบบ
รถสมัยนี้ ตั้งไฟหน้าเอง เปลี่ยนนู่นนี่เอง ..คือวันที่รถมาอยู่กับผมมันก็อายุ 11 ปีแล้ว สิ่งต่างๆก็จะพัง บางทีวิ่งๆไป
ก็ดับเองเฉยเลย บางช่วงเจอบ่อยมากจนไม่กลัวรถดับ (ผมถึงกล้าเขียนในบทความเรื่องคันเร่งว่า คันเร่งค้างอย่าดับเครื่อง)
บางทีจู่ๆสตาร์ท ก็ไม่ติด ปรากฏว่าเป็นรูกุญแจเสื่อม บางทีแอร์เย็นบ้างไม่เย็นบ้าง ..แต่บางปัญหาก็ทำให้รู้ข้อดีของมัน
คือเคยเป็นรถขับนำขบวนรับน้องตอนปี 3 แล้วระหว่างทางพัดลมไฟฟ้าเกิดเสีย ทำให้ผมรู้ว่าเครื่องขับหลังมีพัดลมเครื่อง
แบบโบราณมันมีดียังไง ต่อให้พัดลมไฟฟ้าสองตัวเสียไป แต่พัดลมเครื่องยังอยู่ มันก็พอให้ผมสามารถวิ่งไปถึงปากช่อง
และกลับมากรุงเทพได้ เปิดแอร์วิ่งได้ ความร้อนไม่ขึ้น มีแค่ตอนรถติดอยู่กับที่เท่านั้นแหละที่ต้องปิดแอร์หรือดับเครื่อง
นอกจากนี้โรคชอบภายในสีครีมของผม มันก็มาจากรถคันนี้ด้วยส่วนหนึ่ง พอผมเกิดมาบนโลก รถคันแรกที่นั่งกลับบ้าน
ก็คือ 300D W123 ภายในสีครีม คันต่อมาก็ 190E ที่เป็นรถฑูตพวงมาลัยขวาล็อตแรกๆ ภายในสีครีม คัน W124
นี่ก็สีครีมอีก ผมเลยชอบรถที่ภายในโทนแบบนี้ ตั้งแต่เล็กจนแก่ สีภายในที่ผมชอบที่สุดคือ แดชบอร์ดดำ พวงมาลัยดำ
แดชบอร์ดล่างกับเบาะสีครีม ลายไม้Zebranoหรือ Walnut ที่เป็นสีน้ำตาลออกเข้ม ดังนั้นอย่าแปลกใจที่ทุกวันนี้
เห็นรถใหม่ๆภายในดำๆแซมสีเงินหรือคาร์บอนปลอมแล้วผมจะออกอาการเบื่อ
ท้ายสุด ..ตอนนั้นผมทำงานแบงก์ เงินเดือนหมื่นห้าครับ
ไม่พอยาไส้ นับประสาอะไรกับการดูแลรถสองคัน ปัญหาในรถเบนซ์มันเริ่มพอกพูนตามอายุรถ
ค่าน้ำมันก็ไม่พอ เพราะ 6 สูบ KE-Jet นี่มันเจ๊ดสมชื่อ วิ่งในเมืองเจอ 6 โลลิตรได้เป็นปกติ
ทางไกลวิ่ง 120-130 เห็นแต่เลข 8 กับ 9 ผมเลยต้องเลือกว่าจะขายคันไหนไปสักคัน
ระหว่างเบนซ์กับรถสองประตูตาเหล่ขึ้นสนิมอีกคัน
กลายเป็นว่าไอ่เบื๊อกข้างบนนี่แหละครับได้อยู่ต่อ ผมขายเบนซ์ไปเดือน พ.ค. 2008
ได้เงินมา 250,000 บาท ก็เก็บเอาไว้ก่อน ช่วงนั้นผมก็หารถมาแทนที่เบนซ์ไป แต่ก็ใช้ NX สีน้ำเงินนั้น
ไปพลาง
ไอ้คันน้ำเงินนี่ ผมไม่มีอะไรจะชมมันจริงๆนอกจากแค่ว่ามันเป็นเกียร์ธรรมดา ทำให้ขับสนุก รถคันนี้พ่อซื้อให้คุณแม่
เป็นของขวัญวาเลนไทน์และของขวัญวันเกิด เพราะแม่เกิดหลังวาเลนไทน์ 2 วัน ซื้อมาก็ปี 1992 จดทะเบียนได้ป้ายขาว
วันที่ 4 มีนาคม 1992 ตอนแรกมาเป็นสีน้ำเงินไมก้าม่วงๆ สีเหมือนกับ Civic EG ที่ขายปีนั้นมาก ตอนแรกได้รถมา
ผมเห่อมาก ขึ้นไปนอนเล่นในรถจนลมแดดจับเป็นไข้ เปิดนู่นเปิดนี่เล่น ชอบดูหน้าปัดดิจิตอลของมัน ชีวิตในวัยเด็ก
ของผมจะอยู่กับมันมากกว่าเบนซ์ เพราะเบนซ์นั้นพ่อใช้ ส่วนแม่จะขับ NX ผมเรียนประถมที่สวนสุนันทา แม่ก็เป็นอาจารย์
อยู่ที่นั่นก็เลยไปและกลับกับแม่ประจำ แต่ตอนหลังๆแม่ชอบพาเพื่อนกลับบ้าน ทำให้ผมต้องไปนั่งหลัง..ซึ่งนรกมาก
ผมเลยยื่นคำขาดว่าถ้าจะใช้รถคันนี้ต่อ ห้ามพาเพื่อนกลับบ้าน พ่อเลยซื้อ Vento ให้แม่ไป ส่วน NX นั้นก็ส่งไปให้พี่สาวผม
ซึ่งเป็นแพทย์จุฬาจบปี 2539 ไปใช้ ไอ้หมอถูกส่งไปเป็นรอง ผอ. ที่โรงพยาบาลในอยุธยาบ้าง ที่อ.สามโก้ บ้าง
พ่อก็ให้ NX เกียร์ธรรมดานี่แหละไปใช้ จนยนตรกิจออกแคมเปญผ่อน 5 ปีดอก 0% ให้กับ Vento ในปี 97
พ่อเลยออก Vento อีกคันให้พี่สาว ส่วน NX จอดตากแดดกับกองซากต้นไม้ที่สนามหน้าบ้านเลยครับ ไม่มีใครอยากขับมัน
พ่อก็มีทั้งเบนซ์กับ Land Cruiser VX80 แล้ว ส่วนแม่เขาก็มี Vento อยู่แล้ว ไอ้เจ้านี่จอดเหมือนคนรอวันตาย หลังคาปูด
ฝาท้ายสนิมกิน บางครั้งจอดจนยางฟีบเลยก็มี
พอผมได้ใบขับขี่ แม่ยอมให้ขับรถได้ ผมขับเบนซ์อยู่สักพัก ก็มองๆไอ้เจ้านี่แล้วสงสาร เลยลองสตาร์ทแล้วหัดขับ
ช่วงแรกดับเกือบตลอด แต่ไม่กี่วันก็ชิน พอผมลากรอบได้ กะจังหวะคลัตช์และสับเกียร์เป็น ผมงี้แทบทิ้งเบนซ์เลยครับ
เพราะเบนซ์มันหนักแน่น นิ่ง แต่มันไม่สนุก ไอ้นี่ตีนต้นออกไวกว่า ช่วงล่างมันลอยๆ ต้องฝึกคุมมัน ผมเริ่มออมเงิน
สมัยเรียนนี่ยังไม่รับจ๊อบอะไรนะ พ่อให้ค่าน้ำมันเดือนละ 3,500 แม่ให้ค่าอาหารเดือนละ 3,000 มันก็จะออมอะไรไม่ได้มาก
ของแต่งชิ้นแรกที่ซื้อคือกรอง K&N จากนั้นก็เริ่มไปทำเฮดเดอร์ ทำท่อกับพี่ยงวัดด่าน พอเอาไปวิ่ง 188 แล้วหน้าทิ่ม
ก็มาคุยกับเพื่อน ซึ่งก็คือไอ้จอร์จที่ทำอู่ Gettuned อยู่ทุกวันนี้ ว่าจะทำยังไงบ้าง ไอ้จอร์จไปศึกษาเรื่อง Wiring มา
แล้วก็ถอด Apexi RSM รุ่นปุ่มกลมจากรถพี่ชายมัน แอบเอามาใส่ NX ผม แล้วเราก็วิ่งไปบนโทลล์เวย์ ทำความเร็วได้
204 ก.ม./ช.ม. แล้วก็นั่งวี๊ดว๊ายดีใจกันสองคนอยู่บนรถ รู้สึกเหมือนปีนเขาเอเวอเรสต์สำเร็จ นี่คือความเกรียนของผม
เมื่อ 13 ปีก่อน
ปี 2004 เดือนกันยาผมวางเครื่องใหม่ แต่ด้วยความที่ยังเป็นนักศึกษา และพ่อให้ทุนในการวาง ผมเลยไม่เอาเทอร์โบ
วางเป็น SR20DE ธรรมดา ตอนแรกพ่อก็บ่นว่าจะไปวางมันทำไมให้เสีย 4-5 หมื่นบาท ผมก็ตัดพ้อพ่อไปว่า
ที่พี่สาวผมอยู่เฉยๆได้รถป้ายแดง 2 คัน (Vento และ Civic) แล้วทำไมแค่วางเครื่องรถผม 4-5 หมื่นถึงมีปัญหาจัง
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่พูดแบบนั้น แต่พ่อกลับคิดว่าผมพูดถูก และปล่อยเงินมาให้วาง ผมรู้สึกผิด
แต่เพิ่งมาได้โอกาสขอโทษพ่อตอนปี 2008 ..รู้สึกเสียใจเหมือนกัน แต่พอวางเครื่องเสร็จ ผมเอามาให้พ่อขับ
ปรากฎว่าพ่อชอบมาก เบิ้ลๆเครื่องเล่น เอาไปขับเล่นในบางที พ่อบอกว่าเวลาตบคันเร่งแล้วมันทันใจดี NX เลยได้
อยู่ และอยู่จนกระทั่งเบนซ์ถูกขายไป ผมก็ใช้มันขับไปทำงานอยู่พักใหญ่ๆจนได้ Tiida มา
์NX นี่เป็นตัวอย่างของรถที่ผมผูกพันธ์ แต่ไม่มีเหตุผลดีๆในการผูกพันธ์มากไปกว่าความรู้สึก..ช่วงล่างเหรอ
ผมขับ EG 3 Door มาแล้ว ยังไง Honda ก็เกาะกว่าครับ ฟีลลิ่งพวงมาลัย Honda ก็ไวถนัดมือกว่า
ถ้ารุ่นน้องยุคใหม่ๆมา เวลาจะเล่น NX ผมจะถามก่อนว่าแน่ใจนะ ของแต่งน้อยมาก หายากชิบหาย แพงด้วย
มันถูกแค่ราคารถกับค่าช่วงล่าง ถ้างบมีพอเล่น Honda ดีกว่า ผมก็ยังยืนยันแบบนั้นอยู่ แต่ที่เล่น NX นี่
เพราะขายมันไม่ลงครับ ยิ่งพอประเคนเงินแต่งมัน ทำเครื่องมัน ลงไปน่าจะแสนกว่าๆแล้วตอนนี้แล้วพอมารู้ว่า
รถตัวเองขายได้แค่ 7-8หมื่นบาท มันช้ำใจครับ ผมเลยเก็บไว้ ไม่ขายต่อ เก็บจนกว่ามันจะวิ่งไม่ได้
ผมค่อยผ่าตัวถัง เอาอะไหล่แจกจ่ายให้กับคนอื่นที่ยังต้องขับ NX ต่อไป
ทุกวันนี้ ประเก็นมันแล่บอยู่ ผมรอช่างประจำตัวว่างตั้งแต่เดือนเมษาแล้วตอนนี้ยังไม่ได้ทำ ไม่ใช่ว่าช่างเขาลีลา
แต่ผมบอกว่าไม่รีบ ผมให้คิวคนอื่นที่ต้องทำรถไปแข่งจริงๆจังเขาได้ไปก่อน เดี๋ยวก็คงได้ทำ
คลัตช์ตอนนี้เป็นทองแดง ขับยากๆ โดดๆ ช่วงล่างแข็งๆดีดๆ พวงมาลัยมีระยะฟรี และไม่ไวนัก
เวลาวิ่ง 210 น่ากลัวเยี่ยวแตกยิ่งกว่าขับ AMG GT ที่ 270 แต่ผมตั้งใจทำให้ทุกอย่างมันดูยากๆ
เข้าใจยากๆแบบนั้น ผมมีรถสักคันไว้คอยเตือนให้รู้จักความยากของการขับรถด้วยฝีมือมากกว่าระบบอิเล็กทรอนิกส์
เวลาผมอยากขับรถเล่นกลางคืน ผมไม่ขับคันอื่นนอกจาก NX นี่ล่ะ ผมตั้งใจทำให้เสียงท่อตอนกดเงียบ
และเสียงเครื่องดังกว่าท่อ ขับชิดกำแพงทางด่วนแล้วกดคันเร่งฟังเสียงเครื่องเล่นๆ แต่พอยุคนี้รถซิ่งถูกมอง
ว่าเป็นศัตรูสังคม ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจอดมันไว้บ้าน เครื่องก็พังอยู่แล้ว แกก็พักไปละกันวะไอ่เบื๊อก
สำหรับคำถามว่ารถคันไหนที่ซื้อมาแล้วที่บ้านบ่นมากที่สุด ก็คงเป็น Legacy Turbo คันนี้
ที่บ่น ไม่ใช่ว่ารถแย่ ผมพาทั้งพ่อทั้งแม่นั่ง ทุกคนชอบมันมากกว่า NX ทั้งนั้นเพราะภายในนั่งสบายน้อยกว่าเบนซ์ไม่มาก
ช่วงล่าง STi กระบอกแดงจาก GC พอมาใส่ BC5 คันนี้มันก็ไม่แข็งมากนัก แต่ที่พ่อกับแม่บ่นกันเพราะวันที่ซื้อมา
เดือนมิ.ย. 2010 นั้น ผมมี Tiida กับ NX อยู่แล้ว เลยโดนด่าว่าจะมีรถไปทำไมตั้ง 3 คัน และโดนบังคับให้ขาย
1 คันออกไป ผมก็ดื้อตาใสใช้มันอยู่ 19 เดือนจนขายออกไปให้คุณโจ้สุรชัย เพื่อนของเพื่อนในกลุ่ม Old Legacy
รถคันนี้สอนให้ผมรู้ว่า อย่าเหมารวมว่ารถญี่ปุ่นจะใช้สบายใช้ง่ายซ่อมถูกไปหมดเพราะถ้านับเวลาในการอยู่อู่ในระยะ 1 ปี
มันเข้าอู่บ่อยกว่าเบนซ์สมัยผมเรียนอีก และกินเงินค่าซ่อมไม่แพ้กันเลย รถคันนี้เป็นรถมือสอง สายไฟหลายจุดเสื่อม
ทำให้รถมีอาการผีเข้าผีออก บางทีกดคันเร่งแล้วถอนรถก็ดับเอง ไปเจอว่าสายไฟแถวหม้อน้ำมันเปื่อยและไปแตะกับตัวถัง
ทำให้ฟิวส์ขาด หรือบางทีวิ่งๆอยู่ ท่อน้ำใต้อินเตอร์รั่ว หรือบางทีรั่วจากท่อเหล็กที่เป็นสนิมกับตามด ผมอยู่กับมัน 19 เดือน
แต่เจอกับปัญหาน้ำรั่วแล้วโอเวอร์ฮีท 2 ครั้ง ซึ่งนับว่าบ่อยกว่าทุกคันที่เคยใช้มา สายไฟ Subaru ยังไม่ได้เป็นมิตร
แบบพวกสายไฟ Toyota/Nissan นะครับ รื้อออกมาทียังกับ moy+ผีเสื้อสมุทร จนป่านนี้เจ้าของคนใหม่ทำยังไม่จบเลยครับ
แต่ถ้าไม่นับเรื่องที่มันเสียบ่อยๆ ก็โอเค ผมรู้สึกชอบรถคันนี้เวลาซัดหนักๆแล้วมั่นใจดี ขนาดใส่ยาง Dunlop LM703
ยังขับได้มั่นใจระดับหนึ่ง พอเปลี่ยนเป็น Advan AD07 นี่ยิ่งทำอะไรห่ามๆได้สบายมาก วิ่งทางไกลความเร็วสูงๆ
บอกได้เลยว่านิ่งกว่าเบนซ์ เข้าโค้งออกโค้งก็คมและไว้ใจได้กว่า NX พวงมาลัยก็ไวในระดับที่เกือบดี วิ่งไฮเวย์เจ๋ง
วิ่งทางโค้งก็เจ๋ง ยิ่งพอใส่บุชประกบแร็คยูรีเธน ยิ่งถ่ายความรู้สึกมาถึงมือได้ดีมาก การเป็นรถเกียร์ธรรมดาก็ถือว่าถูกจริตผมมาก
มันเป็นรถที่ทำให้ผมรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วเป็นคนชอบรถขับสี่เกียร์ธรรมดามีโบแบบนี้แหละ
เสียดายส่วนหนึ่งที่รถคันนี้มันมาตอนที่ผมคิดว่าตัวเองรวยแล้ว แต่ยังดันไม่รวยจริง กล่าวคือมีเงินเดือน 24,000-28,000 บาท
แต่อยากได้รถซิ่งขับสี่ ไปเห็น Legacy คันนี้ขายอยู่ 230,000 เลยไปต่อเหลือ 210,000 กู้สินเชื่อของธนาคารมา 190,000
แล้วที่เหลือก็เอาเงินเก็บโปะเอา พอได้รถมาก็ซื้อล้อก้าน V ทำท่อ ติดมิเตอร์ เปลี่ยนจากเกียร์ 3.9 เป็น 4.44 แค่นี้เงินเก็บก็หมดลง
ประกอบกับช่วงที่ได้มานั้นเป็นช่วงที่ NX ทำฝาสูบกับแคมใหม่ใส่กล่องเสร็จพอดี ผมแก้ปัญหาสภาพคล่องด้วยการใช้บัตร
กดเงินสดกับสินเชื่อต่างๆเข้าสู้
ท้ายสุด แม่ผมประกาศจะสร้างบ้านอีกหลังบนที่ดินข้างหลังบ้านเดิม ผมขัดขืนไม่ได้ จึงต้องเอารถมาจอดนอกบ้าน
แล้วก็มาเจอกับช่วงน้ำท่วม 2011 ที่ทำความเสียหายไว้กับบ้านผมมาก (Legacy รอดเพราะน้องเขยเอาไปจอดให้ที่ Lotus พระราม4)
พอผ่านน้ำท่วมเสร็จ ผมไม่มีอะไรเลยนอกจากหนี้สิน บ้านใหม่ที่สร้างก็มีแต่ห้องเปล่าๆ ไม่มีอย่างอื่นเลย ผมจึงตัดใจขายมันไป
ซื้อรถมา 210,000 และลงเงินทั้งซ่อมทั้งทำไปจนน่าจะมีราว 260,000 แต่ตอนขาย ผมขายได้แค่ 185,000 บาท
และถ้าไม่ขายชีวิตผมก็เดี้ยงแน่ๆ ก็เลยขายไป และภาระหนี้นับจากวันนั้นยังเป็นลูกโซ่มาถึงตอนนี้ ผมนั่งผ่อนกรรมเก่าอยู่
เดือนละ 15,000 บาททุกเดือนซึ่งน่าจะใช้หมดภายในปีหน้า
ถือว่าซวยด้วยตัวเองล้วนๆ แต่มันก็ทำให้ผมมีข้อคิดในใจ เวลาเจอพวกน้องๆปรึกษาเรื่องแต่งรถ ทำรถ ผมจะให้ความสำคัญ
กับการไม่เป็นหนี้เอามากๆ เพราะเจ็บด้วยตัวเองมาแล้ว
วันนี้เล่ายาว ต้องขอบคุณที่ตั้งกระทู้มาก
ผมเครียดหลายเรื่อง ไม่รู้จะระบายยังไง ก็เลยร่ายเพลินไปหน่อย ถ้ากินที่คนอื่นก็ขอโทษแล้วกันครับ แต่นั่งตอบคำถาม
ในเพจทุกวันมา 8 เดือนเจอแต่คำถามเดิมๆเรื่องเดิมๆเลยรู้สึกเก็บกด อยากพูดถึงสิ่งอื่นอย่างอื่นบ้าง