ไม่ได้เข้ามาเสียนานเลย....
อาจจะ ไม่ใช่รถที่ดีที่สุดในความคิดของคนอืน หรือแม้กระทั้ง รถยี่ห้อนี้ อาจจะเป็นรถที่ใครได้ยินชื่อแล้วก็ หยี กันทุกคนแน่ๆ เลยครับ แต่สำหรับผมแล้ว....
คันนี้ ดีที่สุดแล้วครับ
เหตุผล
งานประกอบเทียบกับความใส่ใจในการผลิต....ดีกว่ารถปัจจุบันแบบชัดเจนมาก ถึงแม้จะมีอายุมากใกล้จะเท่าเจ้าของอยู่แล้ว เป็นน้องกันแค่ 2 ปีเท่านั้นเอง
บ้านผม ไม่เคยมีรถเก๋ง มาก่อนเลย ฉนั้น การจะซื้อมาแล้วได้ฟิลการนั่งแบบรถเก๋งจริงๆ นั้น....หายากครับ.....เพราะรถสมัยนี้ ให้ตายยังไง นั่งหลังก็อึดอัดครับ เพราะที่นั่ง ไม่ได้เป็น Theater Seat และไม่กว้าง หรือถ้าจะเป็นรถที่กว้าง ก็จะไม่ยาว Leg room มีไม่เยอะพอ......เบาะรถสมัยนี้โดยเฉพาะเจ้าตลาด....เบาะบางมากครับ นั่งแล้วมันไม่รู้สึกหนานุ่มครับ.......ไม่ชอบเลย
รถเก๋ง ที่ทำขึ้นมากันในยุคนี้ มีดีไซน์ ที่ส่วนใหญ่มันไปในทางเดียวกันหมด.....มันทรงคล้ายๆ กันไปหมด...ไม่รู้ทำไม.....ไม่เช้าใจเลย....ที่สำคัญ รถสมัยนี้ ไม่มีแบบที่เป็นกระจกรอบคันด้วยครับ และ รถเก๋ง ในสมัยนี้ เกือบทุกยี่ห้อ ต้องแย่งกันนั่งหน้า เพื่อให้สบายกว่าคนนั่งหลัง...แต่ถ้าเป็นคันนี้ ต้องแย่งกนนั่งหลังครับ...หลังสบายกว่าหน้า มากแบบชัดเจนมาก....
Aerodynamic ของรถ ที่ไม่ได้มค่า CD ที่ต่ำจะเหลือเชื่อ....แต่ เป็นรถที่ยิ่งวิ่งเร็วขึ้นเท่าไหร่....ยิ่งรู้สึกรถไหลลื่นอาการ และวิ่งไปข้างหน้าต่อได้เหมือนกับเขากำลังแหหวกอากาศไป ไม่ใช่รถที่ต้านอากาศ กล่าวอีกอย่างคือ รถใช้พลังวิ่งที่ความเร็วสูงน้อยลง ทำให้รถคันใหญ่ระดับ Camry แต่ใช้เครื่องยนต์ที่ค่อยข้างโบราณ สามารถทะยานสู่ความเร็วระดับ 200 ได้โดยไม่นานมากนัก...และสามารถวิ่งไหลไปกับการจราจรในปัจจุบันได้อย่างไม่เหนื่อยแรงเครื่องเลยแม้แต่น้อย
ความไม่งก ของวัสดุที่ให้มา ถึงแม้ว่า Dealer ในประเทศไทยจะห่วยแตกไปเสียหน่อย แต่ก็......ประตูของรถ เป็นประตูที่มียางขอบประตู 2 ชั้น และมีเสียงปิดประตูที่แน่น ให้เสียงดีมาก ไม่หลวมโพรกเหมือนเจ้าจลาดในปีเดียวกัน....กระจกบ้านหน้าและหลังเปิดลงได้สุด ซึ่ง สมัยนี้น้อยคันมากที่จะเปิดกระจกด้านหลังลงได้สุด....เวลาขับไปรับลมไปเย็นสบาย และทิศทางลมที่วิ่งเข้าหาหน้าผู้โดยสารที่ความเร็วกว่า 100 กม ชม ไม่ทำให้ผมผู้โดยสารตอนหลังผิดทรงเลยแม้แต่นิดเดียว พรมเก็บเสียงและ ขอบประตูที่ออกแบบมาให้เก็บเสี่ยงได้เป็นอย่างดี แม้จะวิ่งที่ความเร็ว 140 แล้ว ก็ไม่รู้สึกเสียวหรือว่าอย่างไร มีเพียงเสียงลมเบาๆ ไหยผ่านตัวรถให้พอได้ยินบ้างเท่านั้น
ระบบไฟฟ้ารอบคัน ที่ทันสมัยพอสมควร และเชื่อถือได้ รวมถึงระบบเตือนต่างๆ ที่ทำงานได้สมตัวกับอายุของรถ......รถมีจอ Information เล็กๆ ที่บอกอาการผิดปกติของรถได้ เช่น Right Front Door Open , Bonnet Open, Tailgate Open, Warning Beake pressure, Engine oil level ซึ่งรถสมัยนี้หลายๆ คัน ยังบอกเป็นสัญลักษณ์ว่าประตูปิดไม่สนิท แต่บอกไม่ได้ว่าบานไหนที่ไม่สนิทกันแน่อยู่เลย ตรงนี้ล่ะ ทำให้ รถคันนี้ พิเศษ และผมชอบมากๆ ครับ นี่ยังไม่รวม Trip Computer ที่สามารถบอกได้ว่าน้ำมันในถังเหลือเท่าไหร่ และวิ่งได้อีกไกลแค่ไหน...มีเหมือนรถในสมัยนี้เลยไม่ผิด แต่คันที่ผมกำลังพูดถึง....มีมาแล้ว เมื่อราวๆ 25 ปีที่แล้วครับ OoO
เครื่องยนต์ 16 วาว 135 แรงม้า ดูไม่เยอะ แต่พอใช้งานได้ ประกอบกับเกียร์ออโต้ แบบ 4 จังหวะ ของ ZF รุ่น 4HP18 ทนทาน ซ่อมง่ายครับ
ระบบปรัชญา Avanguard ที่แบรนหรูได้ก๊อปไปเป็นของตัวเอง.....แท้ที่จริงแล้วมันมีอยู่ในรถคันนี้หมดแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 25 ปีที่แล้วโน่นน่ะครับ..
ช่วงล่างที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร สามารถซ่อมเองได้ อะไหล่เพียบ ไว้ใจได้ และเหมาะสมกับสภาพถนนที่ "ย้ำแย่" ของบ้านเราเป็นอย่างดี หลุมบ่อ โดดลงไปได้เลย....คอสะพาน เบรคทำไม....ลุยไปได้เลย ช่วงล่าง นิ่ง แน่น นุ่ม หนึบ และอาจจะโดนนิดๆ
Hydroneumatic Suspension อันลือชื่อของยี่ห้อนี้ ที่มีมาตั้งแต่ปี 1950 จนถึงปี 2015 ที่ผ่านมา ได้เลิกผลิตช่วงล่างแบบนี้แล้ว.....ทางบริษัทผู้ผลิตบอกว่าต้นทุนแพง....แต่ การเลิกผลิตนั้น ไม่ได้เลิกไปเสียทั้งหมด แต่ยังคงผลิตให้รถยนต์หรู ชื่อย่อ RR ซึ่งราคาก็เป็นที่ทราบกันอยู่.......รถคันที่ผมกำลังพูดอยู่นี้ มีระบบช่วงล่างแบบเดียวกับ RR เลยครับ..แต่ราคาน่ะหรอ.....ตอนนี้ น่าจะซื้อขายกันไม่เกิน 150000 แล้วนะ......
ความพยายามของวิศวกร ที่จะสร้างไฟหน้าให้เรียว เล็ก แต่ส่องสว่างได้ดี ลำแสงกระจายสวย ไม่แยงตา และพุ่งเป็นเส้นตรง....ต่างจากรถสมัยนี้ ที่นึกอะไรไม่ออก เอาไฟ Projector ใส่ก็จบ....ตรงนี้ล่ะครับ ที่ผมหลงไหลเขาคันนี้มากๆ....เพราะว่า วิศวกรในสมัยนั้น พยายามที่สุด ที่จะสร้างเจ้าไฟหน้าที่มีเวทีกระจายแสงแบบผิดปกตินี้ขึ้นมา มันแสดงให้เห็นถึงความพยายามของคนสมัยก่อนที่จะสร้างอะไรที่มันล้ำหน้ากว่าคู่แข่งไปอีกขึ้นนึงครับ
นี่ยังไม่รวม กุญแจรีโมท แบบ Infrared ระบบ Immobilizer ที่ใช้ Code 4 ตัวในการติดเครื่องยนต์ แถมระบบ Immobilizer ไม่ได้ตัดการจ่ายไฟไปที่เครื่องยนต์ แต่เป็นการตัดระบบเชื้อเพลิงแทน....ท้ายรถแบบ Liftback หรือเรียกอีกอย่างว่าตัวถังแบบ Berlin ที่โด่งดัง เพราะมีทรงรถที่สายและดูเป็นเสน่ ท้ายที่ลาดลง ทำให้พื้นที่วางของหลังรถกว้างมาก แถมยังพับเบาะหลังได้อีก......เยอะมากเลย...กระจกรอบคัน 13 บาน...อันเป็นเอกลักษณ์ที่เดี่ญวนี้หาดูได้ยากมากๆ มีกระจกกันกลิ่มกั้นระหว่างผู้โดยสารกับห้องเก็บของ ช่วยกันไม่ให้แอร์ออกไปนอกรถ และเวลาจอดรถเปิดท้าย ไอเสียของรถยังไม่สามารถวนกลับเข้ามาทำร้านคนที่นั่งอยู่ในรถ
เวลาที่คุณตาคุณยายจะขึ้นรถ มันจะมีปัญหาเข้าไปนั่งลำบาก...เพราะรถเตี้ยเกินไป...ช่วงล่างแบบ ไฮดรอลิค ปรับระดับขึ้นให้สูง แล้วคนชราขึ้นไปนั่งได้แบบ ชิวๆ เลย...รวมไปถึงองศาของเบาะนั่ง...ที่ทำไว้สำหรับคนมีพุงนั่งโดยเฉพาะ......ประมาณว่า เสี่ยนั่งหลังกันเลยทีเดียว เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า พวงมาลัย เป็น Telescopic ด้วย...แหม่ รถเดียวนี้งกจริงๆ ให้มาแค่สูงต่ำ ซึ้งบางครั้ง....มันปรับไม่พอสำหรับคนทีขายาวอย่างผม
ใครๆ เขาก็บอกว่ารถยี่ห้อนี้ ซื้อมาก็นอนแต่อู่....แต่ตั้งแต่ผมใช้ชีวิจตอยู่กับเขาร่วม 1 ปีเต็มแล้ว..ใช้วิ่งประจำวันได้ อะไหล่มีให้เลือกสรรค์ไม่มาก แต่ก็มีมาอยู่เรื่อยๆ ระบบช่วงล่างและไฟฟ้าที่หลายคนกลัว.......มันไม่ยากเลยถ้าอ่านภาษาอังกฤษออก แค่นั้นก็สามารถซ่อมเข้าคันนี้ได้ทั้งคัน โดยไม่ต้องไปหาช่างเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ผมไม่ได้ซ่อมรถมาประมาณ 3 เดือนแล้ว ทั้งๆ ที่รถก็ใช้เป็นประจำทุกวัน.....อีกทั้งคนขับเท้าค่อนข้างหนักพอสมควร
สำคัญที่สุดเลยคือ ผมใช้เวลาศึกษาเรื่องรถยี่ห้อนี้อยู่ เกือบ 2 ปี เต็ม ใช้เวลาหาเนื้อู่ผมซึ่งก็คือคันนี้ 6 เดือน ไปดูรถมาแล้วมากกว่า 10 คัน....
ผมรู้สึกมั่นใจ และภูมิใจทุกครั้ง ที่ขับอยู่บนถนนแล้ว มีแต่คนหันมอง....
คันที่ว่า คือคันนี้ไงครับ...