ผมคือหนึ่งในคนที่มีอคติต่อแบรนด์โตโยต้าในไทย (เฉพาะ TMT ใต้ปีกของประธานคนปัจจุบัน)
แต่ตัวเลขนี้ เขาไม่ได้โกหกหรือปั้นขึ้นมานะครับ ผมกดเครื่องคิดเลขตามแล้วเป็นเช่นนั้นจริงๆ
สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ มีแหล่งอ้างอิงจากเว็บไซต์กรมสรรพากร
http://bta.excise.go.th/calculate_tax_car.php?calculate_id=0002และเว็บผู้จัดการมอเตอริ่ง
http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9490000064778ใจความสำคัญคือ ภาษีสรรพสามิต ไม่ได้เรียกเก็บเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาดิบหน้าโรงงาน
แต่เป็นเปอร์เซนต์ของราคาสุกที่รวมภาษีตัวมันเองเข้าไปแล้ว
การคิดภาษีอย่างที่บางท่านในนี้ใช้ อาจจะคลาดเคลื่อนได้เยอะครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------หลายๆ ท่านในนี้อาจจะทราบวิธีการคำนวณที่ถูกต้องจริงๆ ไปแล้ว แต่ผมขออนุญาตอธิบางตรงนี้สักเล็กน้อยนะครับ
เผื่อผมมีเข้าใจตรงไหนผิดพลาด ท่านสามารถแย้งได้เลยครับ เพราะผมก็ไม่ได้ทำงานหรือใช้ชีวิตเกียวกับการคำนวณภาษีส่วนนี้ อาจจะพลาดได้ครับ
ผมขอยกตัวอย่างเป็น Toyota Camry 2.5HV Premium นะครับ ซึ่งปัจจุบัน เสียภาษีที่พิกัด 10% และราคาขายปลีกอยู่ที่ 1,899,000 บาท
สมมติโดยคร่าวๆ นะครับ
ในจำนวนนี้ สมมติว่าเป็น Dealer Margin สัก 10% = 379,800 บาท
ดังนั้นราคารถที่แท้จริงคือ 1,899,000-379,800 = 1,519,200 บาท
ในจำนวนนี้ ให้แบ่งเป็น 107 ส่วนครับ
7 ส่วนแรก คือภาษีมูลค่าเพิ่ม
10 ส่วนต่อมา คือภาษีสรรพสามิต (ตามเรตของ Camry)
1 ส่วนต่อมา คือภาษีมหาดไทย เรียกเก็บ 1/10 ของภาษีสรรพสามิต
89 ส่วนที่เหลือ จึงจะเป็นราคาหน้าโรงงาน ซึ่งจะได้ว่าราคานี้อยู่ที่ (89/107)*1519200 = 1,263,634 บาท
(ประกอบไปด้วยต้นทุนทั้งหมด + กำไร + อากรนำเข้าเฉพาะชิ้นส่วนที่นำเข้า แต่ไม่จำเป็นต้องเจาะลงไปลึกกว่านี้ในการคำนวณราคาที่ภาษีใหม่)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------แต่ด้วยอัตราภาษีใหม่ Camry ซึ่งปล่อยไอเสียประมาณ 120 (ในขณะที่ Accord 100 เดียว) จะเสียภาษีที่ 20%
โครงสร้างใหม่จึงเป็น
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 ส่วน
ภาษีสรรพสามิต 20 ส่วน
ภาษีมหาดไทย 2 ส่วน
และราคาหน้าโรงงาน 78 ส่วน
ซึ่งเมื่อราคาหน้าโรงงานอยู่ที่ 1,263,634 บาทเท่าเดิม แต่อัตราส่วนของมันลดลงจาก 89 เหลือ 78 ส่วน
ดังนั้นเมื่อเทียบบัญญัติไตรยางค์ ราคาใหม่ (ไม่รวม Dealer Margin) จะอยู่ที่
1,263,634*(107/78) = 1,733,446 บาท
รวม Dealer Margin ที่ตัดไว้ตอนแรกกลับเข้าไปอีก 379,800 ก็จะได้ราคาขายปลีกใหม่ที่ 2.11 ล้านบาท
แพงกว่าเดิม 210,000 บาท ใกล้เคียงกับที่ระบุไว้ในแผ่นป้ายนี้ครับ
ปล. ใครจะลองทำตามสูตร ภาษีที่ให้ไว้ในลิงค์อ้างอิงดูก็ได้ครับ สูตรเขาให้ไว้ว่า
(ราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม x อัตราภาษีสรรพสามิต)/( 1-(1.1x อัตราภาษีสรรพสามิต))
ลองดูเลยครับ ได้เท่ากัน (ปล. สูตรนี้มีแค่สรรพสามิตอย่างเดียวนะครับ อย่าลืมรวมมหาดไทยกับ VAT ด้วยนะครับ)
หรือจะลองเข้าเว็บผู้จัดการมอเตอริ่ง ดูตารางซึ่งเป็นสูตรสำเร็จก็ได้ครับ ว่าการขึ้นภาษีสัก 5 หรือ 10 เปอร์เซนต์
จะกระทบราคารถอย่างไร
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ผมลองกดเครื่องคิดเลขกับ Vios และ Fortuner แล้ว พบว่า ได้ค่าใกล้เคียงกับที่เขาระบุครับ
ตัวเลขในป้ายนี้ไม่ได้มั่วครับ ไม่เหมือนมาสด้าในกระทู้ก่อน ที่เขียนเรตภาษีของรถที่ตัวเองขายยังไม่ถูกเลย
ถ้าโตโยต้าไม่ตัด Dealer Margin หรือหาวิธีอื่นช่วยดัมพ์ราคา จะเป็นตามนี้จริงครับ
สิ่งที่โตโยต้าควรถูกตำหนิ ไม่ใช่ตัวเลขบนแผ่นป้ายนี้ครับ ทุกท่านกรุณาพิจารณาส่วนนี้ด้วยครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------เอาล่ะ ผมปกป้องโตโยต้าไปมากพอแล้ว ทีนี้ขอด่าบ้าง (เนื้อหาต่อจากนี้ เป็นโซนอคติส่วนตัว 555555)
สิ่งที่โตโยต้าควรถูกตำหนิมากที่สุดในความคิดของผม คือการไม่ยอมพัฒนารถตัวเองให้ทัดเทียมคู่แข่ง
จนส่งผลเสียมาหาผู้ซื้อต่างหากครับ
Vios รับเชื่อเพลิง E20 เสียภาษีปีหน้า 30% แต่ City เติม E85 ได้ เสียภาษี 25%
Camry Hybrid ปล่อย CO2 ประมาณ 120 (ตามคลับ) เสียภาษี 20% แต่ Accord Hybrid ปล่อย CO2 ประมาณ 100 เสียภาษี 10%
Fortuner ปล่อย CO2 ประมาณ 2xx เสียภาษี 30% แต่ Pajero Sport ปล่อยประมาณ 19x เสียภาษี 25%
ฯลฯ
ทำไม? ถึงไม่ยอมอัพสเปกของรถให้มันได้ภาษีขั้นที่ถูกกว่า
ทำไม? ผู้ซื้อจะต้องซื้อแพงขึ้นเพื่อให้ได้รถที่ดีเท่าเดิม ถ้าคุณพัฒนา
ราคารถคุณอาจจะสูง แต่เมื่อเรตภาษีต่ำกว่า ราคาสุทธิออกมาอาจจะออกมาเท่ากับที่คุณปล่อยเลยตามเลยแบบที่คุณทำอยู่นี้ก็เป็นได้ครับ