อยากรู้หลักการทำงานของกล่องประหยัดน้ำมัน/เพิ่มออกซิเจน ประหยัดได้จริงหรือไม่

Immortal6

อยากรู้หลักการทำงานของกล่องประหยัดน้ำมัน/เพิ่มออกซิเจน ประหยัดได้จริงหรือไม่ครับ
Honda Jazz GK               owned 2015
Kawasaki Ninja se 250cc. owned 2013
Honda Air blade 110cc.    owned 2010



promt

ผมก็อยากรู้คนที่มันทำได้จริงๆ โดยไม่หลอกเหมือนกันครับ



kez




decptt

หลักการไม่ทราบ แต่ลองดูตรรกะของผมนะครับ

ถ้าดีจริง ทำไมบริษัทรถยนต์ถึงไม่ซื้อลิขสิทธิ์ไปล่ะครับ คล้ายกับ ลิขสิทธิ์ของ Hybrid ที่เขาเอาของโตโยต้าไปเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้ง BMW และอีกหลายๆเครือ
ทำไม toyota, bmw, benz ถึงไม่แย่งกันซื้อลิขสิทธิ์ตัวประหยัดน้ำมันครับ ถ้าของเขาดีจริง



ซิ่งเข้าส้วม

ลองทดสอบเองดูสิครับ เค้ามีรับประกัน 15 วันหลังติดถ้าติดแล้วก็ลองทดสอบดูครับ เค้าเคลมว่าประหยัดขึ้น 20% คุณลองทดสอบดู ถ้ามันเห็นไม่ชัดก็ขอเงินคืนเลยครับ

ผมไม่เคยใช้แต่อ่านรีวิวส่วนมากมี 2 แบบคือใช้แล้วได้ผลกับไม่ได้ใช้แล้วบอกไม่ได้ผล นานๆ ซึ่งการที่คนหลายร้อยบอกว่าได้ผลอาจจะเป็นการอุปทานหมู่ก็ได้หรือได้ผลจริงๆ ก็ได้ แต่ถึงจะเป็นการอุปทานหมู่แต่ถ้าทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นผมว่ามันก็ไม่มากหรอกครับ บางทีเช่าพระมาบูชาแพงกว่านั้นก็มีถมไป



Immortal6

พอดีมีพี่ในบริษัทเค้าจะไปทำอ่ะครับ
สรรพคุณคือ เพิ่มแรงม้า 20เปอร์เซ็น  ประหยัดน้ำมัน ใช่ได้ทั้งเบนซิร ดีเซล
ลดco เพิ่ม  o3
แรงม้านี่ยังกะใส่โบเลย  เลยอยากถามๆดูว่ามันขนานนั้นเลยเหรอครับ ราคาตั้ง2-3 พัน
Honda Jazz GK               owned 2015
Kawasaki Ninja se 250cc. owned 2013
Honda Air blade 110cc.    owned 2010



NINENOI

หลักการไม่ทราบ แต่ลองดูตรรกะของผมนะครับ

ถ้าดีจริง ทำไมบริษัทรถยนต์ถึงไม่ซื้อลิขสิทธิ์ไปล่ะครับ คล้ายกับ ลิขสิทธิ์ของ Hybrid ที่เขาเอาของโตโยต้าไปเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้ง BMW และอีกหลายๆเครือ
ทำไม toyota, bmw, benz ถึงไม่แย่งกันซื้อลิขสิทธิ์ตัวประหยัดน้ำมันครับ ถ้าของเขาดีจริง

คิดเหมือนกันเลยครับ ถ้าได้จริงโดนซื้อลิขสิทธิ์รวยเละไปแล้ว เดาว่าจะบอกว่าโดนกีดกันโดนกลั่นแกล้งโน่นนี่นั่นแน่เลย
ถ้าเราซื้อของที่ไม่จำเป็น สุดท้ายเราต้องขายของที่จำเป็น



Yureka

พอดีมีพี่ในบริษัทเค้าจะไปทำอ่ะครับ
สรรพคุณคือ เพิ่มแรงม้า 20เปอร์เซ็น  ประหยัดน้ำมัน ใช่ได้ทั้งเบนซิร ดีเซล
ลดco เพิ่ม  o3
แรงม้านี่ยังกะใส่โบเลย  เลยอยากถามๆดูว่ามันขนานนั้นเลยเหรอครับ ราคาตั้ง2-3 พัน
ตามสัจธรรมง่ายๆเลย ที่ทุกคนมองข้ามกันไป อยากได้ทั้งประหยัดน้ำมัน แต่ "แรงขึ้นด้วย" มันมีที่ไหนละครับ ถ้ามันทำได้สมบูรณ์แบบอย่างนั้น คงไม่ต้องมีเทคโนโลยีไฮบริด หรืออื่นๆ หรอกครับ ติดเจ้านี่ดีกว่า ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่ง ถ้าสามารถทำได้จริงตามที่กล่าวอ้าง ราคาแค่2-3 พันบาท แปบเดียวคุ้มทุนครับ เพราะเท่าที่เห็นๆมา ของดีแล้วถูก ไม่มีในโลก ถ้าคนขายไม่สเน่หาด้วยนะ
ปล. ถ้าคำตอบผมไม่ถูกใจ ขออภัยใน ณ ที่นี้ด้วยครับ



sukhontha

ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ  แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......

 แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

    การจุดระเบิดของรถยนต์  ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
        -   รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี  และไอเสีย..
        -   ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ  14.7/1  อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
        -   หลังจากการเผาไหม้  จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์  เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์

    ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์  มันแตกตัวให้ โอโซน  และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง)  แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย  ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้  มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น  เพื่อให้ได้ค่า  ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด

       ดังนั้น  จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น  เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น  แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป

       ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง  และใช้มาจนปัจจุบัน  ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ  แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง  ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย  ในขณะที่  ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ    .......  ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ



Tee+...Lek

ตรรกะความคิดผมเกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ

การออกแบบอะไรสักอย่างออกมา วิศวกรมีโจทย์ที่ต้องตีให้แตกอย่างนึงคือ ทุกอย่างต้องสมดุลทั้งแรงม้า อัตราการสิ้นเปลือง และความทนทาน กว่ารถจะออกมาหนึ่งคันต้องผ่านการทดสอบ และทดลอง ทั้งลองขับในสภาวะต่างๆ กัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสิ่งที่ออกแบบไปใช้งานได้จริง

การติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม แม้ว่าจะทำได้อย่างที่เคลมว่าได้ แต่ทุกอย่างเป็นเหมือนตาชั่งครับ คือมันต้องมีบางอย่างสูญเสียไป ซึ่งในกรณีนี้เดาได้ว่าคือ "ความทนทาน" เมื่อมีการควบคุมการเพิ่มออกซิเจนเข้าไปในเครื่อง อาจทำให้ความร้อนเพิ่มขึ้น ยางในเครื่องอาจจะเสื่อมเร็วขึ้น หัวฉีดอาจจะมีอายุการใช้งานน้อยลง



ซิ่งเข้าส้วม

ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ  แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......

 แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

    การจุดระเบิดของรถยนต์  ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
        -   รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี  และไอเสีย..
        -   ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ  14.7/1  อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
        -   หลังจากการเผาไหม้  จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์  เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์

    ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์  มันแตกตัวให้ โอโซน  และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง)  แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย  ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้  มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น  เพื่อให้ได้ค่า  ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด

       ดังนั้น  จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น  เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น  แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป

       ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง  และใช้มาจนปัจจุบัน  ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ  แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง  ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย  ในขณะที่  ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ    .......  ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
สรุปง่ายๆ คือกระฉับกระเฉงขึ้นแต่ไม่ประหยัดขึ้นเหรอครับ



sukhontha

ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ  แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......

 แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

    การจุดระเบิดของรถยนต์  ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
        -   รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี  และไอเสีย..
        -   ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ  14.7/1  อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
        -   หลังจากการเผาไหม้  จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์  เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์

    ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์  มันแตกตัวให้ โอโซน  และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง)  แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย  ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้  มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น  เพื่อให้ได้ค่า  ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด

       ดังนั้น  จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น  เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น  แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป

       ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง  และใช้มาจนปัจจุบัน  ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ  แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง  ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย  ในขณะที่  ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ    .......  ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
สรุปง่ายๆ คือกระฉับกระเฉงขึ้นแต่ไม่ประหยัดขึ้นเหรอครับ

        ใช่ครับ   มันจะจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น เฉพาะในรอบต่ำ ๆ จน แถว ๆ พันแปดร้อยรอบ  เพื่อให้ค่าออกซิเจน เหลือตามค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้.....ซึ่ง(คงจะ)ทำให้แรงบิดเพิ่มขึ้นบ้าง มันถึงให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง..กว่าเดิม



mamaman



กล่อง ที่ ควันดำ นี่เหมารวมไหมครับ



Immortal6

อ้างจาก: sukhontha link= :otopic=47400.msg802721#msg802721 date=1448328094
ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ  แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......

 แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

    การจุดระเบิดของรถยนต์  ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
        -   รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี  และไอเสีย..
        -   ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ  14.7/1  อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
        -   หลังจากการเผาไหม้  จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์  เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์

    ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์  มันแตกตัวให้ โอโซน  และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง)  แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย  ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้  มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น  เพื่อให้ได้ค่า  ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด

       ดังนั้น  จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น  เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น  แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป

       ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง  และใช้มาจนปัจจุบัน  ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ  แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง  ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย  ในขณะที่  ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ    .......  ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
สอบถามต่อครับ  ช่วงที่พี่ทดลองควันดำมันลดลงรึปล่าวครับ
Honda Jazz GK               owned 2015
Kawasaki Ninja se 250cc. owned 2013
Honda Air blade 110cc.    owned 2010



sukhontha

อ้างจาก: sukhontha link= :otopic=47400.msg802721#msg802721 date=1448328094
ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ  แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......

 แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

    การจุดระเบิดของรถยนต์  ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
        -   รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี  และไอเสีย..
        -   ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ  14.7/1  อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
        -   หลังจากการเผาไหม้  จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์  เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์

    ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์  มันแตกตัวให้ โอโซน  และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง)  แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย  ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้  มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น  เพื่อให้ได้ค่า  ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด

       ดังนั้น  จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น  เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น  แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป

       ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง  และใช้มาจนปัจจุบัน  ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ  แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง  ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย  ในขณะที่  ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ    .......  ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
สอบถามต่อครับ  ช่วงที่พี่ทดลองควันดำมันลดลงรึปล่าวครับ

   ผมทดลองด้วยเครื่องเบนซิน   x-trail  t31 .....มันไม่มีควันอยู่แล้วครับ    แต่ไม่ทราบว่ากล่องดีเซลมันชดเชยน้ำมันแบบเดียวกับเบนซีนหรือเปล่า  ในความเห็นส่วนตัว  คิดว่าควันดำน่าจะลดลง  ข้อควรระวังเนื่องจากมันใช้ประจุไฟฟ้าโวลท์สูง    ต้องสังเกตว่า  มันรบกวนระบบอื่น ๆ หรือเปล่า.....  ถ้าอยู่ลำลูกกา  ถอดเอาของผมไปทดลองได้...เพราะผมทดลองจนได้บทสรุปแล้ว....



promt

อ้างจาก: sukhontha link= :otopic=47400.msg802721#msg802721 date=1448328094
ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ  แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......

 แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

    การจุดระเบิดของรถยนต์  ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
        -   รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี  และไอเสีย..
        -   ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ  14.7/1  อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
        -   หลังจากการเผาไหม้  จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์  เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์

    ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์  มันแตกตัวให้ โอโซน  และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง)  แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย  ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้  มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น  เพื่อให้ได้ค่า  ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด

       ดังนั้น  จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น  เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น  แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป

       ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง  และใช้มาจนปัจจุบัน  ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ  แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง  ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย  ในขณะที่  ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ    .......  ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
สอบถามต่อครับ  ช่วงที่พี่ทดลองควันดำมันลดลงรึปล่าวครับ

   ผมทดลองด้วยเครื่องเบนซิน   x-trail  t31 .....มันไม่มีควันอยู่แล้วครับ    แต่ไม่ทราบว่ากล่องดีเซลมันชดเชยน้ำมันแบบเดียวกับเบนซีนหรือเปล่า  ในความเห็นส่วนตัว  คิดว่าควันดำน่าจะลดลง  ข้อควรระวังเนื่องจากมันใช้ประจุไฟฟ้าโวลท์สูง    ต้องสังเกตว่า  มันรบกวนระบบอื่น ๆ หรือเปล่า.....  ถ้าอยู่ลำลูกกา  ถอดเอาของผมไปทดลองได้...เพราะผมทดลองจนได้บทสรุปแล้ว....

มีบทสรุปของผู้บริหาร (executive summary)
ในรีวิวรึยังครับ