Review: Proton Preve 1.6 CFE Premium รถมาเลย์จิงดิ!!

[bbbasty]

ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีและฝากเนื้อฝากตัวกับพี่จิม พี่แพน และเพื่อนสมาชิกทุกคน ตัวผมเองติดตามเว็บนี้มานานมาก ตั้งแต่ซื้อรถคันแรกคือเจ้า Toyota Prius และมาคันที่ 2 คือเจ้านี่ "Proton Preve" ต้องบอกว่าการตัดสินใจทั้งสองครั้งในการซื้อรถ มากกว่า 60% ก็เพราะได้ชมและอ่านรีวิวของพี่ทั้งสองนั่นเอง

หลังจากได้ติดตามเว็บนี้มานาน ถึงวันนี้ก็อยากจะรีวิวเจ้ารถคันที่ 2 ของผมนี้ให้ทุกๆคนได้ชมกันบ้างครับ ดีไม่ดีอย่างไรต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าครับ สำหรับการรีวิวครั้งแรก โดยในรีวิวนี้ผมจะขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวหลังจากได้ขับมากว่า 10000 กิโล และเปรียบเทียบกับรถคันอื่นๆที่ได้เคยขับให้ฟังครับ

อย่างที่บอกนั่นเองครับ รถคันนี้เป็นรถคนที่ 2 ที่ตนเองเป็นคนซื้อ หลังจากที่เจ้า Prius มันอายุเลยปีที่ 5 เข้าไปแล้ว ก็จำเป็นจะต้องเปลี่นนรถคันใหม่ด้วยงบประมาณในระดับไม่เกิน 8 แสนบ้าน และต้องเป็นรถในระดับ C-Segment และมีออฟชั่นต่างๆที่ครบครัน จึงได้ตกลงปลงใจกับเจ้านี่นั่นเองครับ

[bbbasty]

มิติภายนอกและน้ำหนัก
เจ้า Preve นี้ มีขนาดภายนอกอยู่ที่ 4543 x 1786 x 1524 มม. ระยะฐานล้อ 2650 มม. และน้ำหนักรถเปล่าอยู่ที่ 1340 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับเจ้า Prius Gen 3 คันเก่า จะพบว่า เจ้า Preve คันนี้มีขนาดใหญ่กว่า Prius ในทุกด้าน แต่ Prius มีระยะฐานล้อที่ยาวกว่าอยู่ที่ 2700 มม. และน้ำหนักตัวที่มากกว่า คือ 1395 กิโลกรัม จากน้ำหนักของแบตเตอรี่ Hybrid


ภายนอกตัวรถ

เริ่มจากด้านหน้าที่ไฟด้านหน้าเป็น ไฟ Halogen Projector ด้านล่างของโคมเป็นไฟหรี่แบบ LED ซึ่งน่าเสียดายอย่างยิ่งที่ไม่ใช่ DRL แบบรุ่นพี่ของมันอย่าง Suprima ที่ใส่ DRL มาให้เลย และมีไฟตัดหมอกมาให้ด้วย ความสว่างยามค่ำคืนถือว่าได้ตามมาตรฐานทั่วไป แต่ ณ ปัจจุบันผมได้ไปเปลี่ยนเป็นหลอด Xenon เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทำให้สว่างกว่าหลอดเดิมของโรงงานมาก และไม่แยงตาเพื่อนร่วมทางอีกด้วย

กระจกมองข้างปรับและพับเก็บอัตโนมัติ เมื่อกดรีโมทล็อกประตู พร้อมไฟเลี้ยว LED ซึ่งออพชั่นนี้ผมถือว่าน่าประทับใจ เพราะ Prius คันเก่าของผมยังต้องพับมืออยู่เลย -_- (บางทีก็นึกอายในใจ ขับรถคันเป็นล้านแต่ต้องใช้มือพับกระจก 55+)

ล้อเป็นล้ออัลลอยขนาด 16" ถือว่าตามมาตรฐานของรถ C-Segment ยุคนี้

มือเปิดประตูเป็นแบบดึงเพื่อเปิดออก ตามแบบฉบับรถทั่วไป ไม่มี Smart Entry มาให้แบบ Prius ดังนั้นเวลาเปิดประตู ยังคงต้องกด Remote เช่นเคย

ระบบล็อกประตูมี Immobilizer มาให้ พร้อมระบบล็อกประตูอัตโนมัติ หากเราปลดล็อกแล้วไม่ได้เปิดเข้าไปในรถภายใน 30 วินาที

ไฟท้ายเป็นหลอด LED ทั้งไฟส่องสว่างเวลากลางคืน ไฟตัดหมอกหลัง และไฟถอยหลัง ส่วนไฟเบรคยังคงเป็นหลอดธรรมดา

ที่เก็บของด้านหลังสามารถเปิดจากด้านในรถ หรือกดปุ่มปลดล็อกที่รีโมทค้างไว้ประมาณ 3 วิ ก็จะเด้งขึ้นมา ภายในมีขนาด 506 ลิตร ถือว่ากว้างขวางพอสมควร กว้างกว่า Prius ที่ไม่ได้พับเบาะค่อนข้างมาก ใกล้เคียงกับ Honda City ปี 2011 และภายในมีไฟส่องให้ด้วย

[bbbasty]

ภายในรถ
ขอเริ่มจากเบาะนั่งโดยสารที่เป็นแบบผ้า เทียบกับ Prius ที่เป็นเบาะหนังกึ่งสังเคราะห์ แต่ว่ากันตามจริงสัมผัสมันไม่ได้แย่นะครับ แต่น่าจะใส่เบาะหนังมาให้แบบเดียวกับพี่ชายของมันอย่าง Suprima ส่วนความสบายเมื่อนั่งเบาะคู่หน้าถือว่าใช้ได้ แต่ยังไม่ดีเท่ากับ Prius ที่โอบกระชับตัวผมได้ดีกว่า

พื้นที่รองขาถือว่ามีมากพอๆกับ Prius สามารถนั่งได้สบายๆไม่เมื่อย แต่ตัวเบาะจะอยู่สูงกว่ารถทั่วไปซักหน่อย ซึ่งบางคนอาจจะไม่ค่อยชิน

วัสดุภายในเมื่อเทียบกับ Prius ตามความรู้สึกผมว่ามันดีกว่ามากครับ และดีกว่ารถญี่ปุ่นหลายๆคัน โดยเฉพาะวัสดุบุนุ่มในครึ่งท่อนบนและแผงลายไม้ที่ยาวไปจนถึงแผงประตู ที่ดูเหมือนรถยุโรปราคาแพง แต่สิ่งที่บางคนมองว่าแย่อาจจะเป็นเรื่องของดีไซน์มากกว่า ที่มันดูย้อนยุคไปซักนิด แต่โดยส่วนตัวผมชอบนะ

ช่องแอร์มี 4 ช่องตามมาตรฐานรถทั่วไป สามารถปิด-เปิดช่องลมโดยใช้ที่หมุนปรับด้านข้างได้ทุกช่อง

ระบบปรับอากาศเป็นแบบกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งผมแปลกใจอยู่เหมือนกัน เพราะตามคู่มือนั้น จะมีปุ่ม auto ทั้งตรงส่วนที่ปรับทิศทางลมและแรงลม แต่รถจริงมี auto แค่ส่วนที่ปรับแรงลม ซึ่งเท่าที่ลองใช้ดู มันจะปรับแรงลมให้ตามอุณหภูมิที่เราเลือกและอุณหภูมิภายนอก ถ้าอากาศร้อน ลมก็จะแรง ส่วนความเย็นเมื่อเทียบกับ Prius แล้ว ถือว่าเย็นเร็วพอๆกัน และเย็นเร็วกว่า Honda City 2011 พอสมควร ส่วนวัสดุมือหมุนระบบปรับอากาศจริงอย่างที่พี่จิมและพี่แพนบอกไว้ คือ มันดูแย่กว่าครึ่งท่อนบนมากๆ ทั้งๆที่ต้นทุนก็ไม่น่าจะซักเท่าไหร่

ระบบเครื่องเสียงของ blaupunkt สามารถเล่น CD MP3 และ DVD ได้ ม โดยกรณีของ DVD จะแสดงภาพเมื่อใส่เกียร์ P และดึงเบรคมือขึ้นเท่านั้น ซอฟต์แวร์มี Navigator มาให้ พร้อมอัพเดทแผนที่ให้ฟรีระยะเวลา 3 ปี ลำโพง 4 ตัว และน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่ไม่มีกล้องมองหลังขณะถอยมาให้แบบ Suprima ในส่วนของคุณภาพเสียง มี 4 ลำโพงก็จริง แต่ผมว่ามันดีกว่า Prius คันเดิมที่มี 8 ลำโพงค่อนข้างชัดเจนทีเดียว เพียงแต่ถ้าฟังเพลงแนว bass หนักๆอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ อารมย์จะคล้ายๆ Harman Kardon คือเสียงนุ่มๆ ทุ้มๆ แต่ไม่ได้ดีขนาดนั้นนะ นอกจากนั้นยังมีที่เสียบ USB ให้ 2 ตำแหน่ง และระบบ Bluetooth เพื่อใช้รับและโทร และใช้ฟังเพลงได้ด้วย

พวงมาลัยหุ้มหนังและยูริเทน มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและรับสายโทรศัพท์ ทั้งสองฝั่งมี Paddle Shift + - มาให้

ด้านซ้ายพวงมาลัยเป็นที่ปรับไฟเลี้ยว และไฟส่องสว่างยามค่ำคืน ส่วนด้านขวาใช้ปรับระบบปัดน้ำฝน ซึ่งจะคล้ายๆรถยุโรป ด้านขวาล่างจะมีด้าน Cruise Control ซึ่งตรงนี้เหมือน Prius มากจนน่าตกใจ

ทางด้านขวาของพวงมาลัยจะมีปุ่ม Push Start และเสียบกุญแจเข้าไป วิธีการจะต่างจากระบบ Push Start ทั่วไปคือ ต้องเสียบกุญแจเจ้าไปจึงค่อยกด Push Start

แผงประตูฝั่งคนขับจะมีปุ่มควบคุมกระจกทั้ง 4 บาน และปุ่มควบคุมกระจกมองข้าง แต่ปุ่มล็อกและปลดล็อกประตูดันไปอยู่ด้านข้างเครื่องเสียง เช่นเดียวกับกับปุ่มปิดเปิดไฟตัดหมอกหน้า-หลัง ซะอย่างงั้น ดูแปลกๆยังไงชอบกล



ส่วนตรงกลางมีเบรคมือ ที่วางแก้วน้ำ 2 ใบ และช่องเก็บของด้วย

ห้องโดยสารด้านหลัง ตรงกลางมีที่ชาร์ตแบตโทรศัพท์ให้ด้วย ส่วนความสบายในห้องโดยสารใกล้เคียงกับ Prius คือมีพื้นที่วางขามากพอสมควร แต่ตัวเบาะค่อนข้างโอบรับกับสรีรดีกว่า Prius ซึ่งตรงกันข้ามกับเบาะคู่หน้า

มาตรวัดแบบ 2 วง ฝั่งซ้ายบอกรอบเครื่องและฝั่งขวาบอกความเร็ว ตรงกลางมีหน้าจอบอกข้อมูลการขับขี่ต่างๆเช่น Trip A-B-C ความเร็วเฉลี่ย อัตราสิ้นเปลือง ไฟเตือนต่างๆ สามารถปรับความสว่างของมาตรวัดได้ 5 ระดับ นอกจากขีดบอกระดับน้ำมันแล้ว ยังมีขีดบอกอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นมาให้ด้วย ซึ่งรถสมัยๆนี้ไม่ค่อยมีมาให้ ส่วนงานออกแบบออกจะดูเฉยๆไปซักนิด แต่ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน

[bbbasty]

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและด้านความปลอดภัย

จุดนี้เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์อย่างนึงกับรถ C-Segment ราคา 759,000 แต่มีออฟชั่นดังต่อไปนี้มาให้แบบครบครัน

- ถุงลมนิรภัย SRS 6 ใบ พร้อมกุญแจเปิด-ปิดได้
- ระบบเบรค ป้องกันล้อล็อก ABS, กระจายแรงเบรค EBD และเสริมแรงเบรค BA
- ระบบควบคุมการทรงตัว ESC และระบบป้องกันการลื่นไถล TCL มีระบบเปิด-ปิดได้
- ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ AUTO CRUISE
- ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ AUTO WIPERS พร้อม Rain Sensor
- ระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อม Light Sensor
- ระบบไฟส่องนำทาง FOLLOW ME HOME LIGHT
- ระบบเปิดไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อมีการเบรคกะทันหัน
- ระบบปิดไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารอัตโนมัติ เมื่อลืมปิด
- ระบบล๊อกประตูอัตโนมัติเมื่อขับขี่
- Paddle-Shift ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย

น่าเสียดายอีกเช่นเคยถ้าเป็นรุ่นพี่ของมันอย่าง Suprima จะมีระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA มาให้ด้วย

ซึ่งหากเทียบกับรถคันเดิมของผมอย่าง Toyota Prius Gen 3 พบว่าออพชั่นของทั้งสองคันใกล้เคียงกันมาก บางอย่าง Preve มีให้มากกว่าด้วยซ้ำ ในราคาค่าตัวที่ถูกกว่าเกือบ 5 แสน

[muying]

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและด้านความปลอดภัย

จุดนี้เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์อย่างนึงกับรถ C-Segment ราคา 759,000 แต่มีออฟชั่นดังต่อไปนี้มาให้แบบครบครัน

- ถุงลมนิรภัย SRS 6 ใบ พร้อมกุญแจเปิด-ปิดได้
- ระบบเบรค ป้องกันล้อล็อก ABS, กระจายแรงเบรค EBD และเสริมแรงเบรค BA
- ระบบควบคุมการทรงตัว ESC และระบบป้องกันการลื่นไถล TCL มีระบบเปิด-ปิดได้

กุญแจเปิดปิดถุงลม ?      ระบบทำงานเป็นแบบไหนครับ

[bbbasty]

เครื่องยนต์ สมรรถนะ การขับขี่ และอัตราสิ้นเปลือง
สิ่งหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นไฮไลต์ของรถคันนี้ คือหัวข้อนี้นั่นเอง โดยในหัวข้อนี้ผมจะได้มีโอกาสได้เทียบกับรถของที่บ้านที่ขับขี่อยู่ประจำ คือ Mercedes-Benz C200 Kompressor W204, Toyota Camry Hybrid ACV40, Honda City MC 2011 และเจ้าคันเดิมของผม Toyota Prius Gen 3 รวมถึงรถของเพื่อนคือเจ้า Mazda 3 2.0 Skyactiv Sedan

เครื่องยนต์
เครื่องยนต์ขนาด 1561 CC พ่วงเทอร์โบขนาดเล็ก รหัส CAMPRO-CFE กำลังสูงสุด 140 PS ที่ 5000 rpm และแรงบิดสูงสุด 205 Nm แบบ Flat Torque ที่ 2000-4000 rpm ผ่านมาตรฐาน EURO 5 โดยทางโปรตอนเคลมว่ามีอัตราสิ้นเปลืองที่ 15.15 กม./ลิตร ที่ความเร็ว 90 กม./ชม.

ระบบส่งกำลัง
ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT สามารถปรับเป็น mode +/- ซึ่งเกียร์จะล็อกอัตราทดให้ 7 จังหวะ คล้ายๆ Altis หรือจะขับขี่แบบธรรมดาในโหมด D หรือ S ก็ได้ ความต่างของ D และ S คือ ในโหมด S เกียร์จะคารอบเครื่องไว้สูงกว่าปกติ ส่วนในโหมด +/- สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้จากคันเกียร์หรือ Paddle Shift ก็ได้ แต่หากเราไม่เปลี่ยนเกียร์เอง มันก็จะเปลี่ยนให้เราเองที่แถวๆ 5500-6000 รอบ คล้ายๆกับ C200 ของที่บ้าน ซึ่งจะไม่เหมือนกับเจ้า Honda City ที่หากเล่นโหมด +/- คนขับต้องเป็นคนเปลี่ยนเกีย์เอง

อัตราเร่งและความเร็วสูงสุด
อันนี้ลองจับเวลากันโดยการนั่ง 2 คนกับเพื่อน น้ำหนักตัว 2 คนประมาณ 130 กก. โดยทำการจับเวลา 4 ครั้ง เวลากลางคืนประมาณ ตี 1 บนดอนเมืองโทลเวย์ เพื่อหาค่าเฉลี่ยแบบเดียวกับพี่จิมมี่และพี่แพน ผลที่ได้เปรียบเทียบกับรถคันอื่นๆให้ด้วยคือ
               Preve (S Mode)                           Prius (PWR Mode)           City  (S Mode)           C200 Kom (S Mode)
 >> อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม    9.66 วินาที              10.69 วินาที                   11.34 วินาที                   8.68 วินาที
 >> อัตราเร่ง 80-120 วินาที     6.62 วินาที               8.05 วินาที                     9.05 วินาที                    6.71 วินาที
 >> ความเร็วสูงสุดตามมาตรวัด 218 กม./ชม. (GPS 208 กม./ชม.)
 ทั้งนี้ผมได้ลองจับอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งถึงความเร็วต่างๆเพิ่มให้ ดังนี้ (พร้อมแถมตัวเลขของ Prius , City 2011, C200 ตามลำดับให้ด้วย)
                     Preve (S Mode)                      Prius (PWR Mode)           City (S Mode)            C200 Kom (S Mode)
 >> 0-100             9.66                                  10.69                           11.34                           8.68
 >> 0-120            12.82                                 14.52                           15.21                          12.21
 >> 0-140            16.31                                 19.24                           20.89                          15.89
 >> 0-160            21.65                                 27.45                           27.69                          19.84
 >> 0-170            24.34                                 36.12                           37.89                          22.49
 >> 0-180            29.45                                 46.78                           47.56                          26.87
 >> 0-190            34.84                                     -                                  -                             31.55
 >> 0-200            43.81                                     -                                  -                             37.89
Top Speed             218                                     189                              195                            242

อัตราเร่งเมื่อเทียบกับ Prius และ City จะพบความต่างให้เห็นตั้งแต่หลัง 120 เป็นต้นไป ที่ Preve จะเริ่มทิ้งทั้ง Prius และ City ไปหลายคันรถพอสมควร และเมื่อเทียบกับ C200 จะพบว่า C200 จะเริ่มหนีเจ้า Preve ออกต้องหลัง 180 เป็นต้นไป เพราะอัตราเร่งของเจ้า Preve จะเริ่มไหลช้าหลัง 180 เป็นต้นไป ส่วน C200 ยังไหลขึ้นสบายๆจนถึง 210 จึงเริ่มช้าลงอย่างเห็นได้ชัด และมีโอกาสได้ลองกับ Mazda 3 Skyactiv Sedan ของเพื่อน จากจุดหยุดนิ่ง พบว่า เมื่อจบที่ความเร็วประมาณ 180 ของ Preve ผมจะสามารถนำ Mazda 3 Skyactiv ได้ประมาณ 1 คันรถครึ่ง และหากกดต่อไปเรื่อยๆ หลัง 180 เจ้า Preve ความเร็วจะไหลขึ้นได้ดีกว่าเจ้า 3 จนถึงความเร็วสูงสุดที่ทำได้มากกว่า

การขับขี่
ผมขอแบ่งออกเป็นด้านต่างๆโดยเทียบกับรถคันอื่นๆดังนี้
1. ความนิ่งของช่วงล่างที่ความเร็๋วสูง
เมื่อเทียบกับ Prius คันเดิมแล้ว พบว่า นิ่งกว่าพอสมควร Prius จะนิ่งดีหากไม่มีลมปะทะด้านข้าง ส่วนเจ้า Preve แม้มีลมปะทะด้านข้างก็ยังคงนิ่งกว่า Prius พอสมควร และโดยรวมผมให้ดีกว่า C200 นิดๆด้วยซ้ำ โดยไม่ต้องพูดถึง Honda City ที่ค่อนข้างห่างกับคนอื่นค่อนข้างมาก โดยรวม คือ Preve > C200 > Prius >>> City
2. การเปลี่ยนเลนที่ความเร็วสูง
อาการของรถมีไม่มากนักถือว่าควบคุมได้ค่อนข้างง่าย และดีกว่า Prius ชัดเจนที่ตัวรถค่อนข้างเหวี่ยงมาก และผมยังคงให้ดีกว่า C200 นิดๆ เนื่องจากเจ้า C200 ค่อนข้างจะยวบยาบพอสมควร โดยรวมเหมือนเดิม คือ Preve > C200 > Prius >>> City
3. พวงมาลัย
ที่ความเร็วต่ำค่อนข้างหนักมาก และที่ความเร็วสูงจะเบาลง On center Feeling ใกล้เคียงกับ C200 แต่โดยรวมสู้ Prius ไม่ได้ ที่ให้ความพอดีทั้งความเร็วต่ำและสูงที่ดีกว่า โดยภาพรวม Prius > C200 = Preve > City
4. อาการในโค้ง
เมื่อลองเหวี่ยงโค้งแบบตัว S ที่ความรถประมาณ 90 กม./ชม. พบว่ายังเก็บอาการได้ดี ตัวรถเอียงน้อย เทียบกับ Prius ที่ตัวรถเอียงค่อนข้างมาก แต่ยังคงเกาะถนนได้ดี แต่สิ่งที่ทำให้คาดความมั่นใจไปบ้างคือ พวงมาลัยที่ไม่ให้ความมั่นใจเท่า Prius ในข้อนี้ผมจึงให้พอๆกับ Prius และด้อยกว่า C200 ค่อนข้างมาก
5. การสับแรงสะเทือน
ค่อนข้างดีกว่า Prius ชัดเจน รวมถึงดีกว่า 3 Skyactiv ค่อนข้างมาก ไม่ค่อยรู้สึกถึงรอยต่อของถนนมากนัก แต่ยังคงห่างชั้นกับ C200 พอสมควร

โดยสรุปคือเจ้า Preve จะเด่นในเรื่องความนิ่งที่ความเร็วสูงทางตรง ซึ่งผมว่าดีกว่า C200 ด้วยซ้ำ พวงมาลัยยังสู้ Prius ไม่ได้ การสับแรงสะเทือนและความนิ่มนวลดีกว่า Prius แต่ยังห่างกับ C200

อัตราสิ้นเปลือง

ทดลองขับที่ความเร็ว 110 กม./ชม. ตามมาตรวัด โดยการตั้ง Cruise Control ระยะทางประมาณ 80 กม. น้ำมัน E20  อัตราสิ้นเปลืองที่ได้ตามมาตรวัดอยู่ที่ 7.0L/100 km หรือประมาณ 14.28 กม./ลิตร ทั้งนี้คาดว่าคงไม่แม่นยำเท่าวิธีการของพี่จิมมี่และพี่แพน

โดยสรุปแล้วเจ้า Proton Preve กับราคา 759,000 จัดได้ว่าให้สมรรถนะ ออพชั่น และความปลอดภัยได้คุ้มค่าที่สุด ไม่แพ้รถคันเดิมของผมอย่าง Prius บางสิ่งดีกว่าด้วยซ้ำ บางสิ่งก็เทียบชั้นได้กับเจ้าตราดาว จนอดสงสัยไม่ได้ว่ามันเป็นรถมาเลย์จริงดิ แต่สิ่งที่ต้องพิสูจน์กันต่อไปคือศูนย์บริการที่ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ มาตรฐานของศูนย์บริการที่ฝากอนาคตไว้กับพระนครโอโต

ท้ายที่สุดขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตามอ่านครับผม หากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วยครับ เนื่องจากเป็นรีวิวแรก

[bbbasty]

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและด้านความปลอดภัย

จุดนี้เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์อย่างนึงกับรถ C-Segment ราคา 759,000 แต่มีออฟชั่นดังต่อไปนี้มาให้แบบครบครัน

- ถุงลมนิรภัย SRS 6 ใบ พร้อมกุญแจเปิด-ปิดได้
- ระบบเบรค ป้องกันล้อล็อก ABS, กระจายแรงเบรค EBD และเสริมแรงเบรค BA
- ระบบควบคุมการทรงตัว ESC และระบบป้องกันการลื่นไถล TCL มีระบบเปิด-ปิดได้

กุญแจเปิดปิดถุงลม ?      ระบบทำงานเป็นแบบไหนครับ

แหะๆ ไม่แน่ใจว่าผมใช้คำถูกหรือเปล่า กรณีที่เราติดตั้งเบาะเด็กทารกฝั่งคนนั่งน่ะครับ มันจะสามารถปิดถุงลมนิรภัยซึ่งจะเป็นอันตรายกับเด็กได้ครับ

[-Brian]

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและด้านความปลอดภัย

จุดนี้เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์อย่างนึงกับรถ C-Segment ราคา 759,000 แต่มีออฟชั่นดังต่อไปนี้มาให้แบบครบครัน

- ถุงลมนิรภัย SRS 6 ใบ พร้อมกุญแจเปิด-ปิดได้
- ระบบเบรค ป้องกันล้อล็อก ABS, กระจายแรงเบรค EBD และเสริมแรงเบรค BA
- ระบบควบคุมการทรงตัว ESC และระบบป้องกันการลื่นไถล TCL มีระบบเปิด-ปิดได้

กุญแจเปิดปิดถุงลม ?      ระบบทำงานเป็นแบบไหนครับ

แหะๆ ไม่แน่ใจว่าผมใช้คำถูกหรือเปล่า กรณีที่เราติดตั้งเบาะเด็กทารกฝั่งคนนั่งน่ะครับ มันจะสามารถปิดถุงลมนิรภัยซึ่งจะเป็นอันตรายกับเด็กได้ครับ

ถูกแล้วครับ รถบางรุ่นมันจะมีระบบให้ปิดล็อคการทำงานของถุงลมนิรภัยได้  โดยการเอากุญแจไปไขครับ
ใช้เวลาติดตั้งคาร์ซีทให้เด็ก

[SM.]

เคยอ่านรีวิวจาก web นี้แหละครับ ก็บอกว่าตัวนี้แรงเกินตัวจริงๆ

[kittiphat123]

เสียดาย รู้สึกว่าโชว์รูม+ศูนย์ ที่เชียงใหม่ จะปิดไปแล้วนะครับ

[a14]

เป็นรถที่ยอดเยี่ยมคันหนึ่ง สมรรถนะแบบนี้ เงียบๆไว้ครับ อย่าบอกให้ใครรู้ เอา topspeed 218 km/hr ไว้ตามเก็บ civic 1.5 turbo ที่มีแนวโน้มจากกลุ่มผู้ใช้ ที่จะมาวิ่งทำความเร็ว 200up บนถนนเยอะครับ

[promt]

รีวิวยอดเยี่ยม

[jumpon77]

รถมันดีจริงๆๆครับเพียงแต่ว่ามันแค่เรีองศูนย์อย่างเดียวที่น่าเปนห่วงนะตอนนี้ครับมันเหมีอนจะเงียบๆๆไปครับ

[tubtup]

ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ
รีวิวได้ดีเลยครับ ทั้งยังเปรียบเทียบกับรถที่เคยใช้และใช้ประจำ
ผมห่วงอย่างเดียวคือศูนย์บริการ ซึ่งน่าจะเหลือไม่กี่แห่งแล้ว แต่อะไหล่ก็ไม่น่าหายากมาก
เคยเห็นผ่านๆมีกลุ่มที่รับสั่งอะไหล่จากมาเลย์ และอู่ที่ทำแต่โปรตอน เห็นไปใช้บริการกันเยอะ

[alpha14]

0ที่ลำปางและเชียงใหม่แจกแพลูกค้าไปนานแล้ว!

[ซิ่งเข้าส้วม]

ถูกและดูดีเลยทีเดียวครับ เสียที่การตลาดและการบริการเข้าขั้นแย่ถึงแย่มาก แต่ก่อนเคยใช้ Savvy ตอนที่ไม่ค่อยมีเงิน รู้สึกได้เลยว่านรกมีจริง อะไหล่แพงมหาโหดสำหรับรถราคา 4 แสนกว่า ขายต่อเหลือ 8 หมื่นใน 5 ปี เกียร์ AMT เริ่มงอแงตั้งแต่ 3 ปี ตอนนี้ศูนย์บริการก็ปิดตัวไปเกือบหมดแล้ว คงต้องบอกลาแบรนด์นี้ในไทยในเร็วๆ นี้ครับ

[Sammy_]

เย้ มีเพื่อนเพิ่มอีกคนแล้ว ผมวิ่งมา 2 ปีแล้วครับ ถ้ามีปัญหาอะไรปรึกษาได้ครับ
รถคันนี้ ผมศึกษาจน ทะลุปรุโปร่ง หมดแล้วครับ มันมีอะไรหลายๆอย่างที่ต้องค่อยเช็ค เพราะไทยเราได้รถ Lot แรก

แต่ถ้าตามเก็บหมดแล้วรับรอง รถคันนี้คุ้มโคตรๆ อีกอย่างมันเป็นรถป้ายแดงที่ขับแล้วสบายใจมากที่สุด ขนาดลืมล็อครถของยังไม่หายเลย 555

[bbbasty]

เย้ มีเพื่อนเพิ่มอีกคนแล้ว ผมวิ่งมา 2 ปีแล้วครับ ถ้ามีปัญหาอะไรปรึกษาได้ครับ
รถคันนี้ ผมศึกษาจน ทะลุปรุโปร่ง หมดแล้วครับ มันมีอะไรหลายๆอย่างที่ต้องค่อยเช็ค เพราะไทยเราได้รถ Lot แรก

แต่ถ้าตามเก็บหมดแล้วรับรอง รถคันนี้คุ้มโคตรๆ อีกอย่างมันเป็นรถป้ายแดงที่ขับแล้วสบายใจมากที่สุด ขนาดลืมล็อครถของยังไม่หายเลย 555

ข้อความไปหาแล้วครับ