ช่วงนี้ข่าวความเคลื่อนไหวของรถยนต์นั่งขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า 100% โดย "บ.เทสลา ออร์โตทีฟ" สหรัฐ อเมริกา จะเข้าทำตลาดในไทยกำลังฮือฮาจนดูเหมือนว่าโอกาสที่เราจะได้เห็นรถยนต์ที่ไม่ใช้น้ำมันในบ้านเราในอีกไม่ช้าไม่นาน
แต่เชื่อเถอะเส้นทางของรถยนต์นั่งไฟฟ้าไม่ได้เพริศแพร้วศิวิไลซ์อย่างที่คิดแน่ๆ ยังต้องเจอวิบากกรรมอีกมากมายหลายรูปแบบ ดูอย่างกรณี "รถไฟฟ้า" นับจากวันที่เรามีการเปิดประมูลครั้งแรกจนถึงวันที่ได้ใช้จริงใช้เวลารอคอยนานถึง 2 ทศวรรษ
จำได้ว่าเราเริ่มโครงการรถไฟฟ้าก่อนมาเลย์ด้วยซ้ำ แต่เราได้ใช้ทีหลังหลายปี
วิบากกรรมด่านแรกที่ "เทสลา" จะต้องเจอนั่นคือแรงต้านจากผู้ผลิตรถยนต์นั่งยักษ์ใหญ่ในประเทศเจ้าเดิมๆ ที่ผลิตรถใช้น้ำมันซึ่งมี "ฐานการผลิตใหญ่" ในไทย ทั้งจากค่ายญี่ปุ่น ยุโรป สหรัฐ ที่เคยโปรโมตเป็น "ดีทรอยต์เอเชีย" ย่อมเสียประโยชน์แน่ๆ
เฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลส่งเสริมโครงการผลิตรถรุ่นประหยัดน้ำมัน "อีโคคาร์" เชิญชวนให้บริษัทรถยนต์ในประเทศร่วมผลิต โดยมีการทำเอ็มโอยูร่วมกันจะต้องมีนโยบายปกป้องไม่ให้ได้รับผลกระทบ มิเช่นนั้นจะไม่มีใครเชื่อถือรัฐบาลอีกต่อไป
จึงเป็นไปไม่ได้ที่รถยนต์ไฟฟ้าจะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดจากเจ้าเก่าได้ง่ายๆ
คนในวงการรถยนต์เล่าให้ฟังว่า ในช่วงที่รัฐบาลสมัยนั้นต้องการส่งเสริมให้ผลิตรถยนต์นั่งรุ่นประหยัดน้ำมันบริษัทรถยนต์เสนอโมเดล "รถอีโคคาร์" กับ "รถยนต์ไฟฟ้า" ในที่สุดรัฐบาลยุคนั้น ตัดสินใจให้การส่งเสริมการลงทุนกับโครงการอีโคคาร์แทน
ฉะนั้นถ้าหากรัฐบาลปล่อยให้รถยนต์นั่งขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าเข้ามาง่ายๆ ก็จะกระทบกับผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ที่ฝังรากลึกมานานนั้น คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
เหนือสิ่งใดหาก "เทสลา" นำเข้ารถยนต์นั่งขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าจริงๆ ยังต้องฝ่าด่านผู้ผลิตชิ้นส่วนที่เป็น "ซับพลายเออร์" ป้อนให้กับบริษัทรถยนต์เหล่านี้กว่า 1 พันบริษัท ที่มีคนงานกว่า 6-7 แสนคน
กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนคงคัดค้านเต็มที่ เพราะรถยนต์นั่งไฟฟ้าใช้ชิ้นส่วนน้อยมากๆ แม้จะไม่กระทบในทันทีก็ตาม แต่จะเป็นข้ออ้าง
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1469015448