ผมว่าผมใช้รถรุ่นเดียวกับคุณเจ้าของกระทู้อยู่คันนึงนะ

สอบถามหน่อยครับที่บอกว่าเข็ดกับรถไฮบริด นี่เพราะอะไรครับ ผมจะได้เตรียมตัวไว้

ผมก็มีอายุพอสมควรแล้วเหมือนกัน ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว เคยใช้รถมาทั้งรถญี่ปุ่นและรถยุโรป ไม่ได้ตั้งแง่รังเกียจรถใดๆเป็นพิเศษ
( ผมตอบยาวหน่อย เห็นว่ามีอายุแล้วเหมือนกัน และใช้รถรุ่นเดียวกันอยู่ คงมีมุมมองในบางเรื่องคล้ายๆกัน )
ผมเห็นด้วยกับหลายๆท่านนะ ว่า รถมันก็มีหลายมุม แต่ละคนก็ให้น้ำหนักความสำคัญในแต่ละมุมไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละคน เช่น อายุ ฐานะ สภาพการใช้งาน สภาพถนนที่ใช้ประจำ ความชอบส่วนตัว ความฝัน ฯลฯ
คนที่บอกว่ารถญี่ปุ่นดีกว่า ก็ไม่ผิด เพราะในบริบทของตัวเค้า เค้าก็อาจให้ความสำคัญในเรื่องที่รถญี่ปุ่นทำได้ดีกว่า ที่คุณเจ้าของกระทู้บอกว่าคุยกับหลายๆคน ก็ต้องดูบริบทของคนๆนั้นครับว่าทำไมถึงบอกเช่นนั้น คงต้องถามต่อว่าเพราะอะไรถึงบอกเช่นนั้น เราก็จะรู้ว่าเค้าให้ความสำคัญในประเด็นไหน
บางคนไม่ได้ชอบเรื่องรถ ไม่ได้มีกิเลสด้านนี้ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องรถเท่าไหร่ มองรถแค่เป็นพาหนะพาจากจุด a ไปจุด b เพื่อไปทำงานหรือทำสิ่งที่เค้าให้ความสำคัญ ถึงแม้เค้าจะมีอายุ มีกำลังทรัพย์พอที่จะซื้อรถยุโรปได้ เค้าก็อาจจะซื้อรถญี่ปุ่น ซึ่งก็เห็นเป็นแบบนี้หลายคน
ส่วนคนที่บอกว่ารถยุโรปดีกว่า ก็ไม่ผิดในบริบทของเค้าเช่นกัน เค้าก็อาจให้น้ำหนักความสำคัญในเรื่องที่รถยุโรปทำได้ดีกว่า ตอบโจทย์ได้มากกว่า
อย่างเช่นคุณเจ้าของกระทู้บอกว่าใจไปค่ายยุโรปแล้ว ก็ด้วยบริบทที่เคยใช้รถญี่ปุ่นมาแล้ว ยังไม่เคยใช้รถยุโรป และเนื่องจากตอนนี้มีอายุเยอะแล้ว มีกำลังทรัพย์พอที่จะซื้อได้ ประกอบกับชอบเรื่องรถ จึงอยากจะสนองความฝัน
ผมบอกได้เฉพาะคันที่ผมเคยใช้มา (ย้ำครับว่าเฉพาะคันที่เคยใช้) ถ้าในด้านความทนทานของอะไหล่ที่ว่าอะไหล่แพงกว่าน่าจะทนกว่า ผมยังไม่เห็นความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญนะครับ
ที่แตกต่างก็คือ รถญี่ปุ่นที่ผมใช้เวลาเข้าศูนย์ ศูนย์จะซ่อมเรื่องไหนหรือจะเปลี่ยนอะไหล่ตัวไหน ราคาก็ไม่แพง
แต่รถยุโรปที่ใช้ ราคาเฉลี่ยต่อครั้งที่เข้าศูนย์ แพงกว่าตามสัดส่วนราคารถน่ะครับ ซึ่งตอนนี้ผมมีอู่นอกที่สนิทกันแล้วเนื่องจากใช้บริการกันมานาน เลยไม่มีปัญหาตรงนี้
อีกเรื่องคือ รถญี่ปุ่นคันที่ผมใช้เข้าศูนย์ ถ้าแค่เช็คระยะ ไม่ต้องนัดคิว และรับกลับได้เลยวันนั้น หรือถ้าค้างก็ใช้เวลาแค่ 2-3 วัน
ส่วนรถยุโรปที่ใช้ ถ้าเข้าศูนย์ มีหลายครั้งที่ใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ และบางยี่ห้อต้องนัดคิวเข้าซ่อมด้วย
แต่เดี๋ยวนี้รถยุโรปหลายค่ายมี warranty และบำรุงรักษาฟรี
ไม่เหมือนรถที่คุณเจ้าของกระทู้กับผมใช้อยู่ ที่ warranty 3 ปี (แบต 10 ปี , inverter ถ้าเคยอัพเดท software จากจดหมายที่เรียกให้อัพเดท ก็ประกัน inverter เพิ่มเป็น 10 ปี) ส่วนค่าบำรุงรักษา เจ้าของรถต้องจ่ายเองตั้งแต่ปีแรก
รายละเอียดแต่ละค่ายที่ให้บำรุงรักษาฟรี ก็ไม่เท่ากัน คงต้องไปดูในรายละเอียดของแต่ละค่าย (ไม่ได้ฟรีทุกรายการอะไหล่)
ถ้าคุณเจ้าของกระทู้บอกว่าใช้รถปีละสามหมื่นกว่ากิโล ใช้ประมาณ 150,000 กิโล แล้วขาย ก็เลือกค่ายที่ให้บำรุงรักษาฟรี 5 ปี ก็ได้ครับ และตอนขายก็ขายให้มีระยะเวลา warranty และบำรุงรักษาฟรีให้ผู้ซื้อไว้หน่อย เพื่อให้ผู้ซื้อเกิดความมั่นใจ ก็จะได้ราคาที่ดีกว่าขายเมื่อหมด warranty หมดบำรุงรักษาฟรี
พอมี warranty และบำรุงรักษาฟรีแล้ว ทีนี้มาดูเรื่องราคาขายต่อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็ลดลงใน % ที่ไม่เท่ากัน เท่าที่ผมเคยใช้เองและเคยศึกษาราคามาบ้าง ถ้ารถทั่วๆไป ไม่ใช่รถแนวพิเศษอะไร พอถึง 5 ปี benz bmw ราคาเหลือประมาณ 50% ของราคาที่ซื้อมา , volvo เหลือประมาณ 30% (ลองดูในเว็บพวก taladrod ก็ได้ครับ ปีนี้ปี 16 เราก็ดูรถปี 11 ว่าราคาเหลือประมาณกี่ % ของราคารถใหม่คันนั้น)
พอจะบอกได้มั๊ยครับว่าสนใจรถรุ่นไหนไว้บ้าง