ผู้เขียน หัวข้อ: แชร์ประสบการณ์ เปลี่ยนใบขับขี่จากไทย ไป นิวซีแลนด์  (อ่าน 48472 ครั้ง)

ออฟไลน์ NETGEAR98

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 26
ที่มาของเรื่อง

เนื่องจาก จขกท. ได้มีโอกาสมาเรียนต่อ ที่ นิวซีแลนด์ ซึ่งต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ขั้นต่ำก็ สามปี อย่างแน่นอน เลยคิดๆ ว่า น่าจะทำใบขับขี่ของที่นี่ ไว้เลย เวลามีกิจ หรือ อยากขับรถเที่ยวทางนี้ จะได้ ไม่มีปัญหา เลยตัดสินใจ แปลงใบขับขี่ไทย เป็นของที่นี่ ซะเลย

การค้นคว้าหาข้อมูล
แหล่งข้อมูล ที่สำคัญคือ ที่นี่คับ ท่านใดอยากอ่านเพิ่มเติม ก็สามารถเข้าไปอ่านได้เลย

http://www.aa.co.nz/drivers/driver-licences/

ทั้งนี้ ในการเล่าความครั้งนี้ ขอจะสรุป สั้นๆ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งอ่าน และเป็นผลดีกับท่านที่ ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง และไม่สะดวกที่จะไปนั่งอ่าน

ประโยชน์ ของใบขับขี่ นิวซีแลนด์

1.เมื่อได้ใบขับขี่มาแล้ว ท่านสามารถ ขับรถที่นี่ได้นั่นเอง (ข้อนี้ใครก็รู้ จะบอกทำไม)
2.ใบขับขี่ มีอายุ 10 ปี ถือว่าคุ้ม สำหรับการลงทุน
3.สามารถนำไปแปลง เป็นใบขับขี่ของประเทศชั้นนำอื่นๆ ได้เกือบทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ และ ยุโรป

แม้ว่า การใช้ใบขับขี่ที่ไทยนั้น เราสามารถใช้ใบขับขี่ จากบ้านเรามาใช้ที่นี่ ได้ 1 ปี นับจากวันที่เราเข้ามาที่นี่ โดยยึดตาม พาสปอร์ต ของเราได้ เพื่อนๆ จขกท. หลายคน ไม่ทำใบขับขี่ ที่นี่ เพราะ ทุกปีก็กลับบ้านอยู่แล้ว ยังไงก็อยู่ในจะยะเวลา 1 ปี แน่นอน (ข่าวไม่กรอง ล่าสุด อาจจะลดเหลือ แค่ 3 เดือน ในเร็วๆ นี้) และใบขับขี่รุ่นใหม่ ที่รองรับ AEC สามารถใช้ที่นี่ได้เลย ไม่ต้องไปแปลงเป็น International Driving Permit แต่อย่างใด รวมทั้ง ไม่ต้องไปแปล เพื่อนำมา แปลงใบขับขี่แต่อย่างใด

รายละเอียด ในการแปลงใบขับขี่

หลังจาก หาข้อมูล ได้ข้อมูล มาดังนี้
1.   ใบขับขี่จากไทย หากจะแปลง จะต้องไปสอบ ภาคทฤษฎี และ ปฏิบัติ ด้วย เมื่อผ่านทั้งสองอย่างจะได้ ใบขับขี่ แบบ Full License ซึ่งสามารถขับรถที่นี่ ได้เลย โดยไม่ต้องมี Supervisor ไปด้วย
2.   ทันทีที่สอบ ภาคทฤษฏีผ่าน ทาง AANZ จะออกใบขับขี่ชั่วคราว ซึ่งมีอายุ 10 ปีให้เรา โดยจะนำส่งทางไปรษณีย์มาให้ตามที่อยู่ที่เราแจ้งไว้ หรือจะมารับที่สาขาตัวแทนก็ได้

ข้อพิจารณาสำคัญตรงนี้ คือ ใบขับขี่ชั่วคราวที่ได้มานี้ ท่านต้องขับรถ โดยมี supervisor นั่งเบาะหน้าไปด้วย แปลว่า ท่านไม่สามารถขับรถคนเดียวได้ นั่นเอง  และ ทันทีที่ท่านได้ใบขับขี่ชั่วคราวนี้ ใบขับขี่จากไทย จะถูกยกเลิก ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป
Supervisor คือ คนที่มีใบขับขี่ของที่นี่ มาแล้ว ไม่น้อยกว่า สองปี
3.   หลังจากที่ท่าน ได้ใบขับขี่ชั่วคราวมาแล้ว ท่านจะต้องไปสอบใบขับขี่ full driver license เพื่อให้ได้ใบขับขี่ ฉบับสมบูรณ์ ซึ่งสามารถขับรถคนเดียวได้ ต่อไป

ค่าธรรมเนียมในการแปลงใบขับขี่ (หน่วยเป็น นิวซีแลนด์ดอลล่าร์, NZD)
1.ค่าสมัคร 52.10 NZD
2.ค่าสอบภาค ทฤษฎี 45.70 NZD
3.ค่าสอบภาค ปฏิบัติ 59.90 NZD

ขั้นตอน
1.กรอกใบคำขอ application for conversion of an oversea driver license form โดยสามารถ เข้าถึงได้จาก
http://www.nzta.govt.nz/assets/resources/application-conversion-overseas-licence-dl5/docs/dl5.pdf
2.ติดต่อ AANZ สาขาที่ท่านสะดวก พร้อมหลักฐาน ดังนี้
-ใบคำขอ ที่กรอกเรียบร้อยแล้ว (สามารถ ไปกรอกที่ สาขาได้เลย)
-ใบขับขี่ ที่ไทย หากใบขับขี่ ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ต้องไปแปล โดยแนบใบแปลมาด้วย
-พาสปอร์ต
-สำเนา ถ่ายเอกสารสี ของเอกสารด้านบนทั้งหมด
-ค่าใช้จ่ายสำหรับแปลงใบขับขี่ และหากต้องการจองวันสอบข้อเขียน(ทฤษฏี)ด้วย ก็จ่ายได้ในคราวเดียวกัน
3.หลังจาก ยื่นเอกสาร เจ้าหน้าที่ จะทำการตรวจสายตาเรา โดยจะให้ส่องเข้าไปในเครื่อง ในนั้นจะมีตัวเลข และให้อ่านตัวเลขให้ เจ้าหน้าที่ฟัง โดยมีหลายแถว อาทิเช่น อ่านแถวสอง จากซ้ายไปขวา เพื่อดูว่า สายตาเราปกติหรือไม่ จากนั้น ก็จะทดสอบลานสายตา โดยมองตรงๆ และให้ตอบว่า มีไฟติดด้านขวา หรือซ้ายของตัวเรา
4.เจ้าหน้าที่ จะถ่ายรูป สำหรับ ใช้เป็นรูปในใบขับขี่ของเรา
5.เจ้าหน้าที่ให้เลือกวันสอบข้อเขียน หรือหากพร้อม และเครื่องว่างก็สอบตอนนั้นได้เลย
6.ทันทีที่สอบผ่านข้อเขียน จะได้ใบแทน เป็นแผ่นยาวคล้ายๆ ตั๋วรถไฟ มาให้เราใช้ระหว่างรอใบขับขี่จริง จากทางไปรษณีย์
7.หากพร้อม สามารถนัดวันสอบภาคปฏิบัติได้เลยด้วย และแน่นอน จ่ายค่าสอบไปพร้อมกันด้วย
8.สอบภาคปฏิบัติ ทันที่ที่ผ่านก็จะได้ใบแทนให้ใช้ระหว่างรอใบจริง
9.ได้ใบขับขี่จริง จากไปรษณีย์

การสอบข้อเขียน
การสอบ เราจะทำในคอม โดยเป็นแบบตัวเลือก 4 ตัวเลือก ทั้งหมด 35 ข้อ การผ่านคือ ได้ตั้งแต่ 32 ข้อขึ้นไป
หากสอบตก ต้องเสียค่าสอบใหม่ และสามารถสอบใหม่ได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องเสียค่าสมัครใหม่
การเตรียมตัว สามารถเข้าไปอ่าน กฎจราจร และอื่นๆ ได้ที่นี่ https://www.nzta.govt.nz/resources/roadcode/

การสอบภาคปฏิบัติ
หลังจากที่นัดวัน เวลา และสถานที่สอบแล้ว การสอบนั้น ทาง เจ้าหน้าที่สอบ จะขึ้นมานั่งตรงที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้า และสั่งให้เราขับไปตามที่ต้องการ และดูว่า เราสามารถขับรถ ได้ตามมาตรฐานที่นี่หรือไม่ การสอบใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที และเมื่อเสร็จสิ้นการสอบ เจ้าหน้าที่จะแจ้งผลสอบ และให้ข้อแนะนำว่าตรงไหนที่ยังไม่ค่อยดีนัก หรือจุดไหนที่ต้องนำไปปรับปรุง
วีดีโอ การสอบ ภาคปฏิบัติ เผื่อท่านใดอยากทราบโดยคร่าวๆ



หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์ ต่อผู้สนใจทุกท่าน ผิดพลาดประการใด ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ท่านใดมีข้อซักถาม สามารถถามไถ่ได้เลยคับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 26, 2016, 06:02:06 โดย NETGEAR98 »

ออฟไลน์ chanvitjeab

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 170
    • อีเมล์
รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ขอบคุณครับ
สอบตกสอบใหม่ได้เรื่อยๆ จ่ายเฉพาะค่าสอบ เซฟค่าสมัครไปหน่อยก็ยังดีก็ยังดี  :D

ออฟไลน์ NETGEAR98

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 26
และเนื่องจากเป็นการแชร์ ประสบการณ์ ก็จะขอเล่าในส่วน ของการสอบให้อ่านด้วย

ภาคทฤษฎี

หลังจากเสียเงินไปเกือบๆ ร้อยดอล ก็มานั่งอ่านกฏจราจร และ ลองทำข้อสอบ ออนไลน์ โดยค้นจาก กูเกิ้ล นี่แหล่ะ มีเพียบ
แนะนำให้หัดทำเยอะๆ เพราะวันสอบจริง ข้อสอบก็สุ่มมาจาก ข้อสอบเหล่านี้นี่เอง

ข้อที่ต้องเน้น เพราะต้องจำ และอย่าลืมว่า ผิดได้ไม่เกินสามข้อ เท่าที่จำได้ เช่น

-ระยะห่างที่ต้องเว้นระหว่างรถของเรา กับ คนปั่นจักรยาน
-กรณีลากจูง ต้องวิ่งด้วยความเร็ว เท่าใด
-หากลากจูงระยะห่าง ระยะห่างรถ และความยาวทั้งหมด
-กรณีวิ่งผ่านรถโรงเรียน ความเร็วที่ต้องใช้ หรือผ่านเขตโรงเรียน ในวันที่โรงเรียนเปิดเรียน
-หากวิ่งผ่าน จุดที่มีป้าย อุบัติเหตุ ต้องวิ่งด้วยความเร็วเท่าใด

ที่เหลือ จะเป็น ทั่วๆ ไป ซึ่งเป็นกติกาสากลทั่วโลก เช่น การให้ทาง ไฟแดง ไฟเขียว ไม่น่าหนักใจอะไร

ส่วนตัวคิดว่า ไม่น่ามีปัญหาในการสอบ

กรณีที่ภาษาไม่แข็งแรง สามารถมี Interpretator มาในวันสอบได้ สามารถแจ้งวันจองคิวได้

ภาคปฏิบัติ
ส่วนนี้ บอกเลยว่า ความเครียด จะสูงมาก เพราะการจะผ่านนั้น ต้องเป๊ะจริงๆ

โดยวันสอบ เราต้องไปถึง ที่สอบอย่างน้อย 15 นาที โดยไปแจ้งที่ เคาเตอร์ว่ามาแล้ว นำใบขับขี่ชั่วคราวมาแสดงด้วย

เมื่อถึง เวลาสอบ
1. เจ้าหน้าที่ จะมาแนะนำตัว และตรวจสอบข้อมูล และอธิบาย เกี่ยวกับการสอบ ให้เรากรอกข้อมูล ตรวจสอบที่อยู่ และลงชื่อใน แทบเบล็ด
2.เจ้าหน้าที่ ไปที่รถของเรา โดยเราต้องนำรถมาเองนะ จากนั้นจะตรวจสอบรถของเรา โดยให้เราเปิดไฟเลี้ยว ไฟหน้า เบรก กรณีที่ฝนตกจะดูด้วยว่า ที่ปัดนำ้ฝน ใช้งานได้ดี หรือไม่ ตรวจสอบว่าเรารู้ไหมว่า ปุ่มต่างๆ ในรถ มีอะไรบ้าง อยู่ตรงไหน และให้เราชี้ให้ดู
3.เจ้าหน้าที่ขึ้นมานั่งในรถ ติดกระจกตรงหน้า เจ้าหน้าที่ เพื่อส่องหน้าคนขับ โดยใช้เพื่อดูว่า เราได้มีการ มองซ้าย ขวา หรือตรวจสอบสิ่งต่างๆ รอบตัวหรือไม่
4.เจ้าหน้าที่ จะสั่งให้เรา ขับไปตามที่ต่างๆ เช่น เลี้ยวซ้ายข้างหน้า เลี้ยวขวา เข้าวงเวียนและระบุให้ออกที่ทางออกใด สั่งให้ กลับรถ และอีกมากมาย
5.เมื่อจบการสอบ เราจะรู้ว่า ผ่านหรือไม่ ถ้าผ่านก็จะยึดใบขับขี่ชั่วคราวเราไปเลย ให้ตั๋วรถไปมาแทน
6.กลับบ้าน ฉลอง

สิ่งที่ต้องตระหนัก ในการสอบปฏิบัติ
เท่าที่รวบรวม มาได้นะคับ
1.ขับช้าโดนใบเหลือง แปลว่า error นั่นเอง โดยถ้า error เหล่านี้ เกินจำนวนที่กำหนด ก็จะสอบตกทันที
2.วงเวียน หากมีช่วงที่ว่าง ต้องเข้าทันที หากตัดสินใจช้าเกิน 6 วินาที ถือว่าตก และต้องเปิดไฟเลี้ยวให้ถูกต้อง โดยหากจะตรงไป ไม่ต้องเปิดไฟเลี้ยว ทันทีที่ผ่านทางออก ก่อนที่เราจะออก ให้เปิดไฟเลี้ยว เพื่อให้คันอื่นทราบว่า เราจะออกจากวงเวียนแล้ว
3.ขับเร็วไม่รอด สามารถเกินได้ แต่ต้องไม่เกิน 5 โลต่อชั่วโมง และ ไม่ติดต่อกันเกิน ห้าวินาที เช่นเดียวกับขับช้า จัดเป็น error นำไปนับรวมตอนท้าย
4.ป้ายหยุด แปลว่า ล้อต้องหยุดนิ่ง เมื่อว่างจึงค่อยไป
5.ป้ายให้ทาง ชะลอได้ หากไม่มีรถก็ไปได้เลย
6.ทางคนข้าม หรือทางม้าลาย ห้ามหยุดรถขวางเด็ดขาด ถ้าหยุดตรงนั้น ตกทันที
7.ขับรถแล้ว ไปชนคันอื่น ตกทันที
8.ไฟเขียว แต่ทางข้างหน้าไม่มีช่อง แปลว่า ห้ามไป ให้รอจนมีที่ว่างข้างหน้าก่อน จึงจะไปได้
9.เลี้ยวซ้าย ไฟเขียวตรงไป เราเลี้ยวซ้ายได้ แต่ต้องให้คนข้ามถนนไปก่อน ยกวเ้นมีไฟแดงว่าห้ามเลี้ยว หรือให้เลี้ยวซ้ายได้โดยตรง
10.ขับช้ามากชิดซ้ายก็ไม่ได้ ต้องขับตามความเร็วที่กำหนดเท่านั้น ถือว่า กีดขวางคนอื่น ชิดซ้ายและวิ่งด้วยความเร็วเหมาะสมเท่านั้น
11.ป้ายความเร็ว แปลว่า ในสภาวะปกติ คือ ถนนไม่เปียกลื่น ถ้าฝนตกถนนลื่นต้องลดความเร็ว
12.ไม่ว่าจะขึ้นเนินหรือลงเนิน ความเร็วก็ต้องคงที่ จะอ้างว่าขึ้นเนินเลยขับช้าลง ไม่ได้ ต้องรู้เองว่าต้องกดคันเร่งเพิ่ม ตอนลงเนินก็เช่นกัน
13.ขับช้าแบบเดียว จะโดนจี้ท้ายทันที นั่นแปลว่า เราช้า ต้องเพิ่มความเร็ว ถ้าขับเท่าๆ กันหมด จะไม่มีใครมาจี้ท้าย และเราไม่ต้องไปจี้ท้ายใคร

เท่าที่รวมๆ มาคับ คิดว่า น่าจะพอมีสาระบ้าง

ออฟไลน์ NETGEAR98

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 26
รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ขอบคุณครับ
สอบตกสอบใหม่ได้เรื่อยๆ จ่ายเฉพาะค่าสอบ เซฟค่าสมัครไปหน่อยก็ยังดีก็ยังดี  :D

ค่าสมัคร จ่ายทีเดียวจบครับ และขอคืนไม่ได้ทุกกรณี เป็นค่าทำระบบ
กรณีสอบตกก็จ่ายเฉพาะค่าสอบนั้นๆ ทั้งภาคทฤษฏี และปฏิบัติครับ ไม่มีกำนดจำนวนครั้ง แปลว่า ถ้าคิวว่าง และงบเยอะ ก็สอบซ่อมได้เรื่อยๆ จนกว่าจะผ่าน
ค่าสอบนี้ หากแจ้งล่วงหน้า เช่นทราบว่าติดงาน สามารถยกเลิกได้ และจะโดนหักไปประมาณ 16 ดอล หรือสามารถเลื่อนวันสอบได้เช่นกัน



ออฟไลน์ mairuna

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 140
 8) 8) 8)
ข้อมูลน่าสนใจ เคยคิดหาข้อมูลสอบใบอินเตอร์ แต่หมดโอกาสพเนจรแล้วตอนนี้  :'( :'( :'(
ดริฟทุกโค้ง กระจายทุกชิ้น = . ='

ออฟไลน์ tarahlm

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 909
ถ้าผู้ขับขี่ในบ้านเราเข้าใจรู้แบบเขาและนำไปปฎิบัติด้วย คงช่วยลดปัญหาการจราจรได้เยอะ

น่าสนใจมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงข้อตระหนักในภาคปฏิบัติ เช่น

1.ขับช้าโดนใบเหลือง แปลว่า error นั่นเอง โดยถ้า error เหล่านี้ เกินจำนวนที่กำหนด ก็จะสอบตกทันที
10.ขับช้ามากชิดซ้ายก็ไม่ได้ ต้องขับตามความเร็วที่กำหนดเท่านั้น ถือว่า กีดขวางคนอื่น ชิดซ้ายและวิ่งด้วยความเร็วเหมาะสมเท่านั้น

บ้านเมืองเรา ขับช้าอย่างไร ถือเข้าใจกันว่าไม่ผิดกฏหมาย
 

8.ไฟเขียว แต่ทางข้างหน้าไม่มีช่อง แปลว่า ห้ามไป ให้รอจนมีที่ว่างข้างหน้าก่อน จึงจะไปได้
ของเราต้องรีบออกไปจ่อ กลัวจะไม่ได้ไปในไฟนั้น ออกไปแล้วติดค้างเป็นไฟแดงก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ไปคันหลังก็บีบแตรไล่อีก

4.ป้ายหยุด แปลว่า ล้อต้องหยุดนิ่ง เมื่อว่างจึงค่อยไป
ของเราเหมือนมองไม่เห็นว่าป้ายนี้มีอยู่จริง

6.ทางคนข้าม หรือทางม้าลาย ห้ามหยุดรถขวางเด็ดขาด ถ้าหยุดตรงนั้น ตกทันที
เห็นจอดติดเหยียบขวางกันบ่อยๆไป จนมองเป็นเรื่องธรรมดา

รายละเอียดบางอย่าง เราไม่ได้เน้น ไม่ได้จริงจังกัน รวมไปถึงในการสอบใบขับขี่
ถ้ามีการทำความข้าใจให้ผู้ขับขี่ทุกคน ก็จะไม่มีปัญหาในการปฏิบัติ
...เช่น ไม่โดนบีบแตรไล่ทั้งที่ก็ทำถูกต้องอยู่แล้ว





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 26, 2016, 20:14:31 โดย tarahlm »

ออฟไลน์ Fly to dream

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 11,654
ถ้าเอามาสอบในไทยผมคิดว่าคนตกกัน 99.5%  ;D ;D ;D
ขยะของโลกออนไลน์​ในปัจจุบั​นคือเชื่อคนโง่ที่มีคำพูดสวยหรู​ หาข้อมูล​ไม่จริงมาโกหกคำโตๆ​ อีกอย่างคือพูดความจริงไม่หมด กับพวก​ Avatar ที่ทำเป็น​เก่ง​แต่เก่งน้อยในโลกความจริง​ซึ่งจะหาได้ง่าย

ออฟไลน์ NETGEAR98

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 26
ถ้าผู้ขับขี่ในบ้านเราเข้าใจรู้แบบเขาและนำไปปฎิบัติด้วย คงช่วยลดปัญหาการจราจรได้เยอะ

น่าสนใจมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงข้อตระหนักในภาคปฏิบัติ เช่น

1.ขับช้าโดนใบเหลือง แปลว่า error นั่นเอง โดยถ้า error เหล่านี้ เกินจำนวนที่กำหนด ก็จะสอบตกทันที
10.ขับช้ามากชิดซ้ายก็ไม่ได้ ต้องขับตามความเร็วที่กำหนดเท่านั้น ถือว่า กีดขวางคนอื่น ชิดซ้ายและวิ่งด้วยความเร็วเหมาะสมเท่านั้น

บ้านเมืองเรา ขับช้าอย่างไร ถือเข้าใจกันว่าไม่ผิดกฏหมาย
 

8.ไฟเขียว แต่ทางข้างหน้าไม่มีช่อง แปลว่า ห้ามไป ให้รอจนมีที่ว่างข้างหน้าก่อน จึงจะไปได้
ของเราต้องรีบออกไปจ่อ กลัวจะไม่ได้ไปในไฟนั้น ออกไปแล้วติดค้างเป็นไฟแดงก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ไปคันหลังก็บีบแตรไล่อีก

4.ป้ายหยุด แปลว่า ล้อต้องหยุดนิ่ง เมื่อว่างจึงค่อยไป
ของเราเหมือนมองไม่เห็นว่าป้ายนี้มีอยู่จริง

6.ทางคนข้าม หรือทางม้าลาย ห้ามหยุดรถขวางเด็ดขาด ถ้าหยุดตรงนั้น ตกทันที
เห็นจอดติดเหยียบขวางกันบ่อยๆไป จนมองเป็นเรื่องธรรมดา

รายละเอียดบางอย่าง เราไม่ได้เน้น ไม่ได้จริงจังกัน รวมไปถึงในการสอบใบขับขี่
ถ้ามีการทำความข้าใจให้ผู้ขับขี่ทุกคน ก็จะไม่มีปัญหาในการปฏิบัติ
...เช่น ไม่โดนบีบแตรไล่ทั้งที่ก็ทำถูกต้องอยู่แล้ว

อยากเห็นบ้านเรา ทำได้มากๆ คับ คงลดอุบัติเหตุลงได้เยอะ และเป็นระเบียบขึ้นมากมาย

ออฟไลน์ NETGEAR98

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 26
ถ้าเอามาสอบในไทยผมคิดว่าคนตกกัน 99.5%  ;D ;D ;D

ไม่เฉพาะ ไทย ที่ตก หลายๆ ประเทศก็ตกเช่นกัน (เพื่อนๆ เราเยอะมาก ไม่เหงาแน่นอน วันไปสอบ อาตี๋ อาหมวย และแขกตรึม)

โดยประเทศที่ได้รับการรับรองว่า ขับขี่ได้มาตรฐาน ของที่นี่ คือ
Australia, Austria, Belgium, Canada, Denmark, Finland, France, Germany, Greece, Hong Kong, Ireland, Italy, Japan, Luxembourg, The Netherlands, Norway, Portugal, South Africa, South Korea, Spain, Sweden, Switzerland, The United Kingdom, United States of America.

ถ้ามีใบขับขี่ จากประเทศเหล่านี้ ตามเงื่อนไข คือ ได้มาแล้วในระยะเวลาหนึ่ง สามารถนำมาเปลี่ยนเป็นใบขับขี่ของที่นี่ได้เลย
ไปยื่นเอกสาร แล้วได้ใบขับขี่ของที่นี่เลย ไม่ต้องสอบซักกะภาค

และขณะเดียวกัน ก็สามารถนำใบขับขี่ ของที่นี่ ไปแปลง เป็นใบขับขี่ ของประเทศ ตามรายการข้างบนได้ทันทีเช่นกัน
จะเห็นได้ว่า แม้ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องเข้มเรื่องจราจร อย่าง ญี่ปุ่น ก็ยอมรับใบขับขี่ของที่นี่ด้วย ดีงามมากๆ

ออฟไลน์ SM.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 23,021
ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ NETGEAR98

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 26
ไหนๆ ก็พูดถึงสิ่งที่เราคนไทย ไม่ค่อยให้ความสำคัญมาเยอะแล้ว

แล้วสิ่งใดหล่ะ ที่เราคนไทยทำถูกต้องแล้วบ้าง ที่หลายๆ คนคิดว่าไม่ควร แต่ไม่น่าเกลียดหากทำที่นี่
สิ่งนั้น คือ เมื่อไฟเขียว ต้องรีบไปในทันที ทันทีที่ช้า คุณจะโดนบีบแตรไล่ในทันที การโดนบีบแตรไล่ แปลว่าคุณช้า ไม่รีบไปนั่นเอง

เหตุผลง่ายๆ คือ ที่นี่ ไฟเขียวจะสั้น เมื่อไฟเขียวรถต้องรีบออกทันที หากใครชักช้า จะทำให้จำนวนรถที่จะไปได้แต่ละไฟเขียวลดลงในทันที
และเมื่อมีมากขึ้นก็สะสมไปเรื่อยๆ จนทำให้รถติดมากขึ้นนั่นเอง

หากใครได้มีโอกาสไปต่างประเทศตามแถบที่ว่ามา เวลาไฟเขียวคุณจะรู้สึกได้ว่า แทบจะออกตัวล้อฟรี กันเลยทีเดียว สิ่งนั้นถูกต้องแล้ว

การชักช้า ตอนไฟเขียว หากช้าเกินงาม ก็จะโดนบันทึกเป็น error ด้วยเช่นกัน และนำไปนับรวมตอนท้าย และอาจนำไปสู่การสอบตกได้ในท้ายที่สุด
และหากเราเป็นคนข้ามถนน ต้องระวังในส่วนนี้ให้ดี เวลาใกล้หมดเวลาข้าม แนะนำว่า อย่าเสี่ยงข้ามถนนในขณะนั้น รอไฟข้ามถนน ครั้งต่อไป ดีกว่า


ส่วนถัดมา คือสิ่งที่เราแทบไม่เคยสนใจทำ หรือแทบไม่รู้จักด้วยซำ้ อันนี้ จขกท. ก็ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ ไม่เคยทำ และคิดว่า ไม่จำเป็นด้วย

สิ่งนั้นคือ การทำ Should check เพื่อดู Blind spot นั่นเอง
ลองดูที่ วีดีโอ นะคับ



ในวีดีโอ ผู้ชาย จะเดินไปรอบๆ ตัวรถ แล้วให้คนขับ บอกว่ายังเห็นตัวเขาหรือไม่ และจะเห็นว่า จุดบอดสายตา จะอยู่ตรงเยื้องๆ ตัวรถทั้งสองฝั่ง (ในคลิปคือ รถคันสีเขียว และ มอเตอร์ไซด์ นั่นเอง)

การทำ shoulder check นี้ จึงกำหนดให้คนขับต้องทำ เมื่อจะเปลี่ยนเลน เมื่อจะออกจากการจอดขนาน เมื่อจะร่วมเล่นกับเลนอื่น หรือเลี้ยวผ่านทางจักรยาน เป็นต้น

ตอนท้ายคลิป เป็นตัวอย่างที่ว่าทำไมจึงต้องทำ shoulder check หากต้องการจะเปลี่ยนเลน โดย CR-V คันสีดำ คือ รถที่วิ่งตีคู่มากับคันสีแดง แล้วอยู่ในจุดที่เป็น จุดอับสายตาพอดี จะเห็นว่า การทำ shoulder check จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้นั่นเอง

แม้ว่า ในปัจจุบัน ผู้ผลิตรถ หลายๆ เจ้า จะพยายาม ใส่ ออปชั่น เพื่อช่วยลด หรือช่วยบรรเทาปัญหาตรงนี้มาให้ แต่ในการสอบ เจ้าหน้าที่จะยังตรวจสอบจุดนี้ด้วยเช่นกัน การไม่ทำ shoulder check ถือเป็น error อย่างหนึ่ง ถ้าขับรถระหว่างสอบโดยไม่ทำ shoulder check เลย นับรวมตอนท้าย ยังไงก็ตกแน่นอน

ตัวอย่าง ออปชั่น ที่แก้ปัญหา หรือบรรเทาปัญหานี้ ได้แก่

-Honda Lane Watch จาก Honda ช่วยเช็คจุดอับสายตา ฝั่งตรงข้ามกับผู้ขับขี่
-Blind spot monitoring หรือ blind spot warning ตรงนี้ก็มีไว้แก้ปัญหา เหล่านี้ เช่นกัน
-etc.




ออฟไลน์ ps000000

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,153
ได้ความรู้ครับ  :-*

ออฟไลน์ NETGEAR98

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 26
ล่าสุดมีน้องคนไทย ปรึกษาเรื่องสอบใบขับขี่ เลยไปลองค้นหา วีดีโอ เกี่ยวกับ เส้นทางที่ใช้สอบ
ผมไปเจอ คลิปหนึ่ง เป็นที่เดียวกับที่ผมไปสอบ เพื่อให้ท่านที่สนใจ ได้รับทราบบรรยากาศจริงๆ ตอนสอบ และสอบยังไง



บ้านเรา เห็นแวบๆ ว่าจะเข้มเรื่องสอบใบขับขี่ ถ้าทำได้แบบทางนี้คงจะดี แต่ ในการปฏิบัติจริง คงไม่ง่าย ไหนจะเรื่องคนสอบ กรรมการ เกณฑ์ที่จะใช้ รวมทั้ง ถ้าสอบแต่คนละใช้เวลาเกือบ สี่สิบนาที จะไหวไหม