ทำไมคนทั่วไปถึงยังเข้าใจว่าเค้าผลิตรถกันเป็นล๊อตๆอยู่ล่ะครับ ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ
การผลิตรถสมัยใหม่ไม่ได้ทำกันเป็น lot แล้วนะครับ เค้าทำเป็นสายการผลิตแบบปรับเรียบ
หรือเรียกว่า Leveled Production (Hei-jun-ka) นั่นคือไม่ได้ทำทีละ 1,000-2,000 คันแล้วก็หยุดเปลี่ยนรุ่นนะครับ
มันผลิตกันหลากหลายรุ่นพร้อมๆกัน คละสี คละรุ่น บางโรงงานสามารถผลิต 400-500 แบบพร้อมๆกันในสายการผลิตเดียวกัน
และผลิตแบบต่อเนื่องแทบไม่มีการหยุดพัก โดยเฉพาะโรงพ่นสีที่หยุดไม่ได้ เพราะค่า start up แพงมาก
โรงประกอบจะหยุดกันก็แค่ตอนเปลี่ยนกะกับเสาร์อาทิตย์ ที่เหลือเนี้ยผลิตล้วนๆ เวลาคือเงินครับ
ปัญหาที่เกิดขึ้นของรถยนต์ที่ขายในท้องตลาด ถ้าเป็นปัญหาจากทักษะ (skill) คนประกอบ/ผลิต
โดยส่วนใหญ่จะเข้าที่เข้าทางตั้งแต่ 1-2 เดือนแรกของการผลิตแล้ว แต่ก็ขึ้นกับปริมาณรถที่ประกอบด้วย
ถ้ามีรถปริมาณมากๆเช่น 1,000-2,000 คันต่อรุ่นในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
skill พนักงานจะเข้าที่เข้าทางได้เร็วกว่ารถที่มีการผลิตปริมาณน้อยๆ
ดังนั้น รถที่มียอดการผลิตมากๆต่อรุ่นจะได้เปรียบในแง่การพัฒนา skill พนักงาน
ถ้าพูดถึง skill พนักงาน เวลาเปลี่ยนคนประกอบ (เพราะลาออก เปลี่ยนตำแหน่งงาน ฯลฯ) มันก็มีผลกระทบ
ก็ขึ้นกับว่าระบบการพัฒนา skill พนักงานโรงงานนั้นๆแข็งแกร่งแค่ไหน
ระบบประกันคุณภาพเข้มข้นเพียงใดที่จะไม่ทำให้ความผิดพลาดจากคนหลุดออกไปหาลูกค้า
ปัญหาที่คนใช้รถใหม่ช่วงแรกๆพบกัน ที่บอกว่าประกอบไม่ดี อ้า หลุด เสียงดัง หยั่งโง้นหยั่งงี้ ฯลฯ
ถ้าวิเคราะห์กันดีๆจะพบว่าส่วนใหญ่มันไม่ได้เกิดจากคนประกอบ แต่เกิดจากคุณภาพชิ้นส่วน
ที่เมื่อเดินกำลังการผลิตเต็มสูบแล้วได้คุณภาพไม่เหมือนกับช่วงที่ทดลองผลิต
ในกรณีนี้ขึ้นกับผู้ผลิตชิ้นส่วนจะเก่งขนาดไหนที่จะทำให้มันเข้าที่เข้าทางได้เร็ว
แต่ในหลายๆกรณีก็ไม่ได้เกิดจากคุณภาพชิ้นส่วน แต่เกิดจากโครงสร้างการประกอบที่ไม่ดี
ควบคุมมีคุณภาพดีได้ยาก ว่าง่ายๆคือต่อให้ชิ้นส่วนมันมา OK ทุกชิ้น
แต่ประกอบแล้วมันก็ยังอ้า หยังหลุด ยังเสียงดังได้ กรณีแบบนี้ต้องแก้ที่ design
ซึ่งใช้เวลา หลายครั้งเป็นเดือนเป็นปีกว่าจะได้รับการแก้ไขอย่างถาวร
โดยทั่วไปยี่ห้อไหนที่มีศูนย์วิจัยในไทย หรือมีตลาดประเทศไทยเป็นตลาดหลัก
ปัญหา design จะได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว เพราะไทยจะถูกให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
ยกเว้ณ บริษัทแม่ใหญ่มันงี่เง่า หยั่งงี้ก็ต้องต่อสู้กันนานหน่อยกว่าจะได้มาซึ่งของดีให้คนไทยได้ใช้
หลายครั้งปัญหาที่ผู้ใช้งานพบไม่ได้เป็นปัญหาที่จะเจอกันเวลาทดลองผลิต
แต่จะเจอเมื่อใช้งานไปซักระยะเวลาหนึ่ง และเผลอๆไม่ได้เจอกันทุกคัน
อาจเจอเป็นบางคัน (จาก variation จากผลิต) และบางคน (variation จากวิธีการใช้งาน)
ดังนั้น ต่อให้ผู้ผลิตเอารถทดลองไปวิ่งล้านกิโลก็ใช่ว่าจะเจอปัญหา
แล้วหยั่งงี้ตอนจะซื้อรถควรจะซื้อตอนไหนล่ะ??? ผมแนะนำหยั่งงี้ละกันครับ1. รถยี่ห้อไหนที่มีศูนย์บริการและทีมช่างเทคนิคและวิศวกรจากบริษัทแม่ที่ให้ความเชื่อมั่นกับคุณได้ ไม่ทิ้งคุณแน่ๆ
ซื้อไปเถอะครับ แม้มันจะเป็นช่วงแรกๆของการผลิต ชีวิตคุณกับรถที่ซื้อมาสบายแน่ๆ เพราะเค้าไม่ทิ้งคุณ
แค่คุณไม่งอแงงี่เง่าขออะไรไม่เป็นเรื่อง เช่น น้ำเข้าไฟหน้าแต่ขอเปลี่ยนรถใหม่ อันนี้งี่เง่าไปหน่อยครับ
น้ำเข้าไฟหน้าก็ให้เขาเปลี่ยนไฟหน้าไปสิครับ จะเปลี่ยนรถทำไม!?
หรือเกียร์เสียงดังแต่ไม่ยอมให้เปลี่ยนเกียร์ใหม่ แล้วเสียงมันจะหายมั้ยครับ ใช้หัวคิดหน่อยสิ
คนที่ผลิตรถให้พวกคุณใช้มันก็คนไทยครับ อยากให้คนไทยได้ใช้ของดีๆอยู่แล้ว
ทำหยั่งกะเค้าอยากปล่อยของห่วยๆมาให้ใช้ กะจะโกงเห็นแก่ได้หยั่งงั้นแหละ จะงี่เง่าทำไม!?
ให้โอกาสพวกเขาได้วิเคราะห์และแก้ไขหน่อยสิครับ อย่างอแงงี่เง่า พูดแล้วของขึ้น...
แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วซ่อมแล้วมันยังเป็นรอบสองรอบสาม เปลี่ยนเกียร์ 2 ลูกแล้วนะแต่ยังดัง จะเอาอีกกี่ลูก!?
แบบนี้จัดหนักเลยครับ เอาให้เต็มตีน อัดให้เต็มสูบ อย่าไปยอมครับ สิทธิผู้บริโภค
2. รถยี่ห้อไหนที่มีศูนย์บริการและทีมช่างเทคนิคที่ไม่ได้เรื่อง วิศวกรจากบริษัทแม่ก็ไม่สน มีประวัติปล่อยเกาะลูกค้า
รอครับ ไม่ต้องรีบซื้อ รอให้มีหนูทดลองก่อน ผมแนะนำให้รอราวๆ 6 เดือนเป็นอย่างน้อย
เพื่อให้พอมีหนูทดลองวิ่งไปราวๆ 10,000-20,000km ก่อน แล้วรอฟังเสียงบ่นจากคลับต่างๆครับ
แล้วค่อยเอาข้อมูลที่ว่ามาตัดสินใจต่อว่าเราจะเอาเงินของเราไปเสี่ยงกับมันดีมั้ย
เช่น 6 เดือนผ่านไปแล้ว มีประวัติรถขึ้นยานแม่ไปแล้ว 6 คัน เราก็ต้องมาคิดแล้วครับว่า
รถที่เราคิดว่าขับแล้วหล่อจะได้หล่อเพราะได้ขับ หรือหล่อเพราะจอดบนยานแม่