ผู้เขียน หัวข้อ: ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ PPV/SUV บ้านเราราคาแพงเกือบD-Seg ญี่ปุ่นแต่Optionน้อยกว่า  (อ่าน 8607 ครั้ง)

ออฟไลน์ Auto Messe

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 400
บางยี่ห้อแพงเพราะบวกกำไรล้วนๆครับ ฟอร์จูนเนอร์รุ่นแรกแพงสุดล้านสองแล้วค่อยๆปรับราคาขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงล้านสี่ รุ่นใหม่นี่ตั้งราคากันถึงล้านเจ็ดคนก็ยังซื้อกันอยู่ แพงกว่ารถปิ๊กอัพพื้นฐานเดียวกันเกือบสองเท่า คิดยังไงก็ไม่มีเหตุผลรองรับนอกจากกำไรล้วนๆ ขณะที่คู่แข่งยังตั้งราคากันไว้ที่ล้านสองถึงล้านสี่ได้อยู่เลย

ขอเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ ถ้าเทียบต้นทุนกับราคากระบะต้องบวกภาษีให้เท่ากับ ppv ด้วยนะครับ
เพราะกระบะป้ายเขียว ภาษีจะถูกมากเหมือไม่มีภาษี ส่วนราคา ppv คือบวกภาษีแพงที่ระดับแพงกว่า
ขึ้นไปแล้ว ดูจากชิ้นส่วนที่เพิ่มขึ้น อุปกรณ์ต่างๆ มันมากกว่ากระบะพื้นฐานเยอะ ดังนั้นส่วนตัวผมคิดว่า
ราคาของ ppv กลุ่มใหญ่ ยังอิงเรื่องต้นทุนเป็นหลักและตั้งกำไรไว้ในระดับที่เหมาะสมอยู่ครับ

ราคา ppv ที่เกาะกลุ่มกันอยู่ผมโอเค ส่วน For ที่สูงกว่าคนอื่นเค้า ผมคิดว่าอาจจะ..
1 รถมีความนิยม ทำให้ตั้งราคาสูงได้ (ฟันกำไร)
2 อาจจะลงทุนกับความทนทานของชิ้นส่วนเยอะ กดราคาต้นทุนสู้คู่แข่งไม่ได้
(part ทน กับรถ set มาขับไม่ค่อยดีนี่คนล่ะเรื่องกันนะครับ)
สรุปของอะไรที่ตลาดๆ เป็นที่นิยม demand เยอะ ทุกวงการผมว่าชอบขึ้นราคาแพงกว่าชาวบ้าน
ในรุ่นเท่าๆ กัน option พอกันหรือน้อยกว่า
แต่ถ้าวงการไหน เจ้าตลาดเจือกตั้งราคามาเท่าคู่แข่ง option เท่ากันหรือมากกว่า
แปลว่าเจ้าตลาดตลาดนั้นต้องการกำจัดคู่แข่งละ สุดท้ายจะกลายเป็นผูกขาด แล้วพอไม่มีคู่แข่ง
ก็จะสามารถตั้งราคาเท่าไหร่ก็ได้

ดังนั้นผมยังเอียงๆ ไปข้อ 2 คือเจ้าตลาดคุมต้นทุนไม่ได้เพราะลงทุนไปด้านคุณภาพ
ส่วนการตั้งเพื่อฟันกำไรในข้อ 1 ก็คงทำด้วย แต่ไม่ได้เต็มที่เพราะตลาดยังมีการแข่งขัน
ซึ่งไม่มีเหตุผลใดๆ ที่โตจะไม่อยากกำจัดคู่แข่ง volume สั่งผลิตเยอะ ก็ต้องกดราคาขาย
ต่ำกว่าได้อยู่แล้วในสเป็ค part ที่เท่าๆ กัน แล้วก็ฆ่าคู่แข่งได้ง่ายๆ
แต่สังเกตุดูเหมือนจะทำไม่เคยได้ แต่ได้เรื่องความนิยมในเรื่องความทนทานกับไม่ค่อยมีปัญหาแทน

คหสต นะครับ ส่วนตัวผมไม่ชอบ for ปัจจุบันเพราะรูปร่างมันยังใช้ตัวเดิมมาโมอยู่
ไม่ได้เขียนเชียร์ for นะครับแต่อาจจะมองต่างมุม
ผมถึงลองเปรียบเทียบต้นทุน และราคาขายระหว่าง PPV diesel อย่าง Fortuner และ CX5 2.2 diesel ล่ะครับ
เห็นภาพชัดเลย ว่า PPV ขายแพงและออฟชั่นน้อยมาก
SUV ต้นทุนเครื่อง ดีเซลแพงกว่าเยอะครับ แพงเพราะค่า investment/Volume แล้วราคาแม่พิมพ์ต่อชิ้นมันแพงมากครับ
ผมรู้โครงสร้างต้นทุนดี และก็รู้ว่า Fortuner เดี๋ยวนี้ขายแพงเอากำไรมากกว่าตัวเก่าๆมากๆๆๆๆๆ ออฟชั่นก็ไม่ได้มากกว่าตัวแรกๆเท่าไหร่
แต่ราคาดันขึ้นมาตั้ง 4- 5 แสน แพงจากอะไรครับ ผมขอเหตุผลหน่อย (ผมหักภาษีให้ แสนห้าแล้วกัน เหลืออีก 3แสนกว่า คืออะไรครับ)

นี่แหละครับที่ผมกำลังพยายามจะบอก ราคาเดิมของnew fortuner กับ new everestก่อนอัตราภาษีใหม่ ตัวท๊อปตั้งไว้ที่เท่ากัน 1.59 ลบ. พอโดนอัตราภาษีใหม่ 25% everest ต้องขึ้นไปเต็มพิกัด 1.5 แสนบาท แต่ fortuner ปรับราคาแค่ 3 หมื่นบาทเพราะอะไรครับ เพราะราคาที่ตั้งไว้แต่แรกนั้นบวกกำไรและอัตราภาษีใหม่ไว้แล้ว ราคารถที่โตโยต้าตั้งไว้ส่วนใหญ่คือพร้อมที่จะตัดเป็นส่วนลดเป็นแสนบาทถ้ารถเกิดขายไม่ดีหรือค้างสต็อค แต่ถ้ารถเกิดขายได้เพราะการตลาดเก่ง โรงงานก็จะได้กำไรมหาศาล ไม่อย่างนั้นโบนัสพนักงานไม่เป็นสิบเดือนมาทุกๆปีได้หรอกครับ

ออฟไลน์ Dark Overlord

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,803
  • Hail to the darkside
บางยี่ห้อแพงเพราะบวกกำไรล้วนๆครับ ฟอร์จูนเนอร์รุ่นแรกแพงสุดล้านสองแล้วค่อยๆปรับราคาขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงล้านสี่ รุ่นใหม่นี่ตั้งราคากันถึงล้านเจ็ดคนก็ยังซื้อกันอยู่ แพงกว่ารถปิ๊กอัพพื้นฐานเดียวกันเกือบสองเท่า คิดยังไงก็ไม่มีเหตุผลรองรับนอกจากกำไรล้วนๆ ขณะที่คู่แข่งยังตั้งราคากันไว้ที่ล้านสองถึงล้านสี่ได้อยู่เลย

ขอเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ ถ้าเทียบต้นทุนกับราคากระบะต้องบวกภาษีให้เท่ากับ ppv ด้วยนะครับ
เพราะกระบะป้ายเขียว ภาษีจะถูกมากเหมือไม่มีภาษี ส่วนราคา ppv คือบวกภาษีแพงที่ระดับแพงกว่า
ขึ้นไปแล้ว ดูจากชิ้นส่วนที่เพิ่มขึ้น อุปกรณ์ต่างๆ มันมากกว่ากระบะพื้นฐานเยอะ ดังนั้นส่วนตัวผมคิดว่า
ราคาของ ppv กลุ่มใหญ่ ยังอิงเรื่องต้นทุนเป็นหลักและตั้งกำไรไว้ในระดับที่เหมาะสมอยู่ครับ

ราคา ppv ที่เกาะกลุ่มกันอยู่ผมโอเค ส่วน For ที่สูงกว่าคนอื่นเค้า ผมคิดว่าอาจจะ..
1 รถมีความนิยม ทำให้ตั้งราคาสูงได้ (ฟันกำไร)
2 อาจจะลงทุนกับความทนทานของชิ้นส่วนเยอะ กดราคาต้นทุนสู้คู่แข่งไม่ได้
(part ทน กับรถ set มาขับไม่ค่อยดีนี่คนล่ะเรื่องกันนะครับ)
สรุปของอะไรที่ตลาดๆ เป็นที่นิยม demand เยอะ ทุกวงการผมว่าชอบขึ้นราคาแพงกว่าชาวบ้าน
ในรุ่นเท่าๆ กัน option พอกันหรือน้อยกว่า
แต่ถ้าวงการไหน เจ้าตลาดเจือกตั้งราคามาเท่าคู่แข่ง option เท่ากันหรือมากกว่า
แปลว่าเจ้าตลาดตลาดนั้นต้องการกำจัดคู่แข่งละ สุดท้ายจะกลายเป็นผูกขาด แล้วพอไม่มีคู่แข่ง
ก็จะสามารถตั้งราคาเท่าไหร่ก็ได้

ดังนั้นผมยังเอียงๆ ไปข้อ 2 คือเจ้าตลาดคุมต้นทุนไม่ได้เพราะลงทุนไปด้านคุณภาพ
ส่วนการตั้งเพื่อฟันกำไรในข้อ 1 ก็คงทำด้วย แต่ไม่ได้เต็มที่เพราะตลาดยังมีการแข่งขัน
ซึ่งไม่มีเหตุผลใดๆ ที่โตจะไม่อยากกำจัดคู่แข่ง volume สั่งผลิตเยอะ ก็ต้องกดราคาขาย
ต่ำกว่าได้อยู่แล้วในสเป็ค part ที่เท่าๆ กัน แล้วก็ฆ่าคู่แข่งได้ง่ายๆ
แต่สังเกตุดูเหมือนจะทำไม่เคยได้ แต่ได้เรื่องความนิยมในเรื่องความทนทานกับไม่ค่อยมีปัญหาแทน

คหสต นะครับ ส่วนตัวผมไม่ชอบ for ปัจจุบันเพราะรูปร่างมันยังใช้ตัวเดิมมาโมอยู่
ไม่ได้เขียนเชียร์ for นะครับแต่อาจจะมองต่างมุม
ผมถึงลองเปรียบเทียบต้นทุน และราคาขายระหว่าง PPV diesel อย่าง Fortuner และ CX5 2.2 diesel ล่ะครับ
เห็นภาพชัดเลย ว่า PPV ขายแพงและออฟชั่นน้อยมาก
SUV ต้นทุนเครื่อง ดีเซลแพงกว่าเยอะครับ แพงเพราะค่า investment/Volume แล้วราคาแม่พิมพ์ต่อชิ้นมันแพงมากครับ
ผมรู้โครงสร้างต้นทุนดี และก็รู้ว่า Fortuner เดี๋ยวนี้ขายแพงเอากำไรมากกว่าตัวเก่าๆมากๆๆๆๆๆ ออฟชั่นก็ไม่ได้มากกว่าตัวแรกๆเท่าไหร่
แต่ราคาดันขึ้นมาตั้ง 4- 5 แสน แพงจากอะไรครับ ผมขอเหตุผลหน่อย (ผมหักภาษีให้ แสนห้าแล้วกัน เหลืออีก 3แสนกว่า คืออะไรครับ)

นี่แหละครับที่ผมกำลังพยายามจะบอก ราคาเดิมของnew fortuner กับ new everestก่อนอัตราภาษีใหม่ ตัวท๊อปตั้งไว้ที่เท่ากัน 1.59 ลบ. พอโดนอัตราภาษีใหม่ 25% everest ต้องขึ้นไปเต็มพิกัด 1.5 แสนบาท แต่ fortuner ปรับราคาแค่ 3 หมื่นบาทเพราะอะไรครับ เพราะราคาที่ตั้งไว้แต่แรกนั้นบวกกำไรและอัตราภาษีใหม่ไว้แล้ว ราคารถที่โตโยต้าตั้งไว้ส่วนใหญ่คือพร้อมที่จะตัดเป็นส่วนลดเป็นแสนบาทถ้ารถเกิดขายไม่ดีหรือค้างสต็อค แต่ถ้ารถเกิดขายได้เพราะการตลาดเก่ง โรงงานก็จะได้กำไรมหาศาล ไม่อย่างนั้นโบนัสพนักงานไม่เป็นสิบเดือนมาทุกๆปีได้หรอกครับ

ขอตอบเป็นประเด็นๆ นิดนึงครับ
อันแรกทุกค่ายผมว่าลดได้เป็นแสนหมดครับ เป็นกลไกเวลาขายไม่ออกถือเป็เรื่องปกติ
ส่วนหนึ่งคือกำไรของโชว์รูมเอง ส่วนฝ่ายโรงงานอาจจะลดเองด้วย

อันที่สอง for ตั้งราคาเผื่อไว้ก่อนขึ้นภาษีจริง ผมว่ามันเป็นแทคติคเค้า
อันที่สาม for แพงกว่าคู่แข่ง ppv อื่นๆ พวกสินค้าอื่นๆ ก็เป็น brand ติดตลาดเช่น apple iphone ครับ
แต่สินค้าของเจ้าตลาดก็ต้องทนหรือเสถียรกว่า brand รองถึงจะได้รับการยอมรับ

อันที่สี่ราคา for ที่ดันขึ้นมาเรื่อยๆ (ทำไมไม่ขึ้นราคาน้อยๆ หน่อย) 10ปีที่แล้วกับตอนนี้
มันมีเรื่องของอัตราเงินเฟ้อครับ option น้อยไม่ได้หมายความว่ารถต้องถูก หรือ option เยอะ
ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องแพง เพราะอุปกรณ์ option เซนเซอร์ กล่องควบคุมต่างๆ ต้นทุนมันถูก
ซึ่งเราสามารถเปรียบเทียบราคากับ ppv เจ้าอื่นได้ ณ ปัจจุบัน แต่ไม่ควรไปเปรียบเทียบกับราคา
for ตัวแรก 10 ปีก่อนครับ เทียบกับ ppv อื่นๆ ปัจจุบัน เราจะเห็นว่าแพงกว่าเจ้าอื่นประมาณนึง

อันที่ห้า ถ้าเปรียบเทียบกับ cx-5 อยากให้อ่านคอมเม้นต์ที่ผมอธิบายข้างบนครับ

สำหรับ for มันเหมือนๆ กับ คนชอบ samsung มากกว่า apple หรือชอบ apple มากกว่า
samsung ครับ ไม่มีใครถูกใครผิด แต่เจ้าตลาดควรใช้งานได้เสถียร ไว้ใจได้ ถ้ามี defect
แล้วแก้ไขไม่ได้ หรืออะไหล่แพงเหลือเกิน (hybrid) เจ้าตลาดก็ไปไม่รอด

อันที่หก โบนัสเยอะ ทุกบริษัทถ้าเป็นบริษัทท้อประดับประเทศ หรือโลก โบนัสก็เท่านี้หมดทุกบริษัทครับ
คงไม่เกี่ยวว่าเพราะ To มี fortuner ถึงไม่มี ppv ขาย ผมว่าเค้าก็ต้องจ่ายโบนัสเท่านี้ในฐานะเจ้าตลาด




ออฟไลน์ Auto Messe

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 400
สุดยอดครับ แก้ให้ได้ทุกข้อ

ออฟไลน์ Slipknot`

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 21,846
  • *** HLM.COM ***
ยาวๆไปชอบอ่าน อิๆ

ออฟไลน์ Thanakrit P.

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 47
    • อีเมล์
มุมมองหลากหลาย ช่วยกันวิเคราะห์ในเชิงสร้างสรรค์แบบนี้ ชอบมากเลยคับ
ยาวไป ยาวไป...(^8^) 8)