บางยี่ห้อแพงเพราะบวกกำไรล้วนๆครับ ฟอร์จูนเนอร์รุ่นแรกแพงสุดล้านสองแล้วค่อยๆปรับราคาขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงล้านสี่ รุ่นใหม่นี่ตั้งราคากันถึงล้านเจ็ดคนก็ยังซื้อกันอยู่ แพงกว่ารถปิ๊กอัพพื้นฐานเดียวกันเกือบสองเท่า คิดยังไงก็ไม่มีเหตุผลรองรับนอกจากกำไรล้วนๆ ขณะที่คู่แข่งยังตั้งราคากันไว้ที่ล้านสองถึงล้านสี่ได้อยู่เลย
ขอเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ ถ้าเทียบต้นทุนกับราคากระบะต้องบวกภาษีให้เท่ากับ ppv ด้วยนะครับ
เพราะกระบะป้ายเขียว ภาษีจะถูกมากเหมือไม่มีภาษี ส่วนราคา ppv คือบวกภาษีแพงที่ระดับแพงกว่า
ขึ้นไปแล้ว ดูจากชิ้นส่วนที่เพิ่มขึ้น อุปกรณ์ต่างๆ มันมากกว่ากระบะพื้นฐานเยอะ ดังนั้นส่วนตัวผมคิดว่า
ราคาของ ppv กลุ่มใหญ่ ยังอิงเรื่องต้นทุนเป็นหลักและตั้งกำไรไว้ในระดับที่เหมาะสมอยู่ครับ
ราคา ppv ที่เกาะกลุ่มกันอยู่ผมโอเค ส่วน For ที่สูงกว่าคนอื่นเค้า ผมคิดว่าอาจจะ..
1 รถมีความนิยม ทำให้ตั้งราคาสูงได้ (ฟันกำไร)
2 อาจจะลงทุนกับความทนทานของชิ้นส่วนเยอะ กดราคาต้นทุนสู้คู่แข่งไม่ได้
(part ทน กับรถ set มาขับไม่ค่อยดีนี่คนล่ะเรื่องกันนะครับ)
สรุปของอะไรที่ตลาดๆ เป็นที่นิยม demand เยอะ ทุกวงการผมว่าชอบขึ้นราคาแพงกว่าชาวบ้าน
ในรุ่นเท่าๆ กัน option พอกันหรือน้อยกว่า
แต่ถ้าวงการไหน เจ้าตลาดเจือกตั้งราคามาเท่าคู่แข่ง option เท่ากันหรือมากกว่า
แปลว่าเจ้าตลาดตลาดนั้นต้องการกำจัดคู่แข่งละ สุดท้ายจะกลายเป็นผูกขาด แล้วพอไม่มีคู่แข่ง
ก็จะสามารถตั้งราคาเท่าไหร่ก็ได้
ดังนั้นผมยังเอียงๆ ไปข้อ 2 คือเจ้าตลาดคุมต้นทุนไม่ได้เพราะลงทุนไปด้านคุณภาพ
ส่วนการตั้งเพื่อฟันกำไรในข้อ 1 ก็คงทำด้วย แต่ไม่ได้เต็มที่เพราะตลาดยังมีการแข่งขัน
ซึ่งไม่มีเหตุผลใดๆ ที่โตจะไม่อยากกำจัดคู่แข่ง volume สั่งผลิตเยอะ ก็ต้องกดราคาขาย
ต่ำกว่าได้อยู่แล้วในสเป็ค part ที่เท่าๆ กัน แล้วก็ฆ่าคู่แข่งได้ง่ายๆ
แต่สังเกตุดูเหมือนจะทำไม่เคยได้ แต่ได้เรื่องความนิยมในเรื่องความทนทานกับไม่ค่อยมีปัญหาแทน
คหสต นะครับ ส่วนตัวผมไม่ชอบ for ปัจจุบันเพราะรูปร่างมันยังใช้ตัวเดิมมาโมอยู่
ไม่ได้เขียนเชียร์ for นะครับแต่อาจจะมองต่างมุม
ผมถึงลองเปรียบเทียบต้นทุน และราคาขายระหว่าง PPV diesel อย่าง Fortuner และ CX5 2.2 diesel ล่ะครับ
เห็นภาพชัดเลย ว่า PPV ขายแพงและออฟชั่นน้อยมาก
SUV ต้นทุนเครื่อง ดีเซลแพงกว่าเยอะครับ แพงเพราะค่า investment/Volume แล้วราคาแม่พิมพ์ต่อชิ้นมันแพงมากครับ
ผมรู้โครงสร้างต้นทุนดี และก็รู้ว่า Fortuner เดี๋ยวนี้ขายแพงเอากำไรมากกว่าตัวเก่าๆมากๆๆๆๆๆ ออฟชั่นก็ไม่ได้มากกว่าตัวแรกๆเท่าไหร่
แต่ราคาดันขึ้นมาตั้ง 4- 5 แสน แพงจากอะไรครับ ผมขอเหตุผลหน่อย (ผมหักภาษีให้ แสนห้าแล้วกัน เหลืออีก 3แสนกว่า คืออะไรครับ)
ผมลองหาราคา Fortuner vs Rav4 มาครับ จาก Toyota australia
ซึ่ง Rav4 จะอยู่ใน segment เดียวกับ CX-5 และเท่าที่ผมเช็คดู option Rav4 ก็มี option
มากกว่า Fortuner เยอะเช่นเดียวกับที่ CX-5 มี option เยอะกว่า Fortuner ครับ
Fortuner GX 2.8L diesel 54,880
Fortuner GXL 60,710
Fortuner Crusade 68,155
Rav4 GX 2.2L diesel 43,166
Rav4 GXL 46,158
Rav4 Cruiser 55,415
เมื่อเทียบกับรถ 2 รุ่นจากค่ายเดียวกัน จะมองเห็นได้ว่ารถประเภท Pickup-base SUV ถ้า
ตั้งราคาขึ้นมาจริงๆ จะไม่สามารถถูกกว่า compact Crossover suv ได้ครับ แม้ว่า option ของ
อย่างหลังจากมากมายมหาศาลกว่า ซึ่งที่จับรถจากค่ายเดียวกันมาเทียบ ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า
ไม่มีการกดราคาหรือเพิ่มราคารถรุ่นใดรุ่นหนึ่งเป็นพิเศษ เพราะอยู่ในระดับการตั้งราคาในบริษัทเดียวกันครับ
การลงทุนรถแบบ pickup base ก็น่าจะต้องทุนหนามากครับ เพราะมันมีส่วนของโครงแชสซีที่ต้อง
แข็งแกร่ง กับ scale project ที่ใหญ่มากต้องใช้คน manpower มาก เพราะตอน Toyota ทำ IMV1
นี่ต้องเกณฑ์คนเกือบจากทุก project เข้ามาช่วยกันทำเป็นทีมใหญ่เลยครับ การ sourcing การทำ die
การทำ mold นี่ก็เป็นงานที่หนักหน่วงมาก กินกำลังคนที่ TMC japan เยอะมาก
ลองสังเกตุดูว่า สำหรับรถ crossover suv นั้น ไม่ว่าค่ายไหนจะเล็กขนาดไหน ก็สามารถผลิตขายออกมาได้ครับ
แต่สำหรับรถยนต์ประเภท pickup base
1) จะต้องเป็นค่ายที่ใหญ่ ทุนหนา และมีความเชี่ยวชาญ
2) ตลาดต้องมีขนาดใหญ่มาก หรือมีแรงจูงใจในการลงทุนจากรัฐบาล
และการลงทุนทำ ppv ก็อาจจะไม่ใช่การลงทุนเล็กๆ แบบกระบะดัดแปลงสมัยก่อน
เมื่อแต่ละค่ายในไทย ก็ใช้เวลาศึกษาเป็นเวลานาน บางค่ายไม่ขอทำดีกว่า หรือแม้แต่ Isuzu
ก็ยังต้องตัดสินใจนานมากกว่าจะทำ ดังนั้นมันเป็นเรื่องของต้นทุนแน่นอนที่ต้องใช้เยอะ
สำหรับรถ crossover suv นั้น มีพื้นฐานแทบทุกรุ่นมาจากรถเก๋ง
CX-5 ใช้พื้นฐานร่วมกับ Mazda 3 ซึ่งในวิกิบอกว่าร่วมกับ Mazda 6 ด้วย แต่ว่า
CX-9 ก็ใช้พื้นฐานของ Mazda 6 แต่ Mazda 3 กลับไม่ได้บอกว่ามีพื้นฐานเดียวกับ Mazda 6
รายละเอียดจึงไม่แน่ชัดนัก แต่ CX-5 ต้องถือว่าเป็นรถใน segment ที่ใช้ platform จากรถ compact
ในค่ายตัวเอง
ซึ่งผมลองเช็คดูราคารถ single cab ในต่างประเทศ ตัวเริ่มต้นจะเริ่มต้นเท่ากับรถ compact เริ่มต้นครับ
ส่วนตัว extra cab เริ่มต้น จะราคาแพงกว่า Camry ตัวเริ่มต้นไปไกลแล้วครับ (30,000 vs 35,000 ที่ออสเตรเลียครับ)
ดังนั้นน่าจะบอกได้ว่า พวกรถ pickup base ในบ้านเรา ถือว่าเป็นรถที่แพงสำหรับต่างประเทศ
ซึ่งสะท้อนต้นทุนที่สูงกว่า ซึ่งตรงนั้นคงจะเน้นไปที่ความแข็งแกร่ง ความทนทานครับ
โดยผมคิดว่าเราคงต้องหาข้อมูลจากสภาพแวดล้อมจริงๆ แบบนี้ เพราะว่าเราไม่สามารถ
ตีแค่เพียงจากการเทียบกระบะ single cab ไปเทียบกับ ppv ได้ โดยใช้ราคาในบ้านเราซึ่งมีเรื่องภาษี
เบี่ยงเบนไปเยอะ ซึ่งถ้าตลาดที่ทำรถจาก pickup base ได้กำไรมากจริงๆ และลงทุนไม่มาก เชื่อว่า
ทุกๆ ค่ายคงจะต้องเข้ามาทำแล้ว แต่ดูท่าว่าการลงทุนจะสูงเกินไปที่จะเสี่ยงครับ
Mazda ที่ไม่ประกอบ ppv ในบ้านทั้งๆ ที่น่าจะได้กำไรกว่าการนำเข้า CBU CX-5 ก็ตัดสินใจไม่ทำ
Nissan, Mitsu, Ford, Chev, Isuzu ต่างก็ต้องหาคนมาแชร์ต้นทุนการพัฒนา กระบะ/ppv
แปลว่า การลงทุนใน segment มันมหาศาลใช่มั้ยล่ะครับ ผมก็เคยอยู่ข้างใน จึงรู้ว่ามัน scale ใหญ่มากครับ
ในขณะที่ crossover suv ไม่จำเป็นเลยที่ต้องหาคนแชร์ลงขัน สามารถทำกันเองได้เลย
ตรงนี้ก็เป็นจุดเปรียบเทียบได้เช่นกันครับ